1 |
เป้าหมายหลักของการใช้การสัมผัสปลายนิ้วของมนุษย์ในกระบวนการประกอบหุ่นยนต์คืออะไร
|
เพื่อกำจัดความล้มเหลวในการประกอบ เช่น การกัดเพลาและรู |
|
การสัมผัสปลายนิ้วของมนุษย์ ช่วยในการเลียนแบบความสามารถในการรับรู้สัมผัสและการปรับตำแหน่งของมนุษย์ที่มีความแม่นยำสูง ซึ่งช่วยในการประกอบชิ้นส่วนที่มีความละเอียดสูง ลดโอกาสการกัดเพลา หรือการเสียรูปของรู |
แนวคิดทางหุ่นยนต์และระบบสัมผัส (Haptic feedback)
เป็นการใช้เซ็นเซอร์สัมผัสละเอียดที่ปลายนิ้วช่วยให้หุ่นยนต์มีความสามารถในการรับรู้และตอบสนองเหมือนมนุษย์ เพิ่มประสิทธิภาพในการประกอบชิ้นส่วนที่ต้องความแม่นยำสูง มีอยู่ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเกมหลากหลาย |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
2 |
อุปกรณ์ใดใช้วัดข้อมูลแรงระหว่างงานประกอบ
|
อุปกรณ์วัดแรงด้วยเซ็นเซอร์ความดัน |
|
อุปกรณ์วัดแรงด้วยเซ็นเซอร์ความดัน หรือที่เรียกว่า force sensor หรือ load cell เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อวัดแรงโดยตรง และให้ค่าที่แม่นยำในการตรวจสอบแรงระหว่างการทำงานจริง ทำให้เพิ่มความแม่นยำในงานประกอบ |
เซ็นเซอร์ความดัน ทำงานโดยการแปลงแรงกลหรือแรงกดที่เกิดขึ้นเป็นสัญญาณไฟฟ้า ซึ่งสามารถนำไปวิเคราะห์แรงได้
ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดแรงมากเกินไปซึ่งอาจทำให้ชิ้นส่วนเสียหาย และปรับปรุงประสิทธิภาพและความแม่นยำของกระบวนการประกอบ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
3 |
จากการศึกษาวิจัยได้อธิบายวิธีการใดเพื่อหลีกเลี่ยงความล้มเหลวในการประกอบระบบหุ่นยนต์
|
การวัดข้อมูลแรงสัมผัสและการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ |
|
การข้อมูลแรงสัมผัสและการประมวลผลข้อมูลนี้แบบเรียลไทม์ ช่วยเพิ่มความละเอียดในการประกอบและลดข้อผิดพลาดจากตัวแปรต่างๆได้ |
การวัดแรงสัมผัสช่วยให้หุ่นยนต์รับรู้แรงที่เกิดขึ้นจริงระหว่างการประกอบ การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ช่วยให้ระบบสามารถตอบสนองและปรับแก้ไขได้ทันที เช่น ลดแรงหรือหยุดการเคลื่อนที่เพื่อป้องกันความเสียหาย
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
4 |
การวัดวิถีการเคลื่อนที่ของชิ้นงานระหว่างงานประกอบมีความสำคัญอย่างไร
|
เพื่อประเมินความแม่นยำของเส้นทางของหุ่นยนต์และป้องกันการเยื้องศูนย์ |
|
วัดวิถีการเคลื่อนที่ของชิ้นงาน คือการวัดวิถีการเคลื่อนที่หรือเส้นทางที่หุ่นยนต์หรือชิ้นงานเคลื่อนที่ไปในพื้นที่ ช่วยให้ตรวจสอบได้ว่าหุ่นยนต์เคลื่อนที่ตามแผนที่กำหนดหรือไม่ เพราะหากมีการเยื้องศูนย์ จะทำให้ชิ้นงานประกอบไม่สมบูรณ์หรือเกิดความเสียหาย |
การวัดวิถีการเคลื่อนที่ของชิ้นงานระหว่างงานประกอบเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการควบคุมคุณภาพและความแม่นยำของกระบวนการประกอบ โดยเฉพาะในระบบหุ่นยนต์ที่ต้องการความเที่ยงตรงสูง |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
5 |
ส่วนประกอบใดที่จำเป็นสำหรับการคำนวณแรงปฏิกิริยาแนวนอนระหว่างกระบวนการจับยึด
|
เซ็นเซอร์วัดแรงกดบนปลายนิ้ว |
|
เซ็นเซอร์วัดแรงกดบนปลายนิ้ว ใช้ในการการคำนวณแรงปฏิกิริยาแนวนอนระหว่างกระบวนการจับยึด โดยการคำนวณแรงปฏิกิริยาแนวนอน (แรงเสียดทาน) ซึ่งเป็นแรงที่ป้องกันไม่ให้ชิ้นงานหลุด |
