1 |
|
ค. น้ำตาลทราย , ไข่ขาว , เอทิลแอซิเตต |
|
ปฏิกิริยาของแก๊ส H(g) และแก๊ส I (g) จำนวนโมลเท่ากันในภาชนะปิดที่อุณหภูมิหนึ่ง เกิดปฏิกิริยาดังนี้ สีม่วง
H,(g) + 1,(g) ไม่มีสี 2HI(g) ไม่มีสี
ปฏิกิริยานี้มีค่าคงที่สมดุล (K) เท่ากับ 47 ณ ภาวะสมดุล สมดุลของปฏิกิริยาเป็นดังนี้
K
=
ดังนั้น
[HI]2
ข้อ 1. ถูกต้อง เกิดปฏิกิริยาผันกลับได้ เพราะค่าคงที่สมดุลขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของปฏิกิริยา
ข้อ 2. ถูกต้อง แก๊สผสมมีความเข้มของสีคงที่ ณ อุณหภูมิหนึ่ง
ข้อ 3. ผิด ที่ถูกต้องความเข้มข้นของ H, I, และ HI ไม่เท่ากัน โดยที่สมดุลของค่าความเข้มข้นของ
H, และ I, จะลดลง ส่วนความเข้มข้นของ HI มีค่าเพิ่มขึ้น เพราะมีค่า K สูง ข้อ 4. ถูกต้อง อัตราการรวมตัวของ H เท่ากับอัตราการสลายตัวของ HI เพราะ
และ 1 d[HI] d[I] 2ndt = + dt d[H] dt = +
ข้อ 5. ถูกต้อง จำนวนโมลของ HI ที่เกิดขึ้นเท่ากับผลรวมจำนวนโมลของ H กับ 1 จากสมการที่ดุลแล้ว H, 1 โมลทำปฏิกิริยากับ 1, 1 โมล ให้ HI 2 โมล |
การทดสอบแป้ง
สารละลายไอโอดีน : มีสีน้ำตาลเหลือง
ใช้ทดสอบ : แป้ง
วิธีการทดสอบ : หยดสารละลายไอโอดีน 1 หยดลงในสารละลายที่ต้องการทดสอบ
ผลการทดสอบ : ถ้านำไปทดสอบสารใด ๆ แล้วเปลี่ยนจากสีน้ำตาลเหลือง เป็นสีน้ำเงินเข้มหรือสีน้ำเงินปนม่วง แสดงว่ามีแป้ง
การทดสอบน้ำตาล
สารละลายเบเนดิกต์ : มีสีฟ้า
ใช้ทดสอบ : น้ำตาล
วิธีการทดสอบ : หยดสารละลายเบเนดิกต์ 5 หยดลงในสารละลายที่ต้องการทดสอบ แล้วนำหลอดทดลองไปต้มในบีกเกอร์ 2 นาที หากมีน้ำตาลจะได้ตะกอนสีแดงอิฐ
ผลการทดสอบ : ถ้านำไปทดสอบสารใด ๆ แล้วเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีส้ม สีแดงอิฐ แสดงว่าสารนั้นมีน้ำตาล
สีฟ้า => แดงอมส้ม (หวานมาก)
สีฟ้า => เหลือง (หวานปานกลาง)
สีฟ้า => เขียวอมฟ้า (หวานน้อย)
การทดสอบโปรตีน
การทดสอบไบยูเร็ต (คอปเปอร์ซัลเฟต (CuSO4) ในโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH)) : มีสีฟ้า
ใช้ทดสอบ : โปรตีน
วิธีการทดสอบ : หยดคอปเปอร์ซัลเฟต 5 หยดลงในสารละลายที่ต้องการทดสอบ แล้วหยดโซเดียมไฮดรอกไซด์อีก 10 หยด หากมีโปรตีนจะได้สารสีม่วง
ผลการทดสอบ : ถ้านำไปทดสอบสารใด ๆ แล้วเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีน้ำเงินม่วง แสดงว่าสารนั้นมีโปรตีน
การทดสอบไขมัน
กระดาษขาว
ใช้ทดสอบ : ไขมัน
วิธีการทดสอบ : หยดน้ำมันพืชลงบนกระดาษขาว ขนาด 2 ตารางเซนติเมตร แล้วใช้มือถูไปมา จากนั้นยกกระดาษขึ้นให้แสงผ่าน สังเกตว่าโปร่งแสงหรือไม่
