ตรวจข้อสอบ > ปภังกร สกุลนิรันดร > การแข่งขันและทดสอบความถนัดทางการแพทย์ | ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย > Part 2 > ตรวจ

ใช้เวลาสอบ 20 นาที

Back

# คำถาม คำตอบ ถูก / ผิด สาเหตุ/ขยายความ ทฤษฎีหลักคิด/อ้างอิงในการตอบ คะแนนเต็ม ให้คะแนน
1


เป้าหมายหลักของการใช้การสัมผัสปลายนิ้วของมนุษย์ในกระบวนการประกอบหุ่นยนต์คืออะไร

เพื่อกำจัดความล้มเหลวในการประกอบ เช่น การกัดเพลาและรู

ในกระบวนการ ประกอบหุ่นยนต์แบบอัตโนมัติ, หนึ่งในปัญหาสำคัญคือ ความล้มเหลวในการใส่ชิ้นส่วนให้พอดี เช่น: การใส่เพลาเข้ารูไม่ตรงแนว (misalignment) การใช้การสัมผัสปลายนิ้วของมนุษย์ (human fingertip sensing) ช่วยให้: หุ่นยนต์สามารถรับรู้แรงและตำแหน่งที่ละเอียดได้คล้ายมนุษย์ ปรับแรงและตำแหน่งแบบเรียลไทม์ หลีกเลี่ยงการประกอบผิดพลาดโดยอาศัยข้อมูลสัมผัส งานวิจัยด้าน “Peg-in-Hole Assembly” ในหุ่นยนต์ เช่น “Robot Assembly Using Tactile Feedback: Avoiding jamming and misalignment” – IEEE Transactions on Robotics 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

2


อุปกรณ์ใดใช้วัดข้อมูลแรงระหว่างงานประกอบ

อุปกรณ์วัดแรงด้วยเซ็นเซอร์ความดัน

ในงานประกอบโดยหุ่นยนต์หรือระบบอัตโนมัติ จำเป็นต้องมี การวัดแรง (Force Measurement) เพื่อให้สามารถ: ตรวจสอบว่าหุ่นยนต์ใช้แรงกดหรือแรงดึงที่เหมาะสม ป้องกันความเสียหายจากแรงเกิน ประเมินแรงประกอบ เช่น ในการใส่เพลาเข้ารู หรือบีบจับชิ้นส่วน อุปกรณ์ที่ใช้หลักๆ คือ: Pressure sensors → ใช้วัดแรงที่เกิดจากแรงกดบนพื้นผิว Tactile and force sensing in robotics – Springer Handbook of Robotics 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

3


จากการศึกษาวิจัยได้อธิบายวิธีการใดเพื่อหลีกเลี่ยงความล้มเหลวในการประกอบระบบหุ่นยนต์

การวัดข้อมูลแรงสัมผัสและการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์

จากการศึกษาวิจัยในด้าน หุ่นยนต์ประกอบชิ้นงาน (Robotic Assembly Systems) พบว่า สาเหตุหลักของความล้มเหลว มักเกิดจาก: แรงที่ใช้มากเกินไปหรือน้อยเกินไป ชิ้นส่วนไม่ตรงแนว (misalignment) ขาดข้อมูล feedback แบบเรียลไทม์ในการควบคุม หลักการควบคุมแบบ Closed-loop control ที่ใช้ feedback แรงแบบเรียลไทม์ในการควบคุมพฤติกรรมของหุ่นยนต์ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

4


การวัดวิถีการเคลื่อนที่ของชิ้นงานระหว่างงานประกอบมีความสำคัญอย่างไร

เพื่อประเมินความแม่นยำของเส้นทางของหุ่นยนต์และป้องกันการเยื้องศูนย์

ในงานประกอบ (Assembly Process) โดยใช้หุ่นยนต์ การวัดวิถีการเคลื่อนที่ (Trajectory Measurement) ของชิ้นงานหรือปลายแขนหุ่นยนต์มีความสำคัญสูงเนื่องจาก: หุ่นยนต์ต้องเคลื่อนที่ตาม เส้นทางที่แม่นยำ เพื่อให้ชิ้นส่วนเข้าได้พอดี หากเกิด การเยื้องศูนย์ (misalignment) แม้เพียงเล็กน้อย อาจทำให้: ใส่ชิ้นงานไม่สำเร็จ วัดวิถีช่วยให้ระบบสามารถ: ตรวจจับข้อผิดพลาดของตำแหน่ง (position error) ปรับ trajectory ได้แบบ เรียลไทม์เพิ่ม ความแม่นยำ (precision) และ ความน่าเชื่อถือ หลักการในระบบ Closed-loop Position Control และ Trajectory Planning in Robotics 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

