ตรวจข้อสอบ > ฑิฆัมพร จิตแสง > เคมีเชิงวิทยาศาสตร์การแพทย์ | Chemistry in Medical Science > Part 2 > ตรวจ

ใช้เวลาสอบ 24 นาที

Back

# คำถาม คำตอบ ถูก / ผิด สาเหตุ/ขยายความ ทฤษฎีหลักคิด/อ้างอิงในการตอบ คะแนนเต็ม ให้คะแนน
1


What is hybrid micellar liquid chromatography primarily used for in the study?

To detect commonly used pesticides in vegetables.

โครมาโทกราฟีของเหลวไมเซลลาร์ไฮบริด (Micellar Hybrid Liquid Chromatography) เป็นเทคนิควิเคราะห์ที่มักใช้เพื่อแยกและตรวจจับสารเคมี เช่น ยาฆ่าแมลงในตัวอย่างอาหารหรือผัก เพื่อประเมินความปลอดภัยและตรวจสอบการปนเปื้อนสารเคมีเหล่านี้ในผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร งานวิจัยหลายฉบับที่สนับสนุนการใช้ โครมาโทกราฟีของเหลวไมเซลลาร์ (Micellar Liquid Chromatography - MLC) และ โครมาโทกราฟีของเหลวไมเซลลาร์อิเล็กโทรคิเนติก (Micellar Electrokinetic Chromatography - MEKC) ในการตรวจจับยาฆ่าแมลงที่ใช้กันทั่วไปในผักและผลไม้ โดยเฉพาะในกรณีของยาฆ่าแมลงที่มีคุณสมบัติเป็นไอออนิกหรือมีความเป็นกรด/ด่างสูง ซึ่งยากต่อการวิเคราะห์ด้วยเทคนิคโครมาโทกราฟีทั่วไป ตัวอย่างงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่: การใช้ MEKC ในการวิเคราะห์ยาฆ่าแมลงในผักและผลไม้: การศึกษานี้ใช้ MEKC เพื่อวิเคราะห์ยาฆ่าแมลงในผักและผลไม้ โดยใช้โซเดียมโดเดซิลซัลเฟต (SDS) เป็นสารตั้งต้นไมเซลล์ ซึ่งช่วยให้การแยกสารเคมีที่มีคุณสมบัติเป็นไอออนิกหรือมีความเป็นกรด/ด่างสูงเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

2


Which pesticide was found most commonly in the vegetable samples?

Imidacloprid

อิมิดาโคลพริดเป็นสารกำจัดศัตรูพืชชนิดนีโอนิโคลิโนยด์ (neonicotinoid) ที่ได้รับความนิยมสูงและถูกพบมากที่สุดในตัวอย่างผักหลายการศึกษาทั่วโลก เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงศัตรูพืช และใช้กันอย่างแพร่หลายในเกษตรกรรม การตรวจสอบสารตกค้างของอิมิดาโคลพริดในผักและผลไม้จากจอร์แดน การศึกษานี้ใช้เทคนิค Gas Chromatography-Mass Spectrometry (GC-MS) ในการวิเคราะห์ตัวอย่างผักและผลไม้ 300 ตัวอย่างจากจอร์แดน พบว่า 39.7% ของตัวอย่างมีสารตกค้างของอิมิดาโคลพริด โดยระดับสารตกค้างในผักและผลไม้มีค่าตั้งแต่ต่ำกว่าขีดจำกัดการวัด (Limit of Quantification) ถึง 0.40 มิลลิกรัม/กิโลกรัม 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

3


What percentage of the vegetable samples tested were found to contain no detectable pesticides?

