ตรวจข้อสอบ > ยศพัฒน์ ชาวยอง > ความถนัดเคมีเชิงวิศวกรรมศาสตร์ | Engineering Chemistry Aptitude > Part 2 > ตรวจ

ใช้เวลาสอบ 0 นาที

Back

# คำถาม คำตอบ ถูก / ผิด สาเหตุ/ขยายความ ทฤษฎีหลักคิด/อ้างอิงในการตอบ คะแนนเต็ม ให้คะแนน
1


What is the primary role of gallic acid in sustainable packaging as discussed in the article?

To enhance mechanical strength and UV barrier properties

กรดกาแล็ก (Gallic acid) เป็นสารที่มีคุณสมบัติในการเสริมความแข็งแรงและสามารถช่วยในการป้องกันรังสี UV ในบรรจุภัณฑ์ โดยการเพิ่มกรดกาแล็กลงในวัสดุบรรจุภัณฑ์สามารถทำให้วัสดุมีความแข็งแรงขึ้นและทนทานต่อการสึกหรอ รวมถึงสามารถป้องกันการทำลายจากรังสี UV ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการความยั่งยืนและการป้องกันจากสภาพแวดล้อม การเสริมความแข็งแรง: กรดกาแล็กช่วยเพิ่มความแข็งแรงของวัสดุโดยการรวมตัวกับโพลีเมอร์และทำให้มีโครงสร้างที่แข็งแรง การป้องกันรังสี UV: กรดกาแล็กสามารถช่วยป้องกันรังสี UV ซึ่งช่วยลดการเสื่อมสภาพของวัสดุจากการสัมผัสกับแสงแดดและสภาพแวดล้อมที่มีรังสี UV 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

2


According to the article, what effect does gallic acid have on the biodegradability of chitosan films?

It increases biodegradability

กรดกาแล็ก (Gallic acid) มีคุณสมบัติในการเสริมสร้างการย่อยสลายทางชีวภาพของฟิล์มไคโตซานโดยการทำให้วัสดุมีโครงสร้างที่เหมาะสมสำหรับการกระทำของจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดการย่อยสลาย ฟิล์มที่มีกรดกาแล็กจะมีความสามารถในการย่อยสลายเพิ่มขึ้นเนื่องจากการทำปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้ฟิล์มแตกตัวได้ง่ายขึ้น การเพิ่มความสามารถในการย่อยสลาย: การเพิ่มกรดกาแล็กลงในฟิล์มไคโตซานทำให้เกิดการเสริมสร้างการย่อยสลายทางชีวภาพเนื่องจากกรดกาแล็กช่วยให้วัสดุมีการแตกตัวได้ง่ายและเป็นประโยชน์ต่อการกระทำของจุลินทรีย์ ผลกระทบของกรดกาแล็ก: การเพิ่มกรดกาแล็กช่วยให้วัสดุมีโครงสร้างที่เปิดและเป็นมิตรกับจุลินทรีย์ ซึ่งส่งผลให้สามารถย่อยสลายได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

3


How does gallic acid impact the antimicrobial properties of packaging materials?

It has a synergistic effect with nanoparticles to enhance antimicrobial properties

กรดกาแล็ก (Gallic acid) สามารถเสริมฤทธิ์ร่วมกับนาโนอนุภาคเพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการต้านจุลชีพของวัสดุบรรจุภัณฑ์ โดยกรดกาแล็กทำงานร่วมกับนาโนอนุภาคเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ การรวมกรดกาแล็กกับนาโนอนุภาคสามารถเพิ่มพื้นที่สัมผัสของสารต้านจุลชีพ และทำให้การทำงานร่วมกันมีประสิทธิภาพสูงขึ้นในการควบคุมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ผลเสริมฤทธิ์ร่วม: การรวมกรดกาแล็กกับนาโนอนุภาคทำให้มีการเสริมฤทธิ์กันในการต้านจุลชีพ เนื่องจากการทำงานร่วมกันนี้สามารถเพิ่มความสามารถในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ได้ดีขึ้น กลไกการทำงาน: กรดกาแล็กมีคุณสมบัติในการเสริมฤทธิ์ของนาโนอนุภาคโดยการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้สารต้านจุลชีพมีประสิทธิภาพมากขึ้น 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

4


If gallic acid improves oxygen scavenging capacity by 120 mg O2 per gram, how much oxygen can 10 grams of gallic acid scavenge?