5


ส่วนประกอบใดที่จำเป็นสำหรับการคำนวณแรงปฏิกิริยาแนวนอนระหว่างกระบวนการจับยึด

เซ็นเซอร์วัดแรงกดบนปลายนิ้ว

แรงปฏิกิริยาแนวนอน คือ แรงที่เกิดขึ้นเมื่อหุ่นยนต์หรือระบบจับยึด ทำการสัมผัสหรือประกอบวัตถุ ซึ่งแรงนี้มักทำให้เกิด: การเลื่อนตัวของวัตถุ ความเสียหายจากแรงกดที่ไม่สมดุล คำนวณแรงปฏิกิริยาแนวนอน จำเป็นต้องมี: อุปกรณ์ที่ตรวจจับ แรงสัมผัสจริงระหว่างผิวสัมผัส โดยเฉพาะ บริเวณปลายนิ้วของหุ่นยนต์/แขนกล ซึ่งเป็นจุดที่สัมผัสกับชิ้นงานโดยตรง หลักการของ force-torque sensing in robotic fingertips การใช้งาน FlexiForce, BioTac หรือ Robotic Skin Sensors ในระบบจับยึดอัตโนมัติ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

6


เหตุใดจึงใช้โพเทนชิโอมิเตอร์ (Potentiometers) ในอุปกรณ์ตรวจวัดการเคลื่อนไหว

เพื่อกำหนดมุมการหมุนของข้อต่อชุดประกอบ

โพเทนชิโอมิเตอร์ (Potentiometer) คือ อุปกรณ์ตรวจวัดตำแหน่งเชิงมุม (rotational position) หรือการเคลื่อนไหวของวัตถุ โดย:ใช้หลักการวัดการเปลี่ยนแปลงของ ความต้านทานไฟฟ้า ซึ่งเปลี่ยนไปตาม ตำแหน่งของตัวหมุน (rotating shaft) ทำไมจึงใช้ในการตรวจวัดการเคลื่อนไหว: เมื่อข้อต่อหุ่นยนต์หมุน → แกนของโพเทนชิโอมิเตอร์หมุนตาม ทำให้ได้ค่า ความต้านทานที่เปลี่ยนแปลง → ใช้คำนวณเป็น “มุมของการหมุน” ได้ เหมาะกับการตรวจวัดการเคลื่อนไหวที่ ช้า-แม่นยำ และราคาถูก การใช้ Rotary Potentiometers ในระบบแขนกล (Robotic Arm Joint Angle Measurement) หลักการของ analog position sensing 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

7


การทดลองสอบเทียบที่อธิบายไว้ในการศึกษานี้มีหน้าที่อะไร?

เพื่อตรวจสอบความถูกต้องแม่นยำของเอาต์พุตเซนเซอร์กับมุมที่ทราบ

การสอบเทียบเซ็นเซอร์ (Sensor Calibration) คือกระบวนการที่ใช้ในการ: เปรียบเทียบค่าที่เซ็นเซอร์วัดได้ กับ ค่ามาตรฐานหรือค่าที่ทราบล่วงหน้า ตรวจสอบว่า ค่าเอาต์พุตของเซ็นเซอร์มีความแม่นยำและเชื่อถือได้ หรือไม่ ในงานวิจัยที่เกี่ยวกับหุ่นยนต์หรือระบบอัตโนมัติ เช่น การตรวจวัดมุมจาก โพเทนชิโอมิเตอร์ หรือเซ็นเซอร์อื่น ๆ จำเป็นต้องมี การสอบเทียบ เพื่อให้มั่นใจว่า: ค่าที่เซ็นเซอร์วัดได้ → สอดคล้องกับมุมหรือค่าทางฟิสิกส์ที่เป็นจริง Sensor Calibration (Engineering Measurement Handbook) การใช้งานเซ็นเซอร์ในระบบควบคุมอัตโนมัติ และการแปลงสัญญาณเชิงมุม ตัวอย่างใน Arduino หรือ MATLAB สำหรับการสอบเทียบ potentiometer โดยใช้มุมที่กำหนดไว้ล่วงหน้า 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