8%

จากงานวิจัยเช่น การศึกษาจากประเทศจอร์แดน (PMCID: PMC10679860) พบว่า มีเพียง 8% ของตัวอย่างผัก ที่ไม่พบสารกำจัดศัตรูพืชตกค้างในระดับที่ตรวจพบได้ (detectable levels) หมายความว่า 92% ของผักตัวอย่างตรวจพบสารกำจัดศัตรูพืช ไม่ว่าระดับจะเกินหรือไม่เกินมาตรฐานก็ตาม เป็นตัวชี้วัดสำคัญถึงความแพร่หลายของการใช้สารเคมีในการเพาะปลูกผัก จากงานวิจัยเช่น การศึกษาจากประเทศจอร์แดน (PMCID: PMC10679860) พบว่า มีเพียง 8% ของตัวอย่างผัก ที่ไม่พบสารกำจัดศัตรูพืชตกค้างในระดับที่ตรวจพบได้ (detectable levels) หมายความว่า 92% ของผักตัวอย่างตรวจพบสารกำจัดศัตรูพืช ไม่ว่าระดับจะเกินหรือไม่เกินมาตรฐานก็ตาม เป็นตัวชี้วัดสำคัญถึงความแพร่หลายของการใช้สารเคมีในการเพาะปลูกผัก 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

4


Which of the following is NOT a reason for the use of hybrid micellar liquid chromatography (HMLC)?

It requires extensive solvent use.

โครมาโทกราฟีของเหลวไมเซลลาร์ไฮบริด (Hybrid Micellar Liquid Chromatography - HMLC) เป็นเทคนิคที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น “เทคนิควิเคราะห์แบบสีเขียว (green analytical method)” เนื่องจาก: ใช้ สารเคมีพิษในปริมาณต่ำ ให้ ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ง่ายต่อการจัดการ ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวทำละลายอินทรีย์ในปริมาณมาก (ใช้ปริมาณน้อยกว่าเทคนิค HPLC แบบดั้งเดิม) งานวิจัยใน Journal of Taibah University for Science (2022) นำ HMLC มาใช้ในการกำหนดค่า pKa (ค่าความเป็นกรด‑เบส) ของสารอย่างเช่น ไอบูโพรเฟน, แนปรอกเซน และเบนโซอิกแอซิด โดยได้ค่าที่ใกล้เคียงกับการทดลองและคำนวณอื่นๆ ชี้ว่า HMLC ใช้งานได้จริงและหลากหลาย 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

5


What was the primary methodological change in the HMLC technique used in the study?

Use of a micellar mobile phase with reduced solvent usage.

เทคนิค HMLC (Hybrid Micellar Liquid Chromatography) มีจุดเด่นคือการประยุกต์ใช้ เฟสเคลื่อนที่ไมเซลลาร์ (micellar mobile phase) ที่มี สารลดแรงตึงผิว (เช่น SDS) ผสมในน้ำ ซึ่ง: ช่วย ลดการใช้ตัวทำละลายอินทรีย์ที่มีพิษ (เช่น เมทานอลหรืออะซีโตไนไตรล์) สนับสนุนแนวคิด Green Analytical Chemistry ยังให้ความสามารถในการแยกสารที่มีขั้วและไม่มีขั้วได้ดี ปรับปรุงความปลอดภัย และลดต้นทุนการวิเคราะห์ สูตรตัวอย่าง (จากการศึกษาใน COVID‑19 regimen) SDS (sodium dodecyl sulfate): 0.01 mol/L Brij‑35 (non‑ionic surfactant): 0.02 mol/L เพิ่ม TEA (Triethylamine) ประมาณ 0.1–0.4% เพื่อปรับปรุงรูปร่างของ peak ปรับ pH ของ buffer ให้อยู่ที่ 2.8 โดยใช้น้ำยากรด ortho‑phosphoric acid ใช้ buffered aqueous phase เป็นหลัก และลดการใช้ตัวทำละลายอินทรีย์ให้น้อยที่สุด สรุปสูตรอย่างสั้น: 0.01 M SDS + 0.02 M Brij‑35 0.1–0.4% TEA ปรับ pH = 2.8 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

6


According to the study, why might vegetable growers prefer other pesticides over Imidacloprid (ICP)?

ICP has a higher environmental impact.

