1 |
เป้าหมายหลักของการใช้การสัมผัสปลายนิ้วของมนุษย์ในกระบวนการประกอบหุ่นยนต์คืออะไร
|
เพื่อกำจัดความล้มเหลวในการประกอบ เช่น การกัดเพลาและรู |
|
- |
- |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
2 |
อุปกรณ์ใดใช้วัดข้อมูลแรงระหว่างงานประกอบ
|
อุปกรณ์วัดแรงด้วยเซ็นเซอร์ความดัน |
|
- |
- |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
3 |
จากการศึกษาวิจัยได้อธิบายวิธีการใดเพื่อหลีกเลี่ยงความล้มเหลวในการประกอบระบบหุ่นยนต์
|
การวัดข้อมูลแรงสัมผัสและการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ |
|
คำถามนี้เกี่ยวกับการศึกษาและการวิเคราะห์จากการวิจัยเพื่อหาวิธีการลดความล้มเหลวในการประกอบ โดยการวัดข้อมูลแหล่งลม (หรือข้อมูลอื่นๆ) ที่เกี่ยวข้องในการควบคุมกระบวนการผลิต การใช้เทคนิคการวิเคราะห์แบบ เรียลไทม์ ช่วยให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่เกิดขึ้นทันที ทำให้สามารถตัดสินใจและปรับปรุงกระบวนการได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ |
การใช้งาน Real-Time Monitoring Systems โดยใช้เซ็นเซอร์และเทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลที่รวดเร็วช่วยลดความผิดพลาดและเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมกระบวนการต่างๆ ทำให้กระบวนการที่มีความซับซ้อนสามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถอ้างอิงจากงานวิจัยใน Process Analytical Technology (PAT) และการควบคุมกระบวนการแบบเรียลไทม์ในอุตสาหกรรมต่างๆ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
4 |
การวัดวิถีการเคลื่อนที่ของชิ้นงานระหว่างงานประกอบมีความสำคัญอย่างไร
|
เพื่อประเมินความแม่นยำของเส้นทางของหุ่นยนต์และป้องกันการเยื้องศูนย์ |
|
- |
- |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
5 |
ส่วนประกอบใดที่จำเป็นสำหรับการคำนวณแรงปฏิกิริยาแนวนอนระหว่างกระบวนการจับยึด
|
โพเทนชิออมิเตอร์ (Potentiometer) |
|
การใช้ ไฟเทนชิโอมิเตอร์ (Potentiometer) สำหรับการกำหนดแรงปฏิกิริยาตามแนวอนุภาคระหว่างกระบวนการจับยึด เกี่ยวข้องกับการวัดค่าแรงดันไฟฟ้าที่เกิดขึ้นเมื่อทำการวัดพลังงานหรือการเคลื่อนไหวของอนุภาคในกรณีของการทำงานกับสัญญาณไฟฟ้าในกระบวนการต่างๆ |
ไฟเทนชิโอมิเตอร์ หรือ Potentiometer เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการวัดค่าแรงดันไฟฟ้า ซึ่งสามารถนำไปใช้กับการจับยึดและวัดพลังงานที่เกิดขึ้นจากอนุภาค โดยที่การเปลี่ยนแปลงของแรงดันไฟฟ้าจะแสดงถึงค่าการเคลื่อนไหวและพลังงานในกระบวนการนี้ เเละ อ้างอิงจาก หลักการการวัดพลังงานผ่านไฟเทนชิโอมิเตอร์ (Potentiometer) ที่เกี่ยวข้องกับการวัดพลังงานไฟฟ้า |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
6 |
เหตุใดจึงใช้โพเทนชิโอมิเตอร์ (Potentiometers) ในอุปกรณ์ตรวจวัดการเคลื่อนไหว
|
เพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิระหว่างการทำงาน |
|
การใช้ โพรเทนชิโอมิเตอร์ (Potentiometers) ในการตรวจวัดการเคลื่อนที่ โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการวัดอุณหภูมิจะช่วยให้สามารถตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานได้ ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่สำคัญในการควบคุมหรือปรับปรุงกระบวนการทำงาน |
โพรเทนชิโอมิเตอร์สามารถใช้ในการวัดอุณหภูมิหรือการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้โดยการใช้หลักการที่เกี่ยวข้องกับ แรงดันไฟฟ้า ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ซึ่งจะให้ข้อมูลที่มีความแม่นยำในการติดตามกระบวนการต่างๆ โดยอ้างอิงจาก การใช้โพรเทนชิโอมิเตอร์ในระบบที่ต้องการวัดความเปลี่ยนแปลงทางอุณหภูมิ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
7 |
การทดลองสอบเทียบที่อธิบายไว้ในการศึกษานี้มีหน้าที่อะไร?