โพเทนชิออมิเตอร์ (Potentiometer) - ใช้วัดการเคลื่อนไหว
ที่ยึดหกเหลี่ยม - ใช้ยึดชิ้นงาน
ไมโครคอมพิวเตอร์ Arduino Mega - ใช้เป็นอุปกรณ์ในการประมวลผล
ต๊ะหมุนปรับองศา - ใช้ในการช่วยปรับทิศทาง |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
6 |
เหตุใดจึงใช้โพเทนชิโอมิเตอร์ (Potentiometers) ในอุปกรณ์ตรวจวัดการเคลื่อนไหว
|
เพื่อกำหนดมุมการหมุนของข้อต่อชุดประกอบ |
|
เมื่อข้อต่อในชุดประกอบหมุนไปตามแกน ความต้านทานของ Potentiometers จะเปลี่ยนตามมุมการหมุน นำไปใช้คำนวณ ในการควบคุมการเคลื่อนที่ของหุ่นยนต์และตรวจสอบความแม่นยำของงานประกอบ ทำให้สามารถปรับการเคลื่อนที่ต่อไปได้อย่างถูกต้อง |
โพเทนชิโอมิเตอร์ (Potentiometer) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้วัดค่าความต้านทานไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงตามตำแหน่งหรือมุมของแกนหมุนที่เชื่อมต่อกับข้อต่อในระบบกลไก |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
7 |
การทดลองสอบเทียบที่อธิบายไว้ในการศึกษานี้มีหน้าที่อะไร?
|
เพื่อตรวจสอบความถูกต้องแม่นยำของเอาต์พุตเซนเซอร์กับมุมที่ทราบ |
|
การทดลองสอบเทียบ คือ การเปรียบเทียบค่าที่วัดได้จากเครื่องมือ กับค่ามาตรฐานที่ทราบ เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องมือยังคงให้ผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้และเป็นไปตามจริง |
การสอบเทียบเป็นมาตรฐานในวิศวกรรมและการวัด ช่วยฝห้ลดข้อผิดพลาดจากอุปกรณ์ และช่วยให้มั่นใจว่าข้อมูลจากเซ็นเซอร์ตรงกับข้อมูลจริง ซึ่งสำคัญต่อการทำงานของระบบอัตโนมัติและการวิเคราะห์ข้อมูลในการคำนวณ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
8 |
การศึกษาเสนอแนะเพื่อเพิ่มความสามารถของหุ่นยนต์ในการประกอบชิ้นส่วนโดยไม่เกิดข้อผิดพลาดอย่างไร
|
โดยการบูรณาการความรู้สึกสัมผัสของมนุษย์เข้ากับระบบหุ่นยนต์ |
|
ความรู้สึกสัมผัส เป็นความสามารถที่สำคัญของมนุษย์ในการจับและประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำและลดข้อผิดพลาด
การใช้เซ็นเซอร์วัดแรงสัมผัส ในการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ช่วยให้หุ่นยนต์สามารถประกอบชิ้นส่วนได้อย่างแม่นยำและละเอียดเหมือนมนุษย์
|
งานวิจัยในวารสาร IEEE Robotics and Automation Letters และ ScienceDirect ชี้ว่า การเพิ่มเซ็นเซอร์สัมผัสและระบบประมวลผลแบบ feedback loop ช่วยลดข้อผิดพลาดและเพิ่มประสิทธิภาพในการประกอบ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
9 |
จากการศึกษาวิจัยพบว่าระบบหุ่นยนต์มีเป้าหมายที่จะเอาชนะปัญหาหลักอะไรบ้าง
|
ความล้มเหลวในการประกอบ เช่น การเยื้องศูนย์และความเสียหายของชิ้นส่วน |
|
ปัญหาหลักของระบบหุ่นยนต์ คือ ปัญหาความแม่นยำและความถูกต้องของการประกอบ ทำให้เกิดความล้มเหลวในการประกอบ
เช่น ปัญหาการเยื้องศูนย์ เกิดจากการประกอบชิ้นส่วนที่ไม่ตรงตามตำแหน่งที่กำหนด อาจทำให้เกิดความเสียหายของชิ้นส่วนหรือการล้มเหลวของระบบประกอบ |
งานวิจัยในวารสาร IEEE Robotics and Automation Letters และ ScienceDirect ชี้ว่า การเพิ่มเซ็นเซอร์สัมผัสและระบบประมวลผลแบบ feedback loop ช่วยลดข้อผิดพลาดและเพิ่มประสิทธิภาพในการประกอบ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