ผลการทดสอบ : หากนำไปทดสอบสารใด ๆ แล้วกระดาษขาวโปร่งแสง แสดงว่าสารนั้นมีไขมัน |
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
2 |
|
จ. น้ำมันมะกอกประกอบด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวมากกว่าน้ำมันหมูหรือไขวัว |
|
เพราะคิดว่าสมเตุสมผล |
น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิน (extra virgin) เป็นน้ำมันมะกอกที่มีสีเขียวเข้ม นำมาจากการบีบเอาน้ำมันออกมาจากมะกอกสดๆ มีราคาสูง สามารถรับประทานแบบสดๆ หรือนำมาเป็นน้ำสลัดได้ หากนำน้ำมันมะกอกประเภทนี้มาประกอบอาหารโดยผ่านความร้อน จะทำให้น้ำมันมะกอกสูญเสียคุณค่าทางโภชนาการไป และจะเปลี่ยนเป็นไขมันชนิดที่ไม่ดีแทน
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
3 |
|
ข้อ ค. |
|
เพราะ น้ำมันที่แข็งตัวง่ายจะมีจุดหลอมเหลวที่สูง มีกรดไขมันอิ่มตัวมาก และเหม็นหืนได้ยาก ส่วน น้ำมันที่แข็งตัวยากนั้นเป็นน้ำมันที่ยังไม่อิ่มตัวจะมีจุดหลอมเหลวที่ต่ำจึงยังคงทำให้เป็นของเหลวอยู่ เกิดการเหม็นหืนได้ง่ายเนื่องจากไวต่อการทำปฏิกิริยากับอากาศ |
1. เกิดจากออกซิเจนในอากาศเข้าไปทำปฏิกิริยากับพันธะคู่ระหว่างคาร์บอน โดยมีแสงและอุณหภูมิเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา หรือเรียกว่า ปฏิกิริยาออกซิเดชัน
2. เกิดจากกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวทำปฏิกิริยากับน้ำ โดยอาศัยจุลินทรีย์ในอากาศเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ทำให้กรดไขมันยาวๆ ขาดออกจากกลีเซอรอล เกิดเป็นไขมันอิสระมากขึ้น จึงทำให้เกิดกลิ่นหืนของน้ำมัน หรือเรียกว่า ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิส
3. เกิดจากจุลินทรีย์ในอากาศ เนื่องจุลินทรีย์สามารถสร้างเอนไซม์ออกมาย่อยไขมันได้ ทำให้กลีเซอรอลถูกย่อยเป็นกรดไขมันอิสระ จึงทำให้เกิดกลิ่นหืนของน้ำมัน หรือเรียกว่า ปฏิกิริยาจากจุลินทรีย์ |
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
4 |
|
ข้อ ข. |
|
ตอบ z เพราะใช้หยดไอโอดีน มากสุดแสดงว่ามีจุดเดือดสูง และทำให้มีไขมันมาก จึงตอบ ข |
1. เกิดจากออกซิเจนในอากาศเข้าไปทำปฏิกิริยากับพันธะคู่ระหว่างคาร์บอน โดยมีแสงและอุณหภูมิเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา หรือเรียกว่า ปฏิกิริยาออกซิเดชัน
2. เกิดจากกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวทำปฏิกิริยากับน้ำ โดยอาศัยจุลินทรีย์ในอากาศเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ทำให้กรดไขมันยาวๆ ขาดออกจากกลีเซอรอล เกิดเป็นไขมันอิสระมากขึ้น จึงทำให้เกิดกลิ่นหืนของน้ำมัน หรือเรียกว่า ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิส
3. เกิดจากจุลินทรีย์ในอากาศ เนื่องจุลินทรีย์สามารถสร้างเอนไซม์ออกมาย่อยไขมันได้ ทำให้กลีเซอรอลถูกย่อยเป็นกรดไขมันอิสระ จึงทำให้เกิดกลิ่นหืนของน้ำมัน หรือเรียกว่า ปฏิกิริยาจากจุลินทรีย์ |
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
5 |
|
A = กลีเซอลีน B = กรดไขมัน C = ไขมัน หรือน้ำมัน |
|
1. เกิดจากออกซิเจนในอากาศเข้าไปทำปฏิกิริยากับพันธะคู่ระหว่างคาร์บอน โดยมีแสงและอุณหภูมิเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา หรือเรียกว่า ปฏิกิริยาออกซิเดชัน
2. เกิดจากกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวทำปฏิกิริยากับน้ำ โดยอาศัยจุลินทรีย์ในอากาศเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ทำให้กรดไขมันยาวๆ ขาดออกจากกลีเซอรอล เกิดเป็นไขมันอิสระมากขึ้น จึงทำให้เกิดกลิ่นหืนของน้ำมัน หรือเรียกว่า ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิส
3. เกิดจากจุลินทรีย์ในอากาศ เนื่องจุลินทรีย์สามารถสร้างเอนไซม์ออกมาย่อยไขมันได้ ทำให้กลีเซอรอลถูกย่อยเป็นกรดไขมันอิสระ จึงทำให้เกิดกลิ่นหืนของน้ำมัน หรือเรียกว่า ปฏิกิริยาจากจุลินทรีย์ |
ค่าเพอร์ออกไซด์เป็นค่าที่ใช้วัดอัตราการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของไขมัน หรือเรียกว่า Lipid Oxidation ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงกลิ่นและรสในอาหารและผลิตภัณฑ์
ค่าเพอร์ออกไซด์หมายถึง จำนวนมิลลิกรัมของสารละลายโซเดียมไทโอซัลเฟต (0.002M) ที่ใช้ในการไตเตรตไขมันหรือน้ำมัน 1 กรัม หรือหมายถึงจำนวนมิลลิกรัมสมมูลของเพอร์ออกไซด์ออกซิเจนต่อไขมันหรือน้ำมัน 1 กิโลกรัม หรือมิลลิโมลของออกซิเจนต่อกิโลกรัมของไขมัน (1 มิลลิโมลเท่ากับ 2 มิลลิกรัมสมมูล) ถ้าค่าเพอร์ออกไซด์สูง แสดงว่าไขมันและน้ำมันเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันมาก ทำให้เกิดกลิ่นหืนนั่นเอง |
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
6 |
|
ข้อ ค. |
|
จากข้อมูลมีแค่ข้อ ค เท่านั้นที่๔ุกต้อง |
จากกรดอะมิโนทั้งหมด 20 ชนิดกรดอะมิโน 9 ชนิดไม่สามารถสังเคราะห์ได้ในร่างกายของเราและเราจำเป็นต้องนำมันเข้าไปในอาหารของเรา เหล่านี้เรียกว่า กรดอะมิโนที่จำเป็นหรือขาดไม่ได้.