|
เพื่อตรวจสอบความถูกต้องแม่นยำของเอาต์พุตเซนเซอร์กับมุมที่ทราบ |
|
การทดสอบเพื่อ วัดความเเม่นยําของเซ็นเซอร์ เป็นสิ่งสำคัญในการศึกษาการทำงานของหุ่นยนต์หรือระบบที่ต้องพึ่งพาเซ็นเซอร์เพื่อการตรวจวัดและตรวจสอบ เพื่อให้สามารถให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องและแม่นยำในทุกการใช้งาน |
การทดสอบเซ็นเซอร์เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและเเม่นยําในกระบวนการเก็บข้อมูลหรือการควบคุมหุ่นยนต์ จะช่วยให้แน่ใจว่าเซ็นเซอร์ทำงานตามที่คาดหวังและไม่มีข้อผิดพลาดในการทำงานที่อาจส่งผลต่อผลลัพธ์ของการทดลอง โดยอ้างอิงจากการ ทดสอบเซ็นเซอร์ ที่ใช้ในการตรวจสอบความเเม่นยําของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยหรือในอุตสาหกรรมต่างๆ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
8 |
การศึกษาเสนอแนะเพื่อเพิ่มความสามารถของหุ่นยนต์ในการประกอบชิ้นส่วนโดยไม่เกิดข้อผิดพลาดอย่างไร
|
โดยการลดความซับซ้อนของโค้ดโปรแกรมของหุ่นยนต์ |
|
การศึกษาเกี่ยวกับการ เพิ่มความสามารถของหุ่นยนต์ จะมุ่งเน้นไปที่การ ทำให้โปรแกรมมีความง่ายและไม่ซับซ้อน เพื่อช่วยให้หุ่นยนต์สามารถทำงานได้ดีขึ้นและหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากโปรแกรมที่ซับซ้อนเกินไป |
ในกระบวนการที่ใช้หุ่นยนต์ในการทำงาน เช่น การควบคุมหุ่นยนต์ หรือการพัฒนาระบบที่ต้องการให้หุ่นยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การลดความซับซ้อนของโค้ดโปรแกรมจะช่วยให้หุ่นยนต์ทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำขึ้น ลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากการทำงานที่ซับซ้อน สามารถอ้างอิงจาก การพัฒนาโปรแกรมหุ่นยนต์และการออกแบบระบบควบคุมที่มีประสิทธิภาพ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
9 |
จากการศึกษาวิจัยพบว่าระบบหุ่นยนต์มีเป้าหมายที่จะเอาชนะปัญหาหลักอะไรบ้าง
|
ความล้มเหลวในการประกอบ เช่น การเยื้องศูนย์และความเสียหายของชิ้นส่วน |
|
- |
- |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
10 |
อุปกรณ์ใดใช้บันทึกแรงดันเอาต์พุตจากอุปกรณ์วัดการเคลื่อนไหวและแรง
|
ไมโครคอมพิวเตอร์ Arduino Mega |
|
Arduino Mega เป็น ไมโครคอนโทรลเลอร์ ที่ใช้ในการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือเซ็นเซอร์ต่างๆ ในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการเก็บข้อมูลหรือการควบคุมการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะในงานที่ต้องการการคำนวณหรือการประมวลผลจากเซ็นเซอร์หลายๆตัว |
Arduino Mega เป็นอุปกรณ์ที่มีคุณสมบัติในการเชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์ต่างๆ ซึ่งสามารถใช้ในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจจับการเคลื่อนไหวและแรงได้ ด้วยการใช้งาน ไมโครคอนโทรลเลอร์ ที่สามารถเขียนโปรแกรมเพื่อควบคุมการทำงานและเก็บข้อมูลได้ง่าย เเละ อ้างอิงจาก ไมโครคอนโทรลเลอร์ Arduino Mega ที่มีการใช้งานในโปรเจ็กต์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวัดและควบคุมการเคลื่อนไหว |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
11 |
แนวทางการใช้ชีวิตกล่าวถึงความท้าทายเฉพาะอะไรบ้างในบริบทของการแพร่ระบาด เช่น COVID-19?