1200 mg O2

กรดกาแล็ก (Gallic acid) มีความสามารถในการกำจัดออกซิเจนที่ 120 มิลลิกรัม O₂ ต่อกรัม ดังนั้นการกำจัดออกซิเจนทั้งหมดสำหรับ 10 กรัมของกรดกาแล็กจะคำนวณได้ดังนี้: 120  mg O 2 / gram × 10  grams = 1200  mg O 2 120 mg O 2 ​ /gram×10 grams=1200 mg O 2 ​ การคำนวณปริมาณออกซิเจนที่กำจัด: ปริมาณออกซิเจนที่กำจัดได้จะเท่ากับอัตราการกำจัดออกซิเจนต่อกรัมคูณด้วยน้ำหนักของกรดกาแล็ก การใช้กรดกาแล็ก: กรดกาแล็กทำหน้าที่เป็นสารที่ช่วยในการกำจัดออกซิเจน ซึ่งเป็นการปรับปรุงคุณสมบัติของวัสดุบรรจุภัณฑ์ในการยืดอายุการเก็บรักษา 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

5


Given that adding gallic acid at 0.5% to a polymer increases its tensile strength by 15%, how much would the tensile strength increase if 2% gallic acid is added, assuming the relationship is linear?

60%

การเพิ่มความต้านทานแรงดึงที่ 0.5% ของกรดกาแล็ก เพิ่มขึ้น 15% ดังนั้นหากความสัมพันธ์เป็นเชิงเส้น การเพิ่มกรดกาแล็กเป็น 2% ซึ่งเป็น 4 เท่าของ 0.5% จะทำให้การเพิ่มความต้านทานแรงดึงเพิ่มขึ้นตามสัดส่วน: 15 % × 2 % 0.5 % = 15 % × 4 = 60 % 15%× 0.5% 2% ​ =15%×4=60% ความสัมพันธ์เชิงเส้น (Linear Relationship): หากความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณของกรดกาแล็กกับการเพิ่มขึ้นของความต้านทานแรงดึงเป็นเชิงเส้น การเพิ่มปริมาณกรดกาแล็กจะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของความต้านทานแรงดึงตามสัดส่วน การคำนวณทางคณิตศาสตร์: การคูณเปอร์เซ็นต์การเพิ่มขึ้นที่ 0.5% ของกรดกาแล็กด้วยสัดส่วนของการเพิ่มปริมาณกรดกาแล็ก จะให้เปอร์เซ็นต์การเพิ่มขึ้นใหม่ที่ 2% 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

6


If the water vapor permeability of a packaging film decreases by 10% with each 0.1% increase in gallic acid content, what is the decrease in permeability when the content is increased from 0.1% to 0.5%?

40%

การลดความสามารถในการผ่านน้ำเป็น 10% สำหรับการเพิ่มเนื้อหากรดกาแล็ก 0.1% ดังนั้น เมื่อเพิ่มเนื้อหากรดกาแล็กจาก 0.1% ถึง 0.5% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้น 0.4%: 10 % × 0.4 0.1 = 10 % × 4 = 40 % 10%× 0.1 0.4 ​ =10%×4=40% การลดตามสัดส่วน (Proportional Decrease): ความสามารถในการผ่านน้ำจะลดลงตามสัดส่วนของการเพิ่มปริมาณกรดกาแล็ก ซึ่งในกรณีนี้เป็นเปอร์เซ็นต์ที่ลดลงสำหรับทุกการเพิ่ม 0.1% ของกรดกาแล็ก การคำนวณตามสัดส่วน: การคูณเปอร์เซ็นต์การลดลงที่ 0.1% ของกรดกาแล็กด้วยจำนวนครั้งที่เพิ่มขึ้น (4 ครั้ง) จะให้เปอร์เซ็นต์การลดลงรวมใหม่ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

7


What is a significant benefit of using gallic acid in food packaging according to the article?

It significantly extends the shelf life of food products

กรดกาแล็กช่วยยืดอายุการเก็บรักษาของอาหารโดยการทำหน้าที่เป็นสารต้านออกซิเดชั่น (antioxidant) และสารจับออกซิเจน (oxygen scavenger) ซึ่งช่วยลดการเสื่อมสภาพของอาหารที่เกิดจากการออกซิเดชั่นและการเสื่อมสภาพของสารอาหาร สารต้านออกซิเดชั่น (Antioxidant Properties): กรดกาแล็กมีคุณสมบัติในการลดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ซึ่งช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของอาหารและขยายอายุการเก็บรักษา สารจับออกซิเจน (Oxygen Scavenging): กรดกาแล็กช่วยในการดูดซับออกซิเจน ซึ่งช่วยลดการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นในอาหาร 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

8


Which of the following is not a property affected by gallic acid in food packaging materials?

