ตรวจข้อสอบ > ญาณัจฉรา บุตรมาศ > ชีวเคมีเชิงวิทยาศาสตร์การแพทย์ | Biochemistry > Part 2 > ตรวจ

ใช้เวลาสอบ 28 นาที

Back

# คำถาม คำตอบ ถูก / ผิด สาเหตุ/ขยายความ ทฤษฎีหลักคิด/อ้างอิงในการตอบ คะแนนเต็ม ให้คะแนน
1


ก. ไข่ขาว , น้ำตาลทราย , เอทิลแอซิเตต

มีโปรตีนได้สีม่วง มีน้ำตาลได้แดงอิฐ ปฏิกิริยาไบยูเรต (Biuret reaction) การทดสอบโปรตีนสามารถทดสอบได้ด้วยปฏิกิริยาไบยูเรต โดยให้โปรตีนทำปฏิกิริยากับสารละลาย CuSO4ในสารละลายเบส NaOH หรือ KOH จะได้สารสีน้ำเงินม่วง โดยปฏิกิริยา CuSO4ในสารละลายเบสจะทำปฏิกิริยากับองค์ประกอบย่อยของโปรตีนคือ กรดอะมิโน ได้สารสีน้ำเงินม่วง ซึ่งเป็นสารประกอบเชิงซ้อนระหว่าง Cu2+กับไนโตรเจนในสารที่มีพันธะเพปไทด์ตั้งแต่ 2 พันธะขึ้นไป ใช้ทดสอบ : น้ำตาล วิธีการทดสอบ : หยดสารละลายเบเนดิกต์ 5 หยดลงในสารละลายที่ต้องการทดสอบ แล้วนำหลอดทดลองไปต้มในบีกเกอร์ 2 นาที หากมีน้ำตาลจะได้ตะกอนสีแดงอิฐ ผลการทดสอบ : ถ้านำไปทดสอบสารใด ๆ แล้วเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีส้ม สีแดงอิฐ แสดงว่าสารนั้นมีน้ำตาล 6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

2


ข. น้ำมันมะกอกเท่านั้นที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว จึงทำปฏิกิริยาฟอกจางสีโบรมีนได้

ทุกตัวมีกรดไขมันไม่อิ่มตัว กรดไขมันอิ่มตัว (อังกฤษ: Saturated fat) คือ ไขมันที่เป็นไขมันเต็มตัว คือ ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจนจับกันเป็นลูกโซ่โดย สมบูรณ์ และไม่มีช่องว่างเหลือที่จะทำปฏิกิริยากับสารใด ๆ ในร่างกาย พบมากในพวกไขมันสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว และไขมันจากกะทิ มะพร้าว เนย และไข่แดง กรดไขมันส่วนมากมีจำนวน C อะตอม C12 - C18 ชนิดที่มีจำนวน C อะตอมน้อยกว่า 12 ได้แก่ กรดบิวทาโนอิก C3H7COOH ที่พบในเนย กรดไขมันไม่ละลายน้ำ กรดไขมันจะมีจุดเดือดและจุด หลอมเหลวสูงขึ้นตามจำนวนคาร์บอนอะตอมที่เพิ่มขึ้น และกรดไขมันอิ่มตัวมีจุดเดือดสูงกว่า กรดไขมันไม่อิ่มตัว ที่มีมวลโมเลกุลใกล้เคียงกัน ถ้าเป็นกรดไขมันอิ่มตัวมาก จะเป็นไขมัน เช่น กรดลอริก (C12) กรดไมริสติก (C14) กรดปาล์มิติก (C16) กรดสเตียริก (C18) กรดไขมันอิ่มตัว คือกรดไขมันที่ไม่มีพันธะคู่ (double bond) หรือ หมู่ฟังก์ชัน (functional group) อื่นๆ ตามสายโซ่เลย คำว่าอิ่มตัวหมายถึง ไฮโดรเจนในที่ซึ่งคาร์บอน (ที่เป็นส่วนของคาร์บอกซิลิก แอซิด-COOH กรุ๊ป) มีไฮโดรเจนเกาะอยู่มากที่สุดที่จะเป็นไปได้ หรืออีกนัยหนึ่งคือที่ปลายโอเมก้าจะมี 3 ไฮโดรเจน (CH3-) และแต่ละคาร์บอนในสายโซ่จะมี 2 ไฮโดรเจน (-CH2-) ไขมันไม่อิ่มตัว (อังกฤษ: unsaturated fat) เป็นกรดไขมันที่มีพันธะคู่อย่างน้อยหนึ่งคู่ภายในโซ่กรดไขมัน โซ่กรดไขมันเรียกว่า มีพันธะคู่เดี่ยว (monounsaturated) ถ้ามีพันธะคู่หนึ่งคู่ และมีพันธะคู่หลายคู่ (polyunsaturated) ถ้ามีพันธะคู่มากกว่านั้น ในที่ ๆ เกิดพันธะคู่ โซ่คาร์บอนจะไร้อะตอมไฮโดรเจน ดังนั้น ไขมันอิ่มตัวที่ไม่มีพันธะคู่เลย ก็จะมีไฮโดรเจนยึดกับคาร์บอนเป็นจำนวนมากที่สุด และดังนั้น จึง "อิ่มตัว" เพราะมีไฮโดรเจนเต็ม ในเมแทบอลิซึมระดับเซลล์ โมเลกุลไขมันไม่อิ่มตัวมีพลังงาน (คือ แคลอรี) น้อยกว่าไขมันอิ่มตัวเท่า ๆ กัน กรดไขมันยิ่งไม่อิ่มตัวเท่าไร (คือมีพันธะคู่มากขึ้น ๆ) ก็จะไวต่อกระบวนการ lipid peroxidation คือหืน/มีกลิ่นเหม็นง่ายยิ่งขึ้นเท่านั้น สารต้านอนุมูลอิสระเช่นวิตามินสามารถป้องกันไขมันไม่อิ่มตัวจากกระบวนการนี้ 6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