อิมิดาโคลพริด (Imidacloprid: ICP) เป็นสารกำจัดแมลงในกลุ่ม นีโอนิโคตินอยด์ (neonicotinoids) ซึ่งมีการใช้อย่างแพร่หลายเพราะมีประสิทธิภาพสูงและออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทของแมลงศัตรูพืช งานวิจัยจำนวนมากแสดงว่า ICP มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะ: ทำให้ประชากรผึ้งลดลง (ส่งผลต่อการผสมเกสร) ปนเปื้อนในแหล่งน้ำ (แม้ใช้ในปริมาณน้อย) ส่งผลต่อสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในดินและน้ำ หลายประเทศในยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ ได้ออก ข้อห้ามหรือจำกัดการใช้ ICP และสารในกลุ่มเดียวกัน 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

7


What is the major benefit of using ICP as a pesticide, according to the study?

It is more effective than any other pesticide.

Imidacloprid (ICP) เป็นยาฆ่าแมลงในกลุ่ม neonicotinoid ที่ออกฤทธิ์โดยการรบกวนระบบประสาทของแมลง ทำให้แมลงตายอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง ข้อดีหลักของ ICP ตามงานวิจัย: ออกฤทธิ์เร็ว และควบคุมแมลงได้หลากหลายชนิด เช่น เพลี้ยอ่อน, เพลี้ยไฟ, แมลงหวี่ ฯลฯ ออกฤทธิ์ทั้งแบบสัมผัสและดูดซึม (systemic action) หมายความว่าแมลงที่ดูดกินน้ำเลี้ยงจากพืชจะ ได้รับพิษ ใช้ใน ปริมาณน้อย แต่ให้ผลการควบคุมแมลงได้ ยาวนาน เมล็ด มีความคงตัวสูง และใช้งานได้ทั้งฉีดพ่นและคลุก 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

8


What aspect of the pesticide detection method was focused on during the method validation phase?

Ensuring it can detect extremely low pesticide levels.

ในขั้นตอนการตรวจสอบวิธีการตรวจจับยาฆ่าแมลง เป้าหมายหลักมักจะเน้นที่ ความไว (sensitivity) และ ขีดจำกัดการตรวจจับ (limit of detection) ของวิธีนั้น ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถตรวจพบยาฆ่าแมลงได้แม้ในปริมาณที่ต่ำมาก ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในด้านความปลอดภัยของผู้บริโภคและการปฏิบัติตามมาตรฐานด้านอาหาร. Zhou et al. (2019) ในงานวิจัยเรื่อง “Sensitive detection of pesticide residues in fruits and vegetables using advanced chromatographic techniques” งานวิจัยนี้เน้นการพัฒนาวิธีการตรวจวัดยาฆ่าแมลงที่มีความไวสูง สามารถตรวจจับสารตกค้างในระดับพิโคกรัมต่อกรัม (pg/g) ได้ ซึ่งช่วยให้การประเมินความปลอดภัยของอาหารมีความแม่นยำมากขึ้น 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

9


Considering the environmental impacts discussed, why is the HMLC method considered 'green'?

It involves less waste and uses low-toxicity solvents.

วิธี HMLC (High-Performance Micellar Liquid Chromatography) ถือว่าเป็นวิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพราะใช้ตัวทำละลายที่เป็นมิตรและลดปริมาณของเสียที่เกิดขึ้นจากการวิเคราะห์ เช่น ใช้สารลดแรงตึงผิว (micelles) แทนตัวทำละลายอินทรีย์ที่เป็นพิษ และลดปริมาณของสารเคมีที่ต้องใช้ ทำให้ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งในขั้นตอนการวิเคราะห์และการกำจัดของเสียหลังการทดสอบ Cameron et al. (2017) งานวิจัยเรื่อง “Micellar liquid chromatography as a green analytical technique for pesticide residue analysis” ระบุว่า HMLC ใช้สารลดแรงตึงผิวแทนตัวทำละลายอินทรีย์ที่เป็นพิษ ทำให้ลดการปล่อยสารเคมีที่เป็นอันตรายลงอย่างมาก และลดขยะสารเคมีในห้องปฏิบัติการได้ ชี้ให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่ดีในงานวิเคราะห์สารตกค้างโดยไม่ต้องพึ่งพาตัวทำละลายอินทรีย์ในปริมาณมาก 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

10


What is the importance of the photodiode array detector in the HMLC technique used in the study?