10 |
อุปกรณ์ใดใช้บันทึกแรงดันเอาต์พุตจากอุปกรณ์วัดการเคลื่อนไหวและแรง
|
ไมโครคอมพิวเตอร์ Arduino Mega |
|
สัญญาณแรงดันไฟฟ้า จาก เซ็นเซอร์วัดแรง โพเทนชิออมิเตอร์ ถูกส่งออกไปยัง ไมโครคอมพิวเตอร์ Arduino Mega ซึ่งทำหน้าที่อ่านและบันทึกค่าเหล่านี้ไว้เพื่อการประมวลผลภายหลัง หรือส่งข้อมูลต่อไปยังคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ |
งานวิจัยใน IEEE Xplore และ SpringerLink มักใช้อุปกรณ์อย่าง Arduino, Raspberry Pi หรือ STM32 เป็นตัวกลางในการประมวลผลและบันทึกข้อมูลจากเซ็นเซอร์ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
11 |
แนวทางการใช้ชีวิตกล่าวถึงความท้าทายเฉพาะอะไรบ้างในบริบทของการแพร่ระบาด เช่น COVID-19?
|
กล่าวถึงการขาดความร่วมมือระหว่างประเทศ |
|
ในช่วงแรกของการแพร่ระบาดของ COVID-19 แต่ละประเทศมีนโยบายตอบสนองไม่เหมือนกัน เช่น ทำให้ความร่วมมือระหว่างประเทศ และไม่มีการประสานงานระหว่างระบบสาธารณสุข ทำให้การควบคุมโรคเป็นได้ยาก |
องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุถึงปัญหา Vaccine Nationalism และการที่หลายประเทศไม่ได้แบ่งปันทรัพยากร เช่น อุปกรณ์การแพทย์ วัคซีน หรือข้อมูลอย่างเท่าเทียม เนื่องจากขาดความร่วมมือระหว่างประเทศ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
12 |
จากการศึกษาพบว่า อะไรคืออุปสรรคสำคัญในการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์
|
ปัญหาด้านอุปทานที่ส่งผลต่อการรักษาที่แนะนำ |
|
การปฏิบัติตามแนวทางหรือหลักเกณฑ์ทางคลินิก คือ แนวทางการรักษาโรคติดเชื้อหรือการดูแลผู้ป่วยในช่วงโรคระบาดอย่าง COVID-19
แต่ปัญหาด้านอุปทานทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามแนวทางได้ เช่นการขาดทรัพยากร |
งานวิจัยจาก ScienceDirect และ PubMed ระบุว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการไม่ปฏิบัติตาม Clinical Guidelines คือ supply-side barriers หรือ อุปสรรคด้านอุปทาน |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
13 |
การศึกษาชี้ให้เห็นว่ามีความจำเป็นอย่างไรในการปรับปรุงการดำเนินการตามแนวทางการดำรงชีวิต
|
การปรับปรุงการแปลและการปรับให้เข้ากับบริบทท้องถิ่น |
|
การดำเนินการตามแนวทางการดำรงชีวิต คือ แนวทางการส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งจำเป็นต้องปรับให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ จึงจะมีประสิทธิภาพในการนำไปใช้จริง เพราะในแต่ละพื่นที่มีตัวแปรหลายอย่างที่ส่งผลต่อการดำเนินการที่ต่างกัน เช่นการปรับให้สอดคล้องกับวัฒนธรรม วิถีชีวิต ภาษา หรือทรัพยากรของชุมชนในพื้นที่นั้น ๆ |
จากบทความใน PubMed และ ScienceDirect เช่น บทวิจัยของ Beaglehole et al. (2011) ใน The Lancet ย้ำถึงความสำคัญของ contextualization หรือการปรับใช้แนวทางให้เข้ากับ สภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสังคม |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
14 |
แนวทางการใช้ชีวิตมีบทบาทอย่างไรตามบทความ Australian living guidelines for the clinical care of people with COVID-19?