3


ข้อ จ.

X คือไขมันอิ่มตัว จะมีจุดหลอม เหลวสูง เหม็นหืนยาก Y คือ ไขมันไม่อิ่มตัว จุดหลอมเหลวต่ำ เหม็นหืนง่าย กรดไขมันอิ่มตัว (อังกฤษ: Saturated fat) คือ ไขมันที่เป็นไขมันเต็มตัว คือ ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจนจับกันเป็นลูกโซ่โดย สมบูรณ์ และไม่มีช่องว่างเหลือที่จะทำปฏิกิริยากับสารใด ๆ ในร่างกาย พบมากในพวกไขมันสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว และไขมันจากกะทิ มะพร้าว เนย และไข่แดง กรดไขมันส่วนมากมีจำนวน C อะตอม C12 - C18 ชนิดที่มีจำนวน C อะตอมน้อยกว่า 12 ได้แก่ กรดบิวทาโนอิก C3H7COOH ที่พบในเนย กรดไขมันไม่ละลายน้ำ กรดไขมันจะมีจุดเดือดและจุด หลอมเหลวสูงขึ้นตามจำนวนคาร์บอนอะตอมที่เพิ่มขึ้น และกรดไขมันอิ่มตัวมีจุดเดือดสูงกว่า กรดไขมันไม่อิ่มตัว ที่มีมวลโมเลกุลใกล้เคียงกัน ถ้าเป็นกรดไขมันอิ่มตัวมาก จะเป็นไขมัน เช่น กรดลอริก (C12) กรดไมริสติก (C14) กรดปาล์มิติก (C16) กรดสเตียริก (C18) กรดไขมันอิ่มตัว คือกรดไขมันที่ไม่มีพันธะคู่ (double bond) หรือ หมู่ฟังก์ชัน (functional group) อื่นๆ ตามสายโซ่เลย คำว่าอิ่มตัวหมายถึง ไฮโดรเจนในที่ซึ่งคาร์บอน (ที่เป็นส่วนของคาร์บอกซิลิก แอซิด-COOH กรุ๊ป) มีไฮโดรเจนเกาะอยู่มากที่สุดที่จะเป็นไปได้ หรืออีกนัยหนึ่งคือที่ปลายโอเมก้าจะมี 3 ไฮโดรเจน (CH3-) และแต่ละคาร์บอนในสายโซ่จะมี 2 ไฮโดรเจน (-CH2-) ไขมันไม่อิ่มตัว (อังกฤษ: unsaturated fat) เป็นกรดไขมันที่มีพันธะคู่อย่างน้อยหนึ่งคู่ภายในโซ่กรดไขมัน โซ่กรดไขมันเรียกว่า มีพันธะคู่เดี่ยว (monounsaturated) ถ้ามีพันธะคู่หนึ่งคู่ และมีพันธะคู่หลายคู่ (polyunsaturated) ถ้ามีพันธะคู่มากกว่านั้น ในที่ ๆ เกิดพันธะคู่ โซ่คาร์บอนจะไร้อะตอมไฮโดรเจน ดังนั้น ไขมันอิ่มตัวที่ไม่มีพันธะคู่เลย ก็จะมีไฮโดรเจนยึดกับคาร์บอนเป็นจำนวนมากที่สุด และดังนั้น จึง "อิ่มตัว" เพราะมีไฮโดรเจนเต็ม ในเมแทบอลิซึมระดับเซลล์ โมเลกุลไขมันไม่อิ่มตัวมีพลังงาน (คือ แคลอรี) น้อยกว่าไขมันอิ่มตัวเท่า ๆ กัน กรดไขมันยิ่งไม่อิ่มตัวเท่าไร (คือมีพันธะคู่มากขึ้น ๆ) ก็จะไวต่อกระบวนการ lipid peroxidation คือหืน/มีกลิ่นเหม็นง่ายยิ่งขึ้นเท่านั้น สารต้านอนุมูลอิสระเช่นวิตามินสามารถป้องกันไขมันไม่อิ่มตัวจากกระบวนการนี้ 6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