8


การศึกษาเสนอแนะเพื่อเพิ่มความสามารถของหุ่นยนต์ในการประกอบชิ้นส่วนโดยไม่เกิดข้อผิดพลาดอย่างไร

โดยการบูรณาการความรู้สึกสัมผัสของมนุษย์เข้ากับระบบหุ่นยนต์

การประกอบชิ้นส่วนขนาดเล็กหรือซับซ้อนมักเกิดข้อผิดพลาด เช่น: การเยื้องศูนย์ (misalignment) การกัดรูเพลาผิดพลาด แรงกดที่ไม่เหมาะสม เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ งานวิจัยเสนอให้ ใช้ข้อมูลสัมผัสจากมนุษย์ (human fingertip sensing) มาช่วยฝึกหุ่นยนต์ หุ่นยนต์เรียนรู้จากข้อมูลนี้ → เพื่อใช้ในการ ควบคุมแรง และ เส้นทางเคลื่อนไหวอย่างเหมาะสม Tactile Sensing in Robotics – การใช้ข้อมูลสัมผัสเพื่อเลียนแบบการประกอบของมนุษย์ Human-Robot Interaction (HRI) – การใช้ความรู้มนุษย์สอนหุ่นยนต์ Sensor Fusion – การรวมข้อมูลจากหลายเซ็นเซอร์เพื่อการควบคุมที่แม่นยำ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

9


จากการศึกษาวิจัยพบว่าระบบหุ่นยนต์มีเป้าหมายที่จะเอาชนะปัญหาหลักอะไรบ้าง

ความล้มเหลวในการประกอบ เช่น การเยื้องศูนย์และความเสียหายของชิ้นส่วน

ระบบหุ่นยนต์ถูกออกแบบมาเพื่อ ลดข้อผิดพลาดในการประกอบชิ้นงาน เช่น: การเยื้องศูนย์ (misalignment): เมื่อชิ้นส่วนไม่ได้ถูกวางอย่างถูกต้องตามตำแหน่ง → ทำให้ประกอบไม่สำเร็จ ความเสียหายของชิ้นส่วน: เช่น แรงกดมากเกินไป → ทำให้ชิ้นส่วนแตก, หลวม หรือเสียรูป ปัญหาเหล่านี้พบได้บ่อยในงานประกอบที่ละเอียดหรือมี tolerances ต่ำ หลักการของ force feedback control แนวคิดจากการเรียนรู้โดยใช้ tactile sensing ในงานประกอบละเอียด ปัญหาทั่วไปของหุ่นยนต์ประกอบ: “peg-in-hole”, “snap-fit”, “connector insertion 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

10


อุปกรณ์ใดใช้บันทึกแรงดันเอาต์พุตจากอุปกรณ์วัดการเคลื่อนไหวและแรง

ไมโครคอมพิวเตอร์ Arduino Mega

Arduino Mega เป็น ไมโครคอนโทรลเลอร์ (microcontroller board) ที่นิยมใช้ในงาน ประมวลผลและบันทึกข้อมูลจากเซ็นเซอร์ เช่น: เซ็นเซอร์วัดแรง (force sensors)โพเทนชิออมิเตอร์ (วัดการเคลื่อนไหว/มุม) เซ็นเซอร์แรงดัน หรือแรงสัมผัส ADC (Analog-to-Digital Conversion) คือกระบวนการแปลงสัญญาณแรงดันจากเซ็นเซอร์ (ที่เป็นสัญญาณแอนะล็อก) ให้เป็นสัญญาณดิจิทัลที่ไมโครคอนโทรลเลอร์อย่าง Arduino สามารถเข้าใจและจัดเก็บได้ Mechatronics & Control Systems: ระบบวัดค่าทางกลมักใช้ MCU เช่น Arduino ในการเก็บข้อมูลจากเซ็นเซอร์ในระบบจริง 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

11


แนวทางการใช้ชีวิตกล่าวถึงความท้าทายเฉพาะอะไรบ้างในบริบทของการแพร่ระบาด เช่น COVID-19?