กรดอะมิโนที่จำเป็น ได้แก่ Histidine, Isoleucine, Leucine, Lysine, Methionine, Phenylalanine, Threonine, Tryptophan และ Valine |
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
7 |
|
ก. เพปไทด์ที่เกิดจากกรดXและกรดYทําปฏิกิริยากับCuSO4ในสภาวะเบสให้สารสีม่วง |
|
เพราะสมเหตุสมผล |
เพปไทด์ที่เกิดจากกรด A และกรด B ทำปฏิกิริยากับ CuSO, ในสภาวะเบสให้สารสีม่วง ถูก เนื่องจากการเกิดปฏิกิริยากับ CuSO4 ในเบสนั้น คือ การทดสอบไบยูเร็ต ซึ่งจะเกิดปฏิกิริยา บริเวณพันธะเพปไทด์ของสารไตรเพปไทด์ขึ้นไป
1) ผิด เนื่องจากถ้าไม่ให้มีกรดอะมิโนที่ซ้ำกันจะได้สารไตรเพปไทด์ 6 ชนิด
3) ผิด เนื่องจากสารไตรเพปไทด์นั้นจะประกอบด้วยกรดอะมิโนจำนวน 3 โมเลกุล และมีพันธะเพปไทด์เพียง
2 พันธะ
4) ผิด เพราะกรดอะมิโน A คือ ลิวซีน ส่วนกรดอะมิโน B คือ วาลีน ซึ่งจัดว่าเป็นกรดอะมิโนที่มีความ
จำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ |
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
8 |
|
ค. เอนไซม์ทํางานได้ภายในช่วง pH ที่จํากัด |
|
เพราะสมเหตุสมผล |
จากการทดลองแสดงว่า เอนไซม์ทำให้เจลาตินแข็งตัวยากขึ้น (ใช้เวลาในการแข็งตัวนานขึ้น) ดูจาก pH
7 ที่เติมเอนไซม์และไม่เติมเอนไซม์ (หลอดที่ 2 และหลอดที่ 4) การที่สารละลายเจลาตินแข็งตัวยากขึ้นเมื่อเติมเอนไซม์ เพราะเอนไซม์ย่อยเจลาตินได้สารที่ขนาด โมเลกุลเล็กลง ยิ่งเอ็นไซม์ย่อยเจลาตินได้มาก จะยิ่งแข็งตัวยากขึ้น แสดงว่าเอนไซม์ทำงาน (ย่อย) ได้ ดีที่ pH 7 ดังนั้นตัวเลือก 2 จึงถูกต้อง |
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
9 |
|
ง. 2 และ 3 |
|
เพราะสมเหตุสมผล |
อินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่ตับอ่อนสร้างขึ้น และมีหน้าที่ที่สำคัญคือ นำน้ำตาลในเลือดไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกายเพื่อสร้างเป็นพลังงาน แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้เป็นพลังงานได้เต็มที่ เนื่องจากขาดฮอร์โมนอินซูลิน มีผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการปวดปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย เช่น โรคติดเชื้อเป็นแผลหายยาก โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตและตา เป็นต้น |
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
10 |
|
จ. คาร์โบไฮเดรต |
|
เพราะสมเหตุสมผล |
อินูลิน (Inulin) เป็นสารอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตประเภทโพลีแซคคาไรด์ที่ละลายน้ำได้ ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหาร มีลักษณะเป็นเส้นใย (dietary fiber) โครงสร้างโมเลกุลของอินูลินอาจเรียกว่าฟรักแทน (fructan) เนื่องจากมีลักษณะเป็นสายพอลิเมอร์ของน้ำตาลฟรักโทส (fructose) เรียงต่อกัน 10-60 โมเลกุล และมีโมเลกุลที่ปลายสุดด้านหนึ่งเป็นน้ำตาลกลูโคส (glucose) อินูลินพบได้ตามธรรมชาติในพืชผักผลไม้ และสมุนไพรกว่า 3000 ชนิด (Wichienchot, 2011) ในช่วงศตวรรษที่ 18 สารสำคัญถูกพบในรากของต้น Elecampane (Inula helenium) โดย Valentine Rose นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน และถูกตั้งชื่อว่าอินูลินในปี ค.ศ. 1817 พืชที่พบเป็นแหล่งอินูลินโดยธรรมชาติ ได้แก่ รากชิโครี อาร์ติโชค หน่อไม้ฝรั่ง ต้นหอม หัวหอม กล้วย ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และกระเทียม (Bornet, 2008) ปริมาณของอินูลินที่พบในพืชผักชนิดต่างๆ ดังตารางที่ 1 |