|
ข้อมูลเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นข้อมูลอ้างอิงหลักสำหรับ การรักษา โควิด -19 |
|
Australian living guidelines for the clinical care of people with COVID-19 เป็นแนวทางที่ออกแบบมาเพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงหลักในการตัดสินใจทางคลินิก ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา ตามหลักฐานใหม่จากงานวิจัยทั่วโลก เพื่อให้แพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ และระบบสาธารณสุข มีข้อมูลที่ทันสมัยและเชื่อถือได้ |
บทความต้นฉบับใน The Medical Journal of Australia และแหล่งฐานข้อมูลจาก PubMed ระบุว่า Australian COVID-19 Clinical Evidence Taskforce ได้จัดทำแนวทางนี้เพื่อเป็นแนวทางหลักด้านการดูแลรักษาทางคลินิกในสถานการณ์การระบาด |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
15 |
แนวทางการใช้ชีวิตได้รับการปรับปรุงอย่างไรเพื่อให้ยังคงมีความเกี่ยวข้องในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น โรคระบาด
|
ผ่านการเฝ้าระวังหลักฐานอย่างต่อเนื่องและการอัปเดตเป็นประจำ |
|
แนวทางการใช้ชีวิต เป็นแนวทางทางคลินิกที่ได้รับการออกแบบมาให้ ยืดหยุ่นและปรับปรุงได้ตลอดเวลา เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ เพื่อให้มีข้อมูลที่ทันสมัยและเชื่อถือได้ |
อ้างอิงจากแนวทาง Australian living guidelines for COVID-19 มีการใช้ระบบการตรวจสอบวรรณกรรมใหม่รายสัปดาห์
และการประเมินตามระบบ GRADE ที่เน้นความน่าเชื่อถือของหลักฐาน |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
16 |
อะไรคือจุดแข็งของแนวทางการใช้ชีวิตในช่วงโควิด -19 ของออสเตรเลีย
|
พวกเขาได้รับความไว้วางใจว่าเป็นแหล่งที่เชื่อถือได้และมีหลักฐานเชิงประจักษ์ |
|
แนวทางการใช้ชีวิต (Living Guidelines) ของออสเตรเลียในช่วง COVID-19 มีจุดแข็งสำคัญคือการ สร้างความน่าเชื่อถือในฐานะแนวทางที่อิงจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ล่าสุด โดยมีระบบอัปเดตอย่างต่อเนื่องตามข้อมูลใหม่ที่ได้รับจากการศึกษาวิจัยที่ผ่านการประเมินคุณภาพ เช่น การทดลองแบบสุ่ม (RCTs) หรือ systematic reviews
ความไว้วางใจนี้เกิดจาก:
เนื่องจากมีการปรับปรุงข้อมูลตลอดเวลา และมีความโปร่งใสของกระบวนการพัฒนาแนวทาง
การมีคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา การสื่อสารต่อสาธารณะอย่างเป็นระบบ
ทำให้พวกเขาได้รับความไว้วางใจว่าเป็นแหล่งที่เชื่อถือได้และมีหลักฐานเชิงประจักษ์ |
แนวคิดนี้สอดคล้องกับหลัก evidence-based medicine ซึ่งเป็นหัวใจของการแพทย์สมัยใหม่ที่เน้นหลักฐานมากกว่าความเชื่อหรือประสบการณ์ส่วนตัวเพียงอย่างเดียว
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
17 |
แนวทางปฏิบัติทางคลินิกตามการศึกษาวิจัยนี้มีผลกระทบอะไรบ้าง?