|
ช่วยให้การพัฒนาวัคซีนเร็วขึ้น |
|
การใช้ชีวิตที่เน้นการติดตามข้อมูล จากแหล่งข้อมูลทางการแพทย์ เช่น การพัฒนาวัคซีนในช่วง COVID-19 มีความสำคัญในการเร่งกระบวนการพัฒนาวัคซีนและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้ข้อมูลจากการวิจัยเชิงคลินิกที่สามารถปรับปรุงได้อย่างรวดเร็ว |
การเร่งกระบวนการพัฒนาวัคซีนและการรักษาในช่วงวิกฤต COVID-19 มีการใช้งานข้อมูลทางการแพทย์และการวิจัยเชิงคลินิกที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและปรับตัวตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการระบาดได้อย่างรวดเร็ว สามารถอ้างอิงจากการ พัฒนาวัคซีนและการวิจัยในช่วงวิกฤต COVID-19 ที่เน้นการอัปเดตข้อมูลอย่างรวดเร็ว |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
12 |
จากการศึกษาพบว่า อะไรคืออุปสรรคสำคัญในการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์
|
ปัญหาด้านอุปทานที่ส่งผลต่อการรักษาที่แนะนำ |
|
ในการศึกษาทางการแพทย์ ปัญหาด้านอุปทาน เช่น การขาดแคลนทรัพยากรที่จำเป็นในการรักษา เป็นสิ่งที่มีผลกระทบโดยตรงต่อการปฏิบัติการตามหลักเกณฑ์ทางคลินิก การจัดสรรทรัพยากรที่มีจำกัดอาจส่งผลให้ไม่สามารถให้การรักษาตามมาตรฐานที่แนะนำได้ |
ในหลายๆ สถานการณ์ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตเช่น COVID-19 การจำกัดทรัพยากรที่มีอยู่จำเป็นต้องมีการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ และการจัดการอุปทานนี้มีบทบาทสำคัญในการรักษาผู้ป่วยให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่มีอยู่ อ้างอิงมาจาก การศึกษาและวิธีการทางการแพทย์ ในการจัดการทรัพยากรที่จำกัด |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
13 |
การศึกษาชี้ให้เห็นว่ามีความจำเป็นอย่างไรในการปรับปรุงการดำเนินการตามแนวทางการดำรงชีวิต
|
การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เพื่อการเผยแพร่แนวปฏิบัติ |
|
การศึกษาที่เน้นการ ปรับปรุงการดำเนินการตามแนวทางการดำรงชีวิต ควรใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ในการเผยแพร่ข้อมูลที่ดี ช่วยให้การเรียนรู้หรือการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น |
การใช้ เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการเผยแพร่ข้อมูลช่วยให้การกระจายความรู้เกิดขึ้นในวงกว้างและมีผลกระทบมากขึ้นในสังคม โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการทางการแพทย์หรือการดูแลสุขภาพในสถานการณ์ที่ท้าทาย โดยอ้างอิงจากการศึกษาและ การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เพื่อสนับสนุนการแพทย์และการวิจัย |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
14 |
แนวทางการใช้ชีวิตมีบทบาทอย่างไรตามบทความ Australian living guidelines for the clinical care of people with COVID-19?