4


ข้อ จ.

ดูจากนาราง 6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

5


Triglyceride ไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride) หรืออาจเรียกว่า ไตรเอซีลกลีเซอรอล (triacylglycerol) เป็นสารในกลุ่มลิพิด (lipid) ซึ่งเป็น ส่วนประกอบหลักของน้ำมันและไขมันที่ใช้เป็นอาหาร โมเลกุลของไตรกลีเซอไรด์ เกิดจากการรวมตัวของกรดไขมัน (fatty acid) 3 โมเลกุล กับกลีเซอรอล 1 โมเลกุลด้วยพันธะเอสเทอร์ โดยที่กรดไขมันทั้งสามโมเลกุล (R1, R2, R3) ในโมเลกุลของไตรกลีเซอไรด์ หากเหมือนกัน เรียกว่า simple trigleyceride หรือหาก แตกต่างกัน เรียกว่า mixed triglyceride 6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

6


ค.โปรตีนจัดเป็นสารประกอบที่เห็น แอมโฟเทริก (amphottric)

เนื่องจากเป็นได้ทั้งกรดและเบส แอมโฟเทริก (amphoteric) หมายถึงสารประกอบที่ในโมเลกุลมีทั้งประจุบวกและประจุลบ เช่น โปรตีน จึงมีสมบัติเป็นได้ทั้งกรดและด่าง (เบส) 6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

7


ง. เพปไทด์ท่ีประกอบด้วยกรดอะมิโนท้ัง 3 ชนิดข้างต้นโดยไม่มีกรดอะมิโนที่ซ้ํากันมีทั้งหมด3ชนิด

เนื่องจากเป็นกรดอะมิโนที่ไม่อหมือนกัน 6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

8


ก. เอนไซม์เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่ pH ไม่เท่ากับ 7

เนื่องจากใช้เวลามากในการเกิดปฏิกิริยา ค่าความเป็นกรดด่างทำให้เกิดการเปลี่ยนสภาพของเอนไซม์ 6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

9


ง. 2 และ 3

คนเป็นเบาหวานมีปริมาณอินซูลินน้อย ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากไม่มีการเปลี่ยนกลูโคสเป็นไกลโคเจน อินซูลิน เป็น ฮอร์โมนที่สร้างและหลั่งจากเบต้าเซลล์ของตับอ่อน มีหน้าที่พาน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกายเพื่อเผาผลาญเป็นพลังงาน ถ้าร่างกายขาดอินซูลิน หรือ การออกฤทธิ์ของอินซูลินไม่ดี ร่างกายก็จะไม่สามารถเอาน้ำตาลไปใช้ได้ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง 6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