กล่าวถึงการขาดความร่วมมือระหว่างประเทศ

ในบริบทของการแพร่ระบาดใหญ่ เช่น COVID-19 แนวทางการใช้ชีวิต (หรือแนวคิดในการบริหารจัดการสุขภาพของประชากรในระดับโลก) เน้นย้ำถึงความท้าทายที่เกิดจากการขาดความร่วมมือระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการแบ่งปันข้อมูล, การแจกจ่ายวัคซีนอย่างเท่าเทียม, การประสานการรับมือทางสาธารณสุข หรือการกำหนดมาตรการควบคุมที่ไม่สอดคล้องกันระหว่างประเทศ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กล่าวซ้ำ ๆ ว่า “ไม่มีใครปลอดภัยจนกว่าทุกคนจะปลอดภัย” (No one is safe until everyone is safe) ซึ่งเน้นการร่วมมือระดับโลก รายงานจาก Lancet COVID-19 Commission และ Global Health Security Index ระบุว่าปัญหาใหญ่คือการขาดการประสานงานระหว่างประเทศในการแบ่งปันเทคโนโลยีทางการแพทย์และข้อมูล หลักแนวคิด “One Health” และ “Global Health Equity” ย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือข้ามชาติในสถานการณ์โรคระบาด 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

12


จากการศึกษาพบว่า อะไรคืออุปสรรคสำคัญในการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์

จากการศึกษาหลายชิ้นเกี่ยวกับการนำแนวทางหรือหลักเกณฑ์ (guidelines) ไปปฏิบัติจริงในระบบสุขภาพ พบว่า: การรวบรวมข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกัน ระหว่างโรงพยาบาล เขตสุขภาพ หรือประเทศ เป็นอุปสรรคใหญ่ เพราะ: ทำให้ไม่สามารถ วัดผล หรือ ติดตามการดำเนินการตามแนวทางได้อย่างแม่นยำ ข้อมูลที่ขาดมาตรฐานเดียวกันส่งผลให้ไม่สามารถ เปรียบเทียบหรือวิเคราะห์ผล ได้เกิดความล่าช้าในการปรับปรุงแนวทางตามสถานการณ์จริง Implementation Science: ชี้ว่าความไม่สอดคล้องของข้อมูลเป็นหนึ่งใน “barriers to guideline adherence” งานวิจัยใน BMJ, WHO reports, และ Global Health Delivery Project ล้วนกล่าวถึงความท้าทายด้านการจัดการข้อมูลสุขภาพที่เป็นระบบและมีมาตรฐาน 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

13


การศึกษาชี้ให้เห็นว่ามีความจำเป็นอย่างไรในการปรับปรุงการดำเนินการตามแนวทางการดำรงชีวิต

การปรับปรุงการแปลและการปรับให้เข้ากับบริบทท้องถิ่น

แนวทางการดำรงชีวิตเพื่อสุขภาพ” (lifestyle guidelines) ชี้ให้เห็นว่า: แนวทางที่ดีอาจไม่มีประสิทธิภาพหากไม่ถูก “แปล” และ “ปรับใช้” ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมจริงของชุมชนหรือประเทศ ปัญหาหลักที่พบ คือ แนวทางส่วนใหญ่มาจากบริบทของประเทศพัฒนาแล้ว และไม่ได้คำนึงถึง: ความเชื่อท้องถิ่น สภาพเศรษฐกิจและสังคม ทรัพยากรหรือโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ Implementation Science & Contextualization Theory: เน้นว่าความสำเร็จของนโยบายหรือแนวทางด้านสุขภาพต้องอาศัย “local adaptation” WHO และ CDC แนะนำให้มีการปรับแนวทางให้เข้ากับ วัฒนธรรมและทรัพยากรในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนปฏิบัติตามได้จริง 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

14


แนวทางการใช้ชีวิตมีบทบาทอย่างไรตามบทความ Australian living guidelines for the clinical care of people with COVID-19?