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
11 |
|
2. สามารถพบลักษณะของ cell membrane แบบ phospholipid bilayer ได้ |
|
เพราะสมเหตุสมผล |
เนื่องจากปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 เกิดการระบาดของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ก่อให้เกิดการติดเชื้อครั้งแรกที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน การระบาดของเชื้อไวรัสชนิดนี้ก่อให้เกิดโรคต่อระบบทางเดินหายใจ เรียกว่า “COVID-19” และโรคนี้มีอัตราป่วยและอัตราตายสูงขึ้นมากในประเทศจีน ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์หลังจากพบผู้ป่วยรายแรก เชื้อไวรัสดังกล่าวได้แพร่กระจายไปยังประเทศต่างๆ ในทุกทวีปทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ถึงแม้ว่าประเทศไทยมีมาตรการทางสาธารณสุขที่เข้มแข็งจนสามารถลดปริมาณการติดเชื้อ จนทำให้ไม่มีผู้ติดเชื้อต่อวันเป็นระยะเวลาหลายเดือนได้ แต่ทางสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ได้เล็งเห็นว่าประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องมีทิศทางการวิจัยด้าน COVID-19 ที่ชัดเจน เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าต่อการให้ทุนวิจัย จึงมีโครงการให้กลุ่มผู้วิจัยทำการทบทวนวรรณกรรมในส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ สวรส. เข้าใจถึงภาพรวมและใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นประกอบการวางแผนนโยบายการให้ทุนวิจัยด้าน COVID-19 ต่อไปในอนาคต |
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
12 |
|
4. ระบบแสง I (PSI) และ ระบบแสง II (PSII) ถูกกระตุ้นการทำงานมากขึ้น ทำให้มีการหลุดของอิเล็กตรอน ในระบบแสงเพิ่มมากขึ้น |
|
เพราะสมเหตุสมผล |
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง เป็นกระบวนการที่พืชและสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนพลังงานแสงให้มาอยู่ในรูปของพลังงานเคมีที่อยู่ในโมเลกุลของสารอินทรีย์ที่สร้างขึ้น พลังงานที่อยู่ในโมเลกุลสารอินทรีย์นี้ ถูกใช้เป็นแหล่งพลังงานในการดำรงชีวิตของพืชและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนโลก กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงนี้อาจถือได้ว่าเป็นเพียงกระบวนการเดียวของพืชและสิ่งมีชีวิตที่สามารถดึงพลังงานจากดวงอาทิตย์ให้เข้ามาหมุนเวียนในโลก |
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
13 |
|
ค. ไกลโคเจน |
|
เพราะว่าสมเหตุสมผล |
เป็นพอลิแซ็กคาไรด์ที่พบในเซลล์สัตว์ เป็นอาหารสะสมประเภทคาร์โบไฮเดรตในสัตว์ ซึ่งสร้างจากกลูโคส ประกอบไปด้วยกลูโคสต่อกันเป็นสายยาวด้วยพันธะไกลโคซิดิก โดยมีการแตกกิ่งสั้น ๆ จำนวนมาก เหมือนกับอะไมโลเพกทิน แต่มีจำนวนกิ่งมากกว่า |