Aroma of the food product

กรดกาแล็กมีผลต่อคุณสมบัติเช่น ความสามารถในการต้านเชื้อจุลินทรีย์, การป้องกัน UV, ความแข็งแรงของวัสดุ (tensile strength), และความสามารถในการจับออกซิเจน แต่ไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลิ่นของผลิตภัณฑ์อาหาร คุณสมบัติในการต้านเชื้อจุลินทรีย์ (Antimicrobial Activity): กรดกาแล็กช่วยลดการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ การป้องกัน UV (UV Barrier Properties): กรดกาแล็กช่วยในการป้องกันรังสี UV ซึ่งช่วยลดการเสื่อมสภาพของอาหาร ความแข็งแรงของวัสดุ (Tensile Strength): กรดกาแล็กสามารถเพิ่มความแข็งแรงของวัสดุบรรจุภัณฑ์ ความสามารถในการจับออกซิเจน (Oxygen Scavenging Capacity): กรดกาแล็กช่วยลดการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นในอาหาร กลิ่นของผลิตภัณฑ์อาหาร (Aroma): การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากกรดกาแล็กไม่น่าจะมีผลโดยตรงต่อกลิ่นของผลิตภัณฑ์อาหาร 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

9


What sustainability challenge does gallic acid address when used in packaging?

Reducing plastic waste and enhancing biodegradability

กรดกาแล็กช่วยปรับปรุงความสามารถในการย่อยสลายของวัสดุบรรจุภัณฑ์ โดยทำให้วัสดุที่ใช้สามารถย่อยสลายได้ง่ายขึ้นเมื่อทิ้ง ซึ่งช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกในสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการทำให้วัสดุบรรจุภัณฑ์มีความสามารถในการย่อยสลายตามธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้น การลดขยะพลาสติก (Reducing Plastic Waste): การใช้กรดกาแล็กในวัสดุบรรจุภัณฑ์ทำให้วัสดุมีคุณสมบัติในการย่อยสลายได้ง่ายขึ้น ลดผลกระทบจากขยะพลาสติก การเพิ่มความสามารถในการย่อยสลาย (Enhancing Biodegradability): กรดกาแล็กมีผลต่อการเพิ่มการย่อยสลายของวัสดุบรรจุภัณฑ์ โดยช่วยให้วัสดุสามารถย่อยสลายได้เร็วขึ้นเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

10


Which of the following is a future research direction for gallic acid mentioned in the article?

Exploring its pro-oxidative activities and interactions with food

การสำรวจกิจกรรมทางโปรออกซิเดชัน (pro-oxidative activities) ของกรดกาแล็กหมายถึงการศึกษาและทำความเข้าใจว่ากรดกาแล็กสามารถมีผลกระทบต่อกระบวนการออกซิเดชันในอาหารหรือวัสดุบรรจุภัณฑ์อย่างไร ซึ่งสามารถมีผลกระทบต่อคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์อาหารได้ การศึกษาเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถปรับปรุงการใช้งานกรดกาแล็กในผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์และประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กิจกรรมทางโปรออกซิเดชัน (Pro-Oxidative Activities): การศึกษาว่ากรดกาแล็กมีบทบาทอย่างไรในการกระตุ้นกระบวนการออกซิเดชัน ซึ่งอาจส่งผลต่ออายุการเก็บรักษาและคุณภาพของอาหาร การปฏิสัมพันธ์กับอาหาร (Interactions with Food): การวิจัยเพื่อทำความเข้าใจว่ากรดกาแล็กมีปฏิสัมพันธ์อย่างไรกับส่วนประกอบของอาหารและวัสดุบรรจุภัณฑ์ ซึ่งสามารถมีผลกระทบต่อความปลอดภัยและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

11


What is the primary reason CCUS is considered essential for achieving carbon neutrality in India by 2070?

To manage and reduce CO2 emissions from heavy industries.

CCUS เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในการจับ ควบคุม และเก็บกัก CO2 ที่ปล่อยออกมาจากกระบวนการอุตสาหกรรมและพลังงานที่ใช้ฟอสซิล ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการลดการปล่อย CO2 ในระดับใหญ่ โดยเฉพาะจากอุตสาหกรรมที่มีการปล่อย CO2 จำนวนมาก เช่น อุตสาหกรรมเหล็กและปูนซีเมนต์ การลดการปล่อย CO2 จากแหล่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการผลิตและการใช้พลังงานอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการลดการปล่อย CO2 ทั้งหมด การจับ CO2 (Carbon Capture): การใช้เทคโนโลยีเพื่อจับ CO2 ที่ปล่อยออกมาจากแหล่งต่างๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม และโรงไฟฟ้าพลังงานฟอสซิล การใช้ CO2 (Carbon Utilization): การใช้ CO2 ที่จับได้ในการผลิตสารเคมีหรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพื่อลดการปล่อย CO2 สู่บรรยากาศ การเก็บกัก CO2 (Carbon Storage): การจัดเก็บ CO2 ที่จับได้ในพื้นที่เก็บกักใต้ดิน เพื่อป้องกันไม่ให้มันปล่อยออกสู่บรรยากาศ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

12


According to the article, how does the Indian government aim to support the implementation of CCUS technology?