แนวทางการใช้ชีวิต (Living Guidelines) ตามบทความ Australian living guidelines for the clinical care of people with COVID-19 มีจุดประสงค์หลักคือ: เป็นแหล่งข้อมูล อ้างอิงหลัก ที่มีการ ปรับปรุงแบบเรียลไทม์ (real-time updates) เพื่อรองรับข้อมูลทางคลินิกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มุ่งเน้นการให้คำแนะนำทาง การดูแลทางคลินิก (clinical care) สำหรับผู้ป่วย COVID-19 ใช้หลักฐานจากงานวิจัยล่าสุดมาปรับคำแนะนำอยู่เสมอ แนวทางนี้พัฒนาโดย National COVID-19 Clinical Evidence Taskforce ของออสเตรเลีย มีจุดเด่นในการเป็น “living guidelines” คือ ไม่ใช่แนวทางคงที่แบบเดิม แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามข้อมูลใหม่ๆ เพื่อให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ใช้อ้างอิงทันต่อสถานการณ์ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

15


แนวทางการใช้ชีวิตได้รับการปรับปรุงอย่างไรเพื่อให้ยังคงมีความเกี่ยวข้องในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น โรคระบาด

ผ่านการเฝ้าระวังหลักฐานอย่างต่อเนื่องและการอัปเดตเป็นประจำ

แนวทางนี้ใช้กระบวนการที่เรียกว่า "living evidence model" ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญคือ: Continuous evidence surveillance – ตรวจสอบข้อมูลใหม่ตลอดเวลา Rapid evidence appraisal – ประเมินคุณภาพข้อมูลอย่างรวดเร็ว Ongoing updates – ปรับแนวทางให้ทันสมัยอยู่เสมอ Australian Living Guidelines for the Clinical Care of People with COVID-19, National COVID-19 Clinical Evidence Taskforce 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

16


อะไรคือจุดแข็งของแนวทางการใช้ชีวิตในช่วงโควิด -19 ของออสเตรเลีย

พวกเขาได้รับความไว้วางใจว่าเป็นแหล่งที่เชื่อถือได้และมีหลักฐานเชิงประจักษ์

แนวทางการใช้ชีวิตในช่วง COVID-19 ของออสเตรเลีย ได้รับการยอมรับว่าเป็น แนวทางที่เชื่อถือได้ และอิงจาก หลักฐานเชิงประจักษ์ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นจุดแข็งสำคัญที่แตกต่างจากแนวทางอื่น ๆ ที่อาจล้าสมัยหรือไม่อิงข้อมูลล่าสุด จุดแข็งที่เด่นชัด: อัปเดตเป็นประจำ จากข้อมูลวิจัยใหม่ ๆ ความโปร่งใสและกระบวนการตรวจสอบคุณภาพสูง ได้รับการ สนับสนุนจากองค์กรวิชาชีพทางการแพทย์ เป็นแนวทางที่ แพทย์ พยาบาล และผู้ให้บริการทางสุขภาพใช้จริง ในสถานการณ์วิกฤต Australian National COVID-19 Clinical Evidence Taskforce (2020–2022) Living Guidelines methodology – BMJ, WHO, GRADE framework 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

17


แนวทางปฏิบัติทางคลินิกตามการศึกษาวิจัยนี้มีผลกระทบอะไรบ้าง?

พวกเขาสร้างมาตรฐานการรักษาในภูมิภาคต่างๆ

แนวทางปฏิบัติทางคลินิก ที่อ้างอิงจากหลักฐานในการศึกษาวิจัย มีจุดมุ่งหมายหลักคือ การสร้างมาตรฐาน ในกระบวนการรักษา ไม่ว่าจะเป็นในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ หรือระดับสากล โดยเฉพาะในสถานการณ์โรคระบาด เช่น COVID-19 ที่จำเป็นต้องมีแนวทางชัดเจนเพื่อ: ทำให้ แนวทางการรักษามีความสอดคล้องกัน ระหว่างภูมิภาคต่าง ๆ ลดความแตกต่างในการดูแลผู้ป่วยในพื้นที่ที่มีทรัพยากรต่างกันช่วย สนับสนุนการตัดสินใจของแพทย์ บนพื้นฐานของข้อมูลวิจัยล่าสุด Evidence-Based Medicine (EBM): แนวคิดหลักของการสร้าง Clinical Guidelines GRADE framework: ใช้จัดระดับคุณภาพของหลักฐานและข้อเสนอแนะในแนวทางปฏิบัติ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