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
14 |
|
ก. W, X และ Y |
|
เพราะสมเหตุสมผล |
enedict's test เป็นวิธีทดสอบน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (monosaccharide) และน้ำตาลโมเลกุลคู่ (disaccharide) ที่เป็นน้ำตาลรีดิวซิงทุกชนิด ยกเว้น น้ำตาลซูโครส (sucrose) โดยเมื่อต้มน้ำตาลรีดิวซิงกับสารละลาย Benedict ในภาวะที่เป็นด่าง น้ำตาลจะใช้หมู่แอลดีไฮด์ในการรีดิวซ์คิวพริกไอออน (Cu2+) ในสารละลาย Benedict เกิดเป็นตะกอนสีแดงอิฐของคิวพรัสออกไซด์ (Cu2O) ดังสมการ แต่หากได้รับความร้อนไม่มากพอ ตะกอนที่ได้อาจเป็นสีเหลือง สีเขียว หรือสีแดง |
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
15 |
|
ง. ไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัว แอลกอฮอล์ กรดไขมันไม่อิ่มตัว กลูโคส |
|
เพราะสมเหตุสมผล |
คือ กระบวนการที่เกิดจากการที่สารเคมีเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วส่งผลให้เกิดสาร ใหม่ขึ้นมาซึ่งมีคุณสมบัติเปลี่ยนไปจากเดิม การเกิดปฏิกิริยาเคมีจำเป็นต้องมีสารเคมีตั้งต้น 2 ตัวขึ้นไป (เรียกสารเคมีตั้งต้นเหล่านี้ว่า "สารตั้งต้น" หรือ reactant)ทำปฏิกิริยาต่อกัน และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในคุณสมบัติทางเคมี ซึ่งก่อตัวขึ้นมาเป็นสารใหม่ที่เรียกว่า "ผลิตภัณฑ์" (product) ซึ่งสารผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติทางเคมีที่เปลี่ยนไปจากเดิม |
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
16 |
|
ง. นมถั่วเหลือง กลูโคส น้ำตาลทราย |
|
เพราะสมเหตุสมผล |
การทดสอบแป้ง
สารละลายไอโอดีน : มีสีน้ำตาลเหลือง
ใช้ทดสอบ : แป้ง
วิธีการทดสอบ : หยดสารละลายไอโอดีน 1 หยดลงในสารละลายที่ต้องการทดสอบ
ผลการทดสอบ : ถ้านำไปทดสอบสารใด ๆ แล้วเปลี่ยนจากสีน้ำตาลเหลือง เป็นสีน้ำเงินเข้มหรือสีน้ำเงินปนม่วง แสดงว่ามีแป้ง
การทดสอบน้ำตาล
สารละลายเบเนดิกต์ : มีสีฟ้า
ใช้ทดสอบ : น้ำตาล
วิธีการทดสอบ : หยดสารละลายเบเนดิกต์ 5 หยดลงในสารละลายที่ต้องการทดสอบ แล้วนำหลอดทดลองไปต้มในบีกเกอร์ 2 นาที หากมีน้ำตาลจะได้ตะกอนสีแดงอิฐ
ผลการทดสอบ : ถ้านำไปทดสอบสารใด ๆ แล้วเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีส้ม สีแดงอิฐ แสดงว่าสารนั้นมีน้ำตาล
สีฟ้า => แดงอมส้ม (หวานมาก)
สีฟ้า => เหลือง (หวานปานกลาง)
สีฟ้า => เขียวอมฟ้า (หวานน้อย)
การทดสอบโปรตีน
การทดสอบไบยูเร็ต (คอปเปอร์ซัลเฟต (CuSO4) ในโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH)) : มีสีฟ้า
ใช้ทดสอบ : โปรตีน
วิธีการทดสอบ : หยดคอปเปอร์ซัลเฟต 5 หยดลงในสารละลายที่ต้องการทดสอบ แล้วหยดโซเดียมไฮดรอกไซด์อีก 10 หยด หากมีโปรตีนจะได้สารสีม่วง
ผลการทดสอบ : ถ้านำไปทดสอบสารใด ๆ แล้วเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีน้ำเงินม่วง แสดงว่าสารนั้นมีโปรตีน
การทดสอบไขมัน
กระดาษขาว
ใช้ทดสอบ : ไขมัน