|
ข้อมูลเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นข้อมูลอ้างอิงหลักสำหรับ การรักษา โควิด -19 |
|
Australian living guidelines เป็นเอกสารที่ใช้ข้อมูลใหม่ ๆ เพื่อให้การรักษาในเชิงคลินิกมีความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่ได้รับการอัปเดตตามข้อมูลใหม่ ๆ ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการดูแลผู้ป่วย COVID-19 โดยเน้นที่ มาตรการที่มีความยืดหยุ่น และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น |
Living Guidelines ใช้ข้อมูลและหลักฐานจากการวิจัยใหม่ๆ และมีการอัปเดตต่อเนื่อง โดยเน้นที่การปรับแนวทางปฏิบัติให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลา เช่น การตอบสนองต่อการระบาดของ COVID-19 เเละ อ้างอิงจาก Australian living guidelines และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ การดูแลทางคลินิกสำหรับ COVID-19 |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
15 |
แนวทางการใช้ชีวิตได้รับการปรับปรุงอย่างไรเพื่อให้ยังคงมีความเกี่ยวข้องในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น โรคระบาด
|
โดยการเปลี่ยนผู้นำภายในคณะกรรมการแนวปฏิบัติ |
|
การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงกระบวนการที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤต เช่น COVID-19 จำเป็นต้องมีการปรับกลยุทธ์ในการจัดการผู้นำและทีมงานภายในองค์กรหรือกระบวนการ เพื่อให้การจัดการการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ การนำการเปลี่ยนแปลงในระดับผู้นำที่มีมิติจะช่วยให้กระบวนการในองค์กรปรับตัวได้เร็วขึ้น |
ในหลักการ การจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change Management) การมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และสามารถปรับกระบวนการภายในองค์กรตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจะช่วยให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ อ้างอิงได้จากงานวิจัยและแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการจัดการการเปลี่ยนแปลงในช่วงวิกฤต |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
16 |
อะไรคือจุดแข็งของแนวทางการใช้ชีวิตในช่วงโควิด -19 ของออสเตรเลีย
|
พวกเขาได้รับความไว้วางใจว่าเป็นแหล่งที่เชื่อถือได้และมีหลักฐานเชิงประจักษ์ |
|
ในช่วงวิกฤตของ COVID-19 การใช้แนวทางที่มีความเชื่อมั่นและสามารถอ้างอิงได้จากข้อมูลเชิงประจักษ์ถือเป็นสิ่งสำคัญ แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และการรายงานจากองค์กรสุขภาพที่มีความน่าเชื่อถือ (เช่น WHO) ช่วยสร้างความมั่นใจในแผนการดูแลผู้ป่วยและมาตรการที่ดำเนินการ |
การตัดสินใจทางการแพทย์และสาธารณสุขควรอิงจาก หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤต เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย เเละ อ้างอิงจาก ข้อปฏิบัติจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และงานวิจัยที่มีการทดสอบและประเมินผล |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
17 |
แนวทางปฏิบัติทางคลินิกตามการศึกษาวิจัยนี้มีผลกระทบอะไรบ้าง?