By providing subsidies and funding for CCUS research and development.

รัฐบาลอินเดียได้จัดทำแผนการสนับสนุนและเงินทุนเพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี CCUS ซึ่งเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ และช่วยในการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการจับและเก็บกัก CO2 การให้เงินสนับสนุนและทุนช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินสำหรับบริษัทและนักวิจัยที่ทำงานในสาขานี้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเร่งการพัฒนาและการนำเทคโนโลยีมาใช้จริง นโยบายสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา (R&D Policies): การให้เงินสนับสนุนและทุนเป็นวิธีที่รัฐบาลใช้ในการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด กลยุทธ์การส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาใช้ (Technology Adoption Strategies): การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาช่วยเพิ่มความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ และช่วยเร่งการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในภาคอุตสาหกรรม 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

13


What are the anticipated benefits of integrating CCUS technology in thermal power plants by 2030?

Significant reduction in CO2 emissions contributing to decarbonization goals.

การบูรณาการเทคโนโลยี CCUS (Carbon Capture, Utilization, and Storage) มีเป้าหมายหลักในการจับ CO2 ที่ปล่อยออกจากโรงไฟฟ้าถ่านหินและเก็บกักไว้หรือใช้ประโยชน์จากมัน ซึ่งช่วยลดการปล่อย CO2 ที่เข้าสู่บรรยากาศได้อย่างมีนัยสำคัญ นี่เป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่พึ่งพาโรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นหลักในการผลิตพลังงาน การลดการปล่อย CO2 และการบรรลุเป้าหมายด้านการลดการปล่อยคาร์บอน (Carbon Reduction and Decarbonization Goals): CCUS มีบทบาทสำคัญในการลดการปล่อย CO2 และช่วยบรรลุเป้าหมายด้านการลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในแผนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เทคโนโลยีการจัดการ CO2 (CO2 Management Technology): CCUS เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการจัดการ CO2 ที่ปล่อยออกจากกระบวนการผลิตพลังงาน เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งสามารถลดการปล่อย CO2 ได้อย่างมีนัยสำคัญ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

14


If a CCUS facility captures 2 million metric tonnes of CO2 annually from a power plant, how much CO2 is captured in 5 years?

10 million metric tonnes

หากโรงงาน CCUS สามารถจับ CO2 ได้ 2 ล้านเมตริกตันต่อปี การจับ CO2 ในระยะเวลา 5 ปีจะคำนวณได้จาก: CO2 ที่จับได้ใน 5 ปี = 2  ล้านเมตริกตัน/ปี × 5  ปี = 10  ล้านเมตริกตัน CO2 ที่จับได้ใน 5 ปี=2 ล้านเมตริกตัน/ปี×5 ปี=10 ล้านเมตริกตัน การคำนวณนี้อิงตามการจับ CO2 ต่อปีคูณด้วยจำนวนปี ซึ่งให้ผลรวมของ CO2 ที่จับได้ในช่วงระยะเวลานั้น การคำนวณปริมาณการจับ CO2 (CO2 Capture Calculation): การคำนวณนี้ใช้หลักการพื้นฐานของการคูณอัตราการจับ CO2 ต่อปีกับจำนวนปีที่เกี่ยวข้อง การติดตามและรายงานการจับ CO2 (CO2 Capture Tracking and Reporting): การติดตามปริมาณ CO2 ที่จับได้เป็นส่วนสำคัญของการประเมินผลของการใช้เทคโนโลยี CCUS และการรายงานผลการจับ CO2 เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบและประสิทธิภาพของเทคโนโลยี 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

15


Given the current rate of CO2 emissions reduction targets, if India needs to reduce emissions by 50% by 2050 from a baseline of 3 billion metric tonnes, what will be the target emissions per year by 2050?