10


ข. โปรตีน

เนื่องจากมีหน่วยเล็กเป็นพันธะเปปไทด์ และละลายน้ำได้ ฮอร์โมนอินซูลินเป็นฮอร์โมนประเภทเปปไทด์ ที่ช่วยในการสร้างสารชีวโมเลกุล (anabolic hormone) เพิ่มการเก็บกลูโคส กรดไขมัน และโปรตีน จากกระแสเลือด ทำงานตรงกันข้ามกับฮอร์โมนกลูคากอน เราสามารถศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับฮอร์โมนอินซูลินไ 6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

11


3. มีสารพันธุกรรมเช่นเดียวกับเชื้อก่อโรค Influenza , AIDS

เนื่องจากเป็นไวรัสเหมือนกัน ไวรัสซาร์ส-โควี-2 (Severe Acute Respiratory Syndrome-Coronavirus-2; SARS-CoV-2) จากการศึกษารหัสพันธุกรรมและลำดับนิวคลิโอไทด์ทั้งหมดในจีโนม (whole genome sequencing) ของเชื้อไวรัสซาร์ส-โควี-2 พบว่ามีลำดับนิวคลิโอไทด์ทั้งหมดประมาณ 29,903 คู่เบส และถูกจัดอยู่ในตระกูล (family) Coronaviridae สกุล (genus) Betacoronavirus สกุลย่อย (sub-genus) Sarbecovirus เช่นเดียวกับไวรัสซาร์สที่พบก่อนหน้านี้ โดยเมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงวิวัฒนาการ (phylogenetic tree) พบว่าเชื้อไวรัสซาร์ส-โควี-2 มีความใกล้เคียงกับเชื้อไวรัสซาร์สของค้าวคาว (bat SARS-like coronavirus) ที่พบในประเทศจีน ประมาณร้อยละ 96 และไวรัสซาร์สของมนุษย์ (SARS-CoV) ประมาณร้อยละ 80 (รูปที่ 1)4 10

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

12


5. Ferredoxin และ plastoquinone ถูกสร้างออกมามากขึ้นเพื่อทดแทนการทำงาน cytochrome ในกระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน

เนื่องจากไปยับยั้งการถ่ายทอดอิเล็กตรอน 10

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

13


จ. กรดอะมิโน

เพราะกรดอะมิโนเมื่อละลายนํา้แล้วหมู่–COOHจะแตกตวัให้H+ ไปโปรโตเนตหมู่–NH2 เกิดเป็นหมู่– COO- (เบส) และ –NH3+ (กรด) ทําให้มีสมบตั ิเป็นบฟั เฟอร์ ส่วนกรดไขมนั มีเฉพาะหมู่ –COOH สําหรับนํา้ ตาลโมเลกุล เดี่ยวมีหมู่–OHและคลอเลสเตอรอลมีแตห่ มเู่อสเทอร์( OC O ) เพราะกรดอะมิโนเมื่อละลายนํา้แล้วหมู่–COOHจะแตกตวัให้H+ ไปโปรโตเนตหมู่–NH2 เกิดเป็นหมู่– COO- (เบส) และ –NH3+ (กรด) ทําให้มีสมบตั ิเป็นบฟั เฟอร์ ส่วนกรดไขมนั มีเฉพาะหมู่ –COOH สําหรับนํา้ ตาลโมเลกุล เดี่ยวมีหมู่–OHและคลอเลสเตอรอลมีแตห่ มเู่อสเทอร์( OC O ) 6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

14


ก. W, X และ Y

เนื่องจาก CH3COOH เป็นกรดน้ำส้ม ไม่เกิดตะกอนแดงอิฐ ใช้ทดสอบ : น้ำตาล วิธีการทดสอบ : หยดสารละลายเบเนดิกต์ 5 หยดลงในสารละลายที่ต้องการทดสอบ แล้วนำหลอดทดลองไปต้มในบีกเกอร์ 2 นาที หากมีน้ำตาลจะได้ตะกอนสีแดงอิฐ ผลการทดสอบ : ถ้านำไปทดสอบสารใด ๆ แล้วเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีส้ม สีแดงอิฐ แสดงว่าสารนั้นมีน้ำตาล 6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