|
ลดความซับซ้อนของขั้นตอนการบริหาร |
|
แนวทางปฏิบัติทางคลินิกที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาวิจัยควรมีการจัดการที่ ลดความซับซ้อนของขั้นตอนการบริหาร เพื่อให้กระบวนการต่างๆ มีประสิทธิภาพและตรงไปตรงมา ซึ่งช่วยให้การนำข้อมูลจากการวิจัยไปใช้ในทางปฏิบัติสามารถทำได้ง่ายและเร็วขึ้น ลดความยุ่งยากในการดำเนินงาน และเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาในระบบสุขภาพ |
การปรับปรุง ระบบการบริหารจัดการในงานวิจัย เป็นกุญแจสำคัญในการทำให้แนวทางปฏิบัติสามารถนำมาใช้ได้จริงในคลินิก การลดความซับซ้อนช่วยให้การตัดสินใจในกระบวนการรักษามีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอ้างอิงจาก หลักการจัดการคลินิกและกระบวนการนำแนวทางวิจัยไปใช้ในภาคปฏิบัติ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
18 |
บทความ Australian living guidelines for the clinical care of people with COVID-19 นี้เสนอแนะแนวทางการใช้ชีวิตในอนาคตอย่างไร
|
สิ่งเหล่านี้อาจมีผลผูกพันทางกฎหมาย |
|
บทความ Australian living guidelines for the clinical care of people with COVID-19 เน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้หลักเกณฑ์ที่เป็น ข้อบังคับทางกฎหมาย ในการดูแลผู้ป่วย COVID-19 โดยมีการจัดการที่ชัดเจนและมีการตรวจสอบผลลัพธ์ตามกฎหมาย เพื่อให้การรักษามีมาตรฐานและมีความปลอดภัยสูงสุดสำหรับผู้ป่วย |
หลักการใน living guidelines มีการกำหนดให้อัปเดตแนวทางการรักษาและการดูแลผู้ป่วยตามข้อมูลใหม่ที่มีอยู่ โดยสิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการสนับสนุนจากมาตรการทางกฎหมายเพื่อให้มั่นใจว่าการดูแลเป็นไปตามมาตรฐานที่ถูกต้อง เเละ อ้างอิงจากแนวทางทางคลินิกที่ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานสุขภาพในประเทศออสเตรเลีย |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
19 |
แนวทางการใช้ชีวิต (Living Guideline) คืออะไร
|
ทรัพยากรแบบไดนามิกที่ได้รับการอัปเดตเป็นประจำเมื่อมีข้อมูลใหม่ |
|
Living Guideline หมายถึงแนวทางปฏิบัติที่เป็นแบบไดนามิก ซึ่งจะถูกอัปเดตอย่างสม่ำเสมอเมื่อมีข้อมูลใหม่หรือหลักฐานเชิงประจักษ์เพิ่มเติม แนวทางนี้ช่วยให้แน่ใจว่าการตัดสินใจทางคลินิกอิงกับข้อมูลที่ทันสมัยที่สุด ลดความล้าสมัยของแนวทางเดิม ตัวอย่างการใช้ Living Guideline เช่น แนวทางการรักษาโรคติดเชื้อที่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ |
การอัปเดตข้อมูลใน Living Guideline เป็นแนวทางที่อิงกับ Evidence-Based Medicine (EBM) ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแม่นยำในการตัดสินใจทางคลินิก เมื่อมีการค้นพบข้อมูลใหม่ แนวทางจะได้รับการปรับปรุงอย่างรวดเร็ว โดยอ้างอิงจากแนวทางปฏิบัติทางการแพทย์และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ Living Guidelines |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
20 |
แนวทางปฏิบัติทั่วไปในสถานพยาบาลใช้ร่วมกันมีอะไรบ้าง
|
เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจในการรักษา |
|
แนวทางปฏิบัติในสถานพยาบาลเป็น เครื่องมือสำคัญในการช่วยแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการวินิจฉัยและการรักษา โดยอ้างอิงจากหลักฐานเชิงประจักษ์ (Evidence-Based Medicine) ซึ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำ ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วย |
ตามหลักการของ Clinical Practice Guidelines (CPGs) แนวทางปฏิบัติจะช่วยให้การตัดสินใจของบุคลากรทางการแพทย์มีมาตรฐานและเป็นระบบมากขึ้น โดยการวางแนวปฏิบัติที่ชัดเจนทำให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและลดความแปรปรวนในวิธีการรักษา สามารถอ้างอิงจากแนวทางปฏิบัติทางการแพทย์และบทความในวารสารวิชาการที่เกี่ยวข้อง |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|