It detects the presence of pesticides across a spectrum of wavelengths.

เครื่องตรวจจับอาร์เรย์โฟโตไดโอด (Photodiode Array Detector, PDA) ในเทคนิค HMLC มีหน้าที่ตรวจจับสารเคมีต่าง ๆ โดยการวัดการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่นต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้สามารถระบุและวัดความเข้มข้นของยาฆ่าแมลงได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วในช่วงสเปกตรัมที่เหมาะสม นอกจากนี้ PDA ยังช่วยให้เห็นข้อมูลสเปกตรัมเต็มรูปแบบของสาร ทำให้สามารถแยกแยะสารที่มีโครงสร้างคล้ายกันได้ดีขึ้น ในบทความ “Advances in chromatographic detection techniques for pesticide residues” ระบุว่า PDA detector เป็นเครื่องมือสำคัญใน HMLC ที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำและความชัดเจนในการระบุสาร ด้วยการเก็บข้อมูลสเปกตรัมหลายความยาวคลื่นในเวลาเดียวกัน ช่วยให้การตรวจจับสารตกค้างในอาหารมีความน่าเชื่อถือสูงขึ้น 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

11


What is hyperthermia commonly used to treat?

Cancer

ภาวะไฮเปอร์เทอร์เมีย (Hyperthermia) ในทางการแพทย์หมายถึงการใช้ความร้อนในระดับที่ควบคุมได้เพื่อรักษาโรค โดยเฉพาะในกรณีของ มะเร็ง เพราะความร้อนสามารถช่วยทำลายเซลล์มะเร็งหรือเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา เช่น การทำเคมีบำบัดหรือการฉายรังสีร่วมด้วย ช่วยเพิ่มการทำลายเซลล์มะเร็งได้ดียิ่งขึ้น งานวิจัยเรื่อง “Hyperthermia and cancer treatment: Current status and future prospects” ระบุว่า การใช้ความร้อนเพื่อเพิ่มอุณหภูมิร่างกายหรือเนื้อเยื่อในระดับ 40-45°C ช่วยเพิ่มความไวของเซลล์มะเร็งต่อการรักษาด้วยเคมีบำบัดและรังสีบำบัด งานวิจัยนี้สรุปว่าภาวะไฮเปอร์เทอร์เมียเป็นวิธีที่มีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพการรักษามะเร็ง 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

12


Which method is used to apply heat directly to a tumor in local hyperthermia?

Microwaves

ในภาวะไฮเปอร์เทอร์เมียเฉพาะที่ (local hyperthermia) การใช้ ไมโครเวฟ (Microwave) เป็นวิธีที่นิยมใช้เพื่อทำให้เนื้องอกได้รับความร้อนโดยตรงและแม่นยำ เนื่องจากไมโครเวฟสามารถเจาะลึกเข้าไปในเนื้อเยื่อและให้ความร้อนที่ระดับที่เหมาะสมกับการทำลายเซลล์มะเร็งโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้างมากเกินไป งานวิจัยเรื่อง “Hyperthermia in combined treatment of cancer” ระบุว่า การใช้ไมโครเวฟเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการให้ความร้อนเฉพาะที่แก่เนื้องอก ทำให้เซลล์มะเร็งไวต่อการรักษาเคมีและรังสีบำบัดมากขึ้น อธิบายว่าการใช้ไมโครเวฟสามารถควบคุมอุณหภูมิและพื้นที่เป้าหมายได้ดี ส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงน้อย 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

13


What is the primary benefit of using hyperthermia in cancer treatment?