|
พวกเขาสร้างมาตรฐานการรักษาในภูมิภาคต่างๆ |
|
แนวทางปฏิบัติทางคลินิก ที่พัฒนาจากหลักฐานวิทยาศาสตร์ ทำหน้าที่เป็นอ้างอิงที่ชัดเจนในการดูแลรักษาผู้ป่วย ช่วยให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์มีแนวทางที่เชื่อถือได้ในการตัดสินใจ และยังช่วยกำหนดมาตรฐานการรักษาให้สอดคล้องกันทั่วทั้งภูมิภาค แม้ว่าสถานพยาบาลจะมีทรัพยากรต่างกันก็ตาม |
แนวคิดนี้สอดคล้องกับหลัก evidence-based medicine ซึ่งเป็นหัวใจของการแพทย์สมัยใหม่ที่เน้นหลักฐานมากกว่าความเชื่อหรือประสบการณ์ส่วนตัวเพียงอย่างเดียว มีการจัดมาตรฐา ปรับการรักษาให้เป็นระบบ ลดการพึ่งพาการตัดสินใจเฉพาะบุคคล และยังมีการประยุกต์ใช้ได้ในวงกว้างๆไม่จำกัดเพียงโรงพยาบาลขนาดใหญ่หรือประเทศใดประเทศหนึ่ง
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
18 |
บทความ Australian living guidelines for the clinical care of people with COVID-19 นี้เสนอแนะแนวทางการใช้ชีวิตในอนาคตอย่างไร
|
พวกเขาจะใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษาเป็นหลัก |
|
Australian living guidelines for the clinical care of people with COVID-19 เป็นตัวอย่างของ living guidelines หรือแนวทางเวชปฏิบัติที่ได้รับการอัปเดตอย่างต่อเนื่องตามหลักฐานใหม่ ซึ่งมีจุดประสงค์หลักเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจทางคลินิกของบุคลากรทางการแพทย์
|
เพิ่มความสามารถในการเรียนรู้จากสถานการณ์จริง (real-time adaptation)
ดังนั้น แม้แนวทางเหล่านี้จะมีบทบาทต่อการดูแลรักษาจริง แต่ บทบาทระยะยาวที่บทความเน้นคือการใช้เป็นแหล่งเรียนรู้และพัฒนาองค์ความรู้ทางคลินิกอย่างต่อเนื่อง มากกว่าการมีผลผูกพันทางกฎหมาย |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
19 |
แนวทางการใช้ชีวิต (Living Guideline) คืออะไร
|
ทรัพยากรแบบไดนามิกที่ได้รับการอัปเดตเป็นประจำเมื่อมีข้อมูลใหม่ |
|
แนวทางการใช้ชีวิต คือแนวทางเวชปฏิบัติที่ถูกออกแบบมาเพื่อ รับมือกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในสถานการณ์โรคอุบัติใหม่ มีการอัปเดต อย่างต่อเนื่อง การค้นพบยาต้านไวรัสชนิดใหม่ ผลลัพธ์จากการทดลองทางคลินิกขนาดใหญ่ |
แนวทางเหล่านี้มักใช้ กระบวนการเฝ้าระวังหลักฐาน (evidence surveillance)
ข้อมูลถูก กลั่นกรองโดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ เพื่ออัปเดตคำแนะนำเดิมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ล่าสุด
โดยเฉพาะช่วง COVID-19 แนวทางแบบนี้มีประโยชน์สูงสุด เนื่องจากความรู้เกี่ยวกับไวรัสและการรักษามีการเปลี่ยนแปลงเร็ว และได้รับความเห็นชอบจากองค์กรสาธารณสุขระดับโลก เช่น WHO และ CDC |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
20 |
แนวทางปฏิบัติทั่วไปในสถานพยาบาลใช้ร่วมกันมีอะไรบ้าง
|
|
|
1. การคัดกรองและวินิจฉัยโรคอย่างเป็นระบบ
2. มาตรฐานการรักษาและการจัดการโรคตามหลักฐานวิชาการ
3. การป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ
4. การดูแลแบบองค์รวมที่คำนึงถึงผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง
5. แนวทางการสื่อสารและประสานงานระหว่างบุคลากรทางการแพทย์
6. การติดตามและประเมินผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง
7. การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านจริยธรรมและความปลอดภัยผู้ป่วย |
การใช้แนวทางปฏิบัติมาตรฐานร่วมกันช่วยให้เกิดความสอดคล้องและคุณภาพในการดูแลผู้ป่วย และลดความผิดพลาดและความแปรปรวนในการดูแลได้
องค์การอนามัยโลก (WHO) และ สถาบันสุขภาพแห่งชาติของหลายประเทศ มีการจัดทำแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานสากล เช่น WHO Guidelines on Infection Prevention and Control และ NICE Guidelines (UK) |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|