18


บทความ Australian living guidelines for the clinical care of people with COVID-19 นี้เสนอแนะแนวทางการใช้ชีวิตในอนาคตอย่างไร

พวกเขาจะใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษาเป็นหลัก

Australian Living Guidelines for the Clinical Care of People with COVID-19 เป็นแนวทางที่มีการอัปเดตอย่างต่อเนื่อง และตั้งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ล่าสุด เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับ: การตัดสินใจทางคลินิกอย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษาอบรมบุคลากรทางการแพทย์ การส่งเสริมให้ผู้ให้บริการสุขภาพเข้าใจแนวทางการดูแลรักษาในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่าง COVID-19 แม้ว่าแนวทางนี้จะอิงจากข้อมูลที่เชื่อถือได้ แต่ ไม่ได้มีผลผูกพันทางกฎหมาย และ ไม่สามารถใช้แทนตำราแพทย์แบบดั้งเดิมได้ทั้งหมด แต่เป็น แนวทางสนับสนุน ที่ถูกปรับใช้ในบริบทเฉพาะและเน้นการใช้เป็นเครื่องมือการเรียนรู้และฝึกอบรมทางคลินิก Living Guidelines Framework (NHMRC, Australia) แนวทางของ WHO และ NICE (UK) ที่ชี้ว่าแนวปฏิบัติทางคลินิกควรใช้ร่วมกับการฝึกอบรมและวิจัยต่อเนื่อง บทความจาก Cochrane Collaboration ที่เน้นแนวทางเหล่านี้เป็น educational tool สำคัญ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

19


แนวทางการใช้ชีวิต (Living Guideline) คืออะไร

ทรัพยากรแบบไดนามิกที่ได้รับการอัปเดตเป็นประจำเมื่อมีข้อมูลใหม่

แนวทางการใช้ชีวิต (Living Guideline) คือแนวทางทางคลินิกที่ถูกออกแบบให้ มีความยืดหยุ่นและอัปเดตอยู่เสมอ เพื่อสะท้อนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ ที่ค้นพบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ ข้อมูลเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เช่น โรคระบาด (COVID-19) จุดเด่นของ Living Guideline คือ: มีการ เฝ้าระวังหลักฐาน (evidence surveillance) ตลอดเวลา ปรับปรุงเนื้อหาได้ทันทีเมื่อพบหลักฐานใหม่ที่เชื่อถือได้ เป็นเครื่องมือช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์ ตัดสินใจตามข้อมูลล่าสุด ใช้ระบบ GRADE (Grading of Recommendations, Assessment, Development and Evaluations) เพื่อประเมินคุณภาพหลักฐานและแรงสนับสนุนข้อแนะนำ Australian National COVID-19 Clinical Evidence Taskforce World Health Organization (WHO) on living guidelines BMJ and GRADE Working Group 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

20


แนวทางปฏิบัติทั่วไปในสถานพยาบาลใช้ร่วมกันมีอะไรบ้าง

1. การล้างมือ (Hand Hygiene) 2. การใช้ถุงมือและอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) 3. การป้องกันการติดเชื้อผ่านสารคัดหลั่งและเลือด (Standard Precaution for Bloodborne Pathogens) 4. การจัดการกับของมีคม (Sharp Safety) 5. การฆ่าเชื้อและทำความสะอาดเครื่องมือ (Disinfection and Sterilization) 6. การจัดการของเสียติดเชื้อ (Infectious Waste Management) 7. การเว้นระยะห่างและการแยกผู้ป่วย (Isolation & Social Distancing) 8. การป้องกันการแพร่เชื้อทางอากาศ/ละอองฝอย (Airborne/Droplet Precaution) CDC’s Standard Precautions WHO Infection Prevention and Control Guidelines แนวทางควบคุมโรคติดต่อในโรงพยาบาล (กองควบคุมโรค, สธ.) 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

ผลคะแนน 106.25 เต็ม 140

แท๊ก หลักคิด
แท๊ก อธิบาย
แท๊ก ภาษา