It kills cancer cells with minimal damage to normal cells.

ภาวะไฮเปอร์เทอร์เมีย (Hyperthermia) ใช้ความร้อนระดับ 40-45°C เพื่อทำลายหรือเพิ่มความไวของเซลล์มะเร็งต่อการรักษาอื่น ๆ เช่น เคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด โดยที่เซลล์ปกติจะทนต่อความร้อนได้ดีกว่าเซลล์มะเร็ง จึงทำให้วิธีนี้สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยสร้างความเสียหายต่อเซลล์ปกติน้อยที่สุด งานวิจัยเรื่อง “Cell biological effects of hyperthermia alone or combined with radiation or drugs: a short introduction to newcomers in the field” อธิบายว่าเซลล์มะเร็งมีความไวต่อความร้อนสูงกว่าเซลล์ปกติ เนื่องจากการแตกต่างของการไหลเวียนเลือดและการซ่อมแซมดีเอ็นเอ ดังนั้นภาวะไฮเปอร์เทอร์เมียสามารถทำลายเซลล์มะเร็งโดยไม่ส่งผลเสียต่อเซลล์ปกติมากนัก 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

14


Hyperthermia is often used in combination with which of the following treatments?

Radiotherapy and chemotherapy

ภาวะไฮเปอร์เทอร์เมียมักใช้ร่วมกับการรักษา รังสีบำบัด และ เคมีบำบัด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำลายเซลล์มะเร็ง ความร้อนช่วยทำให้เซลล์มะเร็งไวต่อรังสีและยาเคมีบำบัดมากขึ้น ส่งผลให้การรักษามีประสิทธิผลสูงขึ้นโดยไม่เพิ่มผลข้างเคียงมากนัก งานวิจัยเรื่อง “Effect of hyperthermia on treatment of cervical cancer” พบว่าการใช้ไฮเปอร์เทอร์เมียร่วมกับรังสีบำบัดช่วยเพิ่มอัตราการตอบสนองของเนื้องอกและเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

15


What is the main challenge of using hyperthermia in cancer treatment?

Reaching and maintaining the required temperature in the target area.

หนึ่งในความท้าทายหลักของการใช้ภาวะไฮเปอร์เทอร์เมียในการรักษามะเร็ง คือการควบคุมและรักษาอุณหภูมิในบริเวณเนื้องอกให้คงที่ในช่วงที่เหมาะสม (ประมาณ 40-45°C) โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อปกติรอบข้าง การเข้าถึงเนื้องอกในตำแหน่งที่ลึกหรือซับซ้อนก็เป็นอีกอุปสรรคสำคัญ เพราะการกระจายความร้อนต้องแม่นยำและควบคุมได้ งานวิจัยเรื่อง “Hyperthermia in combined treatment of cancer” อธิบายว่า การควบคุมอุณหภูมิในบริเวณเนื้องอกอย่างแม่นยำเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะเนื้องอกที่อยู่ลึกหรือมีรูปร่างซับซ้อน เน้นความสำคัญของเทคนิคการวัดและควบคุมอุณหภูมิที่แม่นยำเพื่อประสิทธิภาพการรักษาและลดผลข้างเคียง 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

16


Which type of hyperthermia involves heating a larger region or the whole body?

Regional hyperthermia

งานวิจัยเรื่อง “Hyperthermia in combined treatment of cancer” อธิบายว่า การควบคุมอุณหภูมิในบริเวณเนื้องอกอย่างแม่นยำเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะเนื้องอกที่อยู่ลึกหรือมีรูปร่างซับซ้อน เน้นความสำคัญของเทคนิคการวัดและควบคุมอุณหภูมิที่แม่นยำเพื่อประสิทธิภาพการรักษาและลดผลข้างเคียง งานวิจัยเรื่อง “Regional hyperthermia in cancer treatment” อธิบายการใช้ความร้อนในระดับภูมิภาคเพื่อรักษามะเร็ง โดยเน้นการให้ความร้อนแก่ส่วนของร่างกาย เช่น ช่องท้องหรือแขนขา รายงานผลการรักษาที่ดีและประสิทธิภาพการควบคุมอุณหภูมิในระดับภูมิภาค 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

17


What type of hyperthermia uses applicators inserted into or near a body cavity to deliver heat?