วิธีการทดสอบ : หยดน้ำมันพืชลงบนกระดาษขาว ขนาด 2 ตารางเซนติเมตร แล้วใช้มือถูไปมา จากนั้นยกกระดาษขึ้นให้แสงผ่าน สังเกตว่าโปร่งแสงหรือไม่
ผลการทดสอบ : หากนำไปทดสอบสารใด ๆ แล้วกระดาษขาวโปร่งแสง แสดงว่าสารนั้นมีไขมัน
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
17 |
|
ก. มีข้อถูกเพียง 1 ข้อ |
|
คิดว่ามีแค่ข้อ 4 ที่สมเหตุสมผล |
พันธะเพปไทด์ (อังกฤษ: peptide bond) หรือพันธะเอไมด์ (อังกฤษ: amide bond) เป็นพันธะเคมีชนิดพันธะโคเวเลนต์[1] ที่สร้างระหว่างหมู่คาร์บอกซิลของโมเลกุลหนึ่งกับหมู่อะมิโนของอีกโมเลกุลหนึ่ง และมีการปล่อยน้ำออกไปหนึ่งโมเลกุล จัดเป็นการสังเคราะห์แบบสูญเสียน้ำ (dehydration synthesis) และมักจะเกิดระหว่างกรดอะมิโน โมเลกุลที่เกิดใหม่เรียกว่าเอไมด์ C (=O) NH- หรือเพปไทด์ |
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
18 |
|
ค. ข้อ 1 และ ข้อ 3 ถูก |
|
เพราะสมเหตุสมผล |
คทิน (chitin) เป็นคาร์โบไฮเดรต (carbohydrate) ประเภทพอลิแซ็กคาไรด์ (polysaccharide) ท่ีมีสายยาว มีโครงสร้างคล้ายกับเซลลูโลส (cellulose) โมเลกุลของไคทิน เป็นพอลิเมอร์ของ N-acetyl-D-glucosamine ต่อกับด้วยพันธะไกลโคไซด์ (glycosidic bond) แบบ β-1,4 แต่หมู่ hydroxyl (-OH) ที่ตำแหน่ง C2 จะถูกแทนที่ด้วยกลุ่ม acetyl amino (-NHCOCH3)
ไคทิน เป็นส่วนประกอบผนังเซลล์ของสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น เปลือกกุ้ง กระดองปู แกนปลาหมึก แมลง ตัวไหม และผนังเซลล์ของสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรฟังไจ (fungi) ได้แก่ รา (mold) และยีสต์ (yeast)
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
19 |
|
5. Glucose |
|
เพราะสมเหตุสมผล |
น้ำตาลกลูโคส (glucose) เป็น คาร์โบไฮเดรต (carbohydrate) ประเภท น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (monosaccharide) มีคาร์บอน 6 อะตอม (hexose) ชนิดแอลโดส (aldose) น้ำตาลกลูโคสที่พบอยู่ในรูป D-glucose ซึ่งเป็นน้ำตาลรีดิวซ์ (reducing sugar) น้ำตาลกลูโคส อาจเรียกว่า dextrose (หมายถึง D-glucose)
การปิดวงของน้ำตาลกลูโคส |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
20 |
|
4. Lactose เป็น induce molecule |
|
เพราะสมเหตุสมผล |
แล็กโทส (lactose) เป็นคาร์โบไฮเดรต ประเภท น้ำตาลโมเลกุลคู่ (disaccharide) ที่ประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคส (glucose) 1 โมเลกุล กับ น้ำตาลกาแลคโตส (galactose) รวมตัวกันด้วยพันธะไกลโคไซด์ (glycosidic bond) ชนิดเบต้า -1, 4 (beta 1-4) แลคโตสเป็นน้ำตาลรีดิวส์ (reducing sugar) เป็นน้ำตาลที่พบเฉพาะในน้ำนม (milk) ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จึงอาจเรียกว่า น้ำตาลนม (milk sugar) มีอยู่ในน้ำนมประมาณ 2.4-6.1% น้ำตาลแล็กโทสเป็นน้ำตาลรีดิวส์ (reducing sugar) แยกได้จากเวย์ (whey) ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการผลิตเนยแข็ง (cheese) หรือตกตะกอนแยกโปรตีนเคซีน (casein)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|