15


จ. ไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัว ไฮโดรคาร์บอนไม่อิ่มตัว กรดคาร์บอกซิลิก แป้ง

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

16


ง. นมถั่วเหลือง กลูโคส น้ำตาลทราย

X โปรตีน Y น้ำตาล Z ไม่พบแป้ง ใช้ทดสอบ : น้ำตาล วิธีการทดสอบ : หยดสารละลายเบเนดิกต์ 5 หยดลงในสารละลายที่ต้องการทดสอบ แล้วนำหลอดทดลองไปต้มในบีกเกอร์ 2 นาที หากมีน้ำตาลจะได้ตะกอนสีแดงอิฐ ผลการทดสอบ : ถ้านำไปทดสอบสารใด ๆ แล้วเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีส้ม สีแดงอิฐ แสดงว่าสารนั้นมีน้ำตาลสารละลายไอโอดีน : มีสีน้าตาลเหลือง ใช้ทดสอบ : แป้ง วิธีการทดสอบ : หยดสารละลายไอโอดีน 1 หยดลงใน สารละลายที่ต้องการทดสอบ ผลการทดสอบ : ถ้าน้าไปทดสอบสารใด ๆ แล้วเปลี่ยนจากสีน้าตาลเหลือง เป็นสีน้าเงินเข้มหรือสีน้าเงินปนม่วง แสดงว่ามีแป้ง ปฏิกิริยาไบยูเรต (Biuret reaction) การทดสอบโปรตีนสามารถทดสอบได้ด้วยปฏิกิริยาไบยูเรต โดยให้โปรตีนทำปฏิกิริยากับสารละลาย CuSO4ในสารละลายเบส NaOH หรือ KOH จะได้สารสีน้ำเงินม่วง โดยปฏิกิริยา CuSO4ในสารละลายเบสจะทำปฏิกิริยากับองค์ประกอบย่อยของโปรตีนคือ กรดอะมิโน ได้สารสีน้ำเงินม่วง ซึ่งเป็นสารประกอบเชิงซ้อนระหว่าง Cu2+กับไนโตรเจนในสารที่มีพันธะเพปไทด์ตั้งแต่ 2 พันธะขึ้นไป 6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

17


ข. มีข้อถูก 2 ข้อ

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

18


ไม่ต่างกัน เนื่องจากเป็นกรดอะมิโนชนิดเดียวกัน 6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

19


Y ไม่มีสิทธิ์เกิด X Z เป็นการ สลายด้วยน้ำ hydrolysis 6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

20


ข. มีข้อถูก 2 ข้อ

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

21


ข. ข้อ 1 และ ข้อ 2 ถูก

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

22


ไม่ถูกต้อง เกี่ยวกับอะไมโลสและอะไมเลส

ง. อะไมเลส เปลี่ยนสีสารละลายคอปเปอร์ซัลเฟตเป็นสีม่วงในสภาวะที่เป็นเบส

อะไมเลสไม่ทำปฏิกิริยากับคอปเปอร์ซัลเฟต ปฏิกิริยาไบยูเรต (Biuret reaction) การทดสอบโปรตีนสามารถทดสอบได้ด้วยปฏิกิริยาไบยูเรต โดยให้โปรตีนทำปฏิกิริยากับสารละลาย CuSO4ในสารละลายเบส NaOH หรือ KOH จะได้สารสีน้ำเงินม่วง โดยปฏิกิริยา CuSO4ในสารละลายเบสจะทำปฏิกิริยากับองค์ประกอบย่อยของโปรตีนคือ กรดอะมิโน ได้สารสีน้ำเงินม่วง ซึ่งเป็นสารประกอบเชิงซ้อนระหว่าง Cu2+กับไนโตรเจนในสารที่มีพันธะเพปไทด์ตั้งแต่ 2 พันธะขึ้นไป 6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

23


2. Inducer

จากวิดีโอ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

24


1. Glucose เป็นแหล่งพลังงานของเซลล์

วิดีโอกล่าวถึงการแสดงอแกของยีน 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

25


4. Cellular metabolism

วิดีโอกล่าวถึงการแสดงออกของยีน 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

ผลคะแนน 80.8 เต็ม 161

แท๊ก หลักคิด
แท๊ก อธิบาย
แท๊ก ภาษา