Interstitial hyperthermia

Interstitial hyperthermia คือการใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่สอดเข้าไปในหรือใกล้กับช่องว่างในร่างกาย เช่น เนื้อเยื่อหรือโพรง เพื่อส่งความร้อนโดยตรงไปยังเนื้องอกหรือบริเวณเป้าหมาย งานวิจัยเรื่อง “Interstitial hyperthermia: Techniques and clinical applications” อธิบายเทคนิคการใช้แหล่งความร้อนที่สอดเข้าไปในเนื้อเยื่อ เช่น ไมโครเวฟหรือคลื่นวิทยุ เพื่อรักษาเนื้องอกลึก เน้นประสิทธิภาพและข้อดีของการรักษาที่มีความแม่นยำสูง 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

18


What is a significant potential side effect of whole-body hyperthermia?

Systemic stress affecting major organs

ภาวะไฮเปอร์เทอร์เมียทั่วร่างกาย (whole-body hyperthermia) อาจทำให้เกิดความเครียดทางระบบร่างกายอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ ปอด และไต ซึ่งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ ภาวะไฮเปอร์เทอร์เมียทั่วร่างกาย (Whole-body hyperthermia, WBH) อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะสำคัญในร่างกาย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นหลายระบบ ดังนี้: 1. ระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System) WBH อาจทำให้เกิดสมองบวม (Cerebral edema) และเพิ่มความซึมผ่านของอุปสรรคเลือด-น้ำไขสันหลัง (Blood-cerebrospinal fluid barrier) ส่งผลให้สารพิษจากลำไส้เข้าสู่สมองได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดปกติทางระบบประสาท เช่น อาการสับสนหรือชัก 2. ระบบหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular System) WBH สามารถเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต เพื่อปรับสมดุลการไหลเวียนโลหิต แต่หากอุณหภูมิสูงเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันหรือความดันโลหิตต่ำเฉียบพลันได้ 3. ระบบทางเดินหายใจ (Respiratory System) การเพิ่มอุณหภูมิทั่วร่างกายอาจทำให้เกิดภาวะบวมของปอด (Pulmonary edema) ซึ่งส่งผลต่อการแลกเปลี่ยนก๊าซในปอด และอาจทำให้เกิดภาวะหายใจล้มเหลวได้ 4. ระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal System) WBH สามารถเพิ่มความซึมผ่านของลำไส้ ทำให้แบคทีเรียและสารพิษจากลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดได้ ซึ่งอาจกระตุ้นการอักเสบทั่วร่างกายและทำให้เกิดภาวะหลายอวัยวะล้มเหลว (Multiple organ dysfunction) 5. ระบบไต (Renal System) WBH อาจทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน (Acute kidney injury, AKI) โดยการเพิ่มความเครียดออกซิเดชันและการอักเสบในเนื้อเยื่อไต ซึ่งอาจทำให้การทำงานของไตลดลงหรือหยุดทำงานได้ 6. ระบบตับ (Hepatic System) WBH อาจทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเฉียบพลัน (Acute liver injury) โดยการเพิ่มความเครียดออกซิเดชันและการอักเสบในเนื้อเยื่อตับ ซึ่งอาจทำให้การทำงานของตับลดลงหรือหยุดทำงานได้ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

19


Considering the physics of heat transfer, why is controlling hyperthermia challenging during treatment?

Human tissue has varying thermal conductivities which affect heat distribution.

เนื้อเยื่อแต่ละชนิดในร่างกายมีความสามารถในการนำและกระจายความร้อนไม่เท่ากัน เช่น เนื้อเยื่อไขมันจะนำความร้อนได้ต่ำกว่าเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ ส่งผลให้การควบคุมและรักษาอุณหภูมิให้คงที่ในบริเวณเนื้องอกเป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะความร้อนอาจกระจายไม่สม่ำเสมอหรือหลุดออกไปยังเนื้อเยื่อปกติ การศึกษาพบว่า การกระจายความร้อนในเนื้อเยื่อที่มีความแตกต่างกันทางสมบัติทางความร้อนส่งผลต่อการกระจายอุณหภูมิและความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างการรักษาไฮเปอร์เทอร์เมีย การใช้สมการการถ่ายเทความร้อน (bioheat equation) สามารถช่วยในการจำลองและคาดการณ์การกระจายความร้อนในเนื้อเยื่อมนุษย์ แต่ต้องพิจารณาความแตกต่างของสมบัติทางความร้อนของเนื้อเยื่อแต่ละประเภทเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

20


Why is hyperthermia considered a beneficial adjunct to radiotherapy and chemotherapy?

It makes cancer cells more susceptible to other treatments.

ภาวะไฮเปอร์เทอร์เมียช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการฉายรังสีและเคมีบำบัด โดยการทำให้เซลล์มะเร็งไวต่อการรักษาเหล่านี้มากขึ้น เช่น การเพิ่มความไวต่อรังสี หรือเพิ่มการดูดซึมยาเคมีบำบัด ส่งผลให้การรักษามีประสิทธิผลสูงขึ้นและอาจลดขนาดเนื้องอกได้ดีขึ้น ภาวะไฮเปอร์เทอร์เมีย (Hyperthermia) ได้รับการพิสูจน์ว่าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการฉายรังสีและเคมีบำบัด โดยการทำให้เซลล์มะเร็งไวต่อการรักษาเหล่านี้มากขึ้น ผ่านกลไกต่าง ๆ ดังนี้: 1. การเพิ่มความไวต่อรังสี (Radiation Sensitization) การศึกษาพบว่า ภาวะไฮเปอร์เทอร์เมียสามารถเพิ่มระดับของอนุมูลอิสระ (ROS) ในเซลล์มะเร็ง ซึ่งนำไปสู่การกระตุ้นการตายของเซลล์ผ่านกระบวนการออโตฟาจี (Autophagic cell death) และลดความสามารถในการซ่อมแซม DNA ของเซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งไวต่อการฉายรังสีมากขึ้น 2. การเพิ่มความไวต่อเคมีบำบัด (Chemosensitization) ภาวะไฮเปอร์เทอร์เมียช่วยลดการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซม DNA เช่น RRM2, TS และ ERCC1 ในเซลล์มะเร็งตับอ่อน ซึ่งส่งผลให้เซลล์มะเร็งไวต่อการทำลายจากยาเคมีบำบัดมากขึ้น 3. การกระตุ้นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน (Immune Response) การรวมกันของการฉายรังสีและภาวะไฮเปอร์เทอร์เมียสามารถกระตุ้นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน โดยการเพิ่มการแสดงออกของโปรตีน HSP70 ซึ่งช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ T และเซลล์ NK ในการทำลายเซลล์มะเร็ง และเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในเนื้องอก ทำให้ยาเคมีบำบัดสามารถเข้าถึงเนื้องอกได้ดีขึ้น 4. การลดการซ่อมแซม DNA ภาวะไฮเปอร์เทอร์เมียสามารถยับยั้งการซ่อมแซม DNA โดยการลดการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซม DNA เช่น Rad51 ในเซลล์มะเร็ง ซึ่งทำให้เซลล์มะเร็งไวต่อการทำลายจากการฉายรังสีมากขึ้น 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

ผลคะแนน 99.5 เต็ม 140

แท๊ก หลักคิด
แท๊ก อธิบาย
แท๊ก ภาษา