1.5 billion metric tonnes

หากเป้าหมายการลดการปล่อย CO2 คือ 50% จากระดับพื้นฐานที่ 3 พันล้านเมตริกตัน การคำนวณปริมาณการปล่อย CO2 ที่ต้องการจะเป็น: เป้าหมายการปล่อย CO2 = ระดับพื้นฐาน − ( ระดับพื้นฐาน × เปอร์เซ็นต์การลดลง ) เป้าหมายการปล่อย CO2=ระดับพื้นฐาน−(ระดับพื้นฐาน×เปอร์เซ็นต์การลดลง) เป้าหมายการปล่อย CO2 = 3  พันล้านเมตริกตัน − ( 3  พันล้านเมตริกตัน × 50 % ) เป้าหมายการปล่อย CO2=3 พันล้านเมตริกตัน−(3 พันล้านเมตริกตัน×50%) เป้าหมายการปล่อย CO2 = 3  พันล้านเมตริกตัน − 1.5  พันล้านเมตริกตัน เป้าหมายการปล่อย CO2=3 พันล้านเมตริกตัน−1.5 พันล้านเมตริกตัน เป้าหมายการปล่อย CO2 = 1.5  พันล้านเมตริกตัน เป้าหมายการปล่อย CO2=1.5 พันล้านเมตริกตัน ดังนั้น เป้าหมายการปล่อย CO2 ต่อปีที่ต้องการถึงในปี 2050 จะต้องเป็น 1.5 พันล้านเมตริกตัน การคำนวณการลดการปล่อย CO2 (CO2 Reduction Calculation): การคำนวณนี้อิงตามการลดการปล่อย CO2 ตามเปอร์เซ็นต์ที่กำหนดจากระดับพื้นฐาน เป้าหมายการลดการปล่อย CO2 (CO2 Emission Reduction Targets): เป้าหมายการลดการปล่อย CO2 มักถูกกำหนดในระยะยาวเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

16


If CO2 emissions from the power sector are reduced by 25% from an initial value of 1200 mtpa due to CCUS, what are the new emission levels?

900 mtpa

เพื่อหาค่าการปล่อย CO2 ใหม่หลังจากการลดลง 25% จากค่าการปล่อยเริ่มต้นที่ 1200 เมตริกตันต่อปี (mtpa) ให้ใช้สูตรดังนี้: คำนวณการลดลงของการปล่อย CO2: การลดลง = 1200  mtpa × 25 % = 1200  mtpa × 0.25 = 300  mtpa การลดลง=1200 mtpa×25%=1200 mtpa×0.25=300 mtpa หาค่าการปล่อย CO2 ใหม่: ค่าการปล่อย CO2 ใหม่ = 1200  mtpa − 300  mtpa = 900  mtpa ค่าการปล่อย CO2 ใหม่=1200 mtpa−300 mtpa=900 mtpa ดังนั้น ค่าการปล่อย CO2 ใหม่หลังจากการลดลง 25% จะเท่ากับ 900 mtpa. การคำนวณการลดการปล่อย CO2 (CO2 Reduction Calculation): การคำนวณนี้ใช้การคูณเปอร์เซ็นต์การลดลงกับค่าเริ่มต้นเพื่อหาค่าการลดลง และลบออกจากค่าเริ่มต้นเพื่อหาค่าการปล่อยใหม่ การจัดการการปล่อย CO2 (CO2 Emission Management): การลดการปล่อย CO2 เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การจัดการการปล่อยเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยและสนับสนุนความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อม 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

17


What is the main driver for the adoption of CCUS technology in India?

To meet international climate agreements.

การนำเทคโนโลยี CCUS (Carbon Capture, Utilization, and Storage) มาใช้ในอินเดียเป็นการตอบสนองต่อข้อกำหนดในข้อตกลงด้านสภาพอากาศระหว่างประเทศ เช่น ข้อตกลงปารีส ซึ่งกำหนดให้ประเทศต่างๆ ต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การลดการปล่อย CO2 เป็นส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้การนำ CCUS มาใช้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับอินเดีย ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement): ข้อตกลงระหว่างประเทศที่ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อป้องกันการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิทั่วโลก โดยกำหนดให้ประเทศต่างๆ ต้องดำเนินการเพื่อลดการปล่อย CO2 และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Reduction): การใช้ CCUS เป็นกลยุทธ์ในการลดการปล่อย CO2 ที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลและกิจกรรมอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศระหว่างประเทศ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

18


What sector is anticipated to benefit most from CCUS according to the article?

Heavy industry

ภาคอุตสาหกรรมหนัก (Heavy industry) คาดว่าจะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากเทคโนโลยี CCUS เนื่องจากอุตสาหกรรมเหล่านี้มีการปล่อย CO2 สูงมากจากกระบวนการผลิต เช่น การผลิตเหล็ก, ซีเมนต์, และปูนซิเมนต์ ซึ่งการใช้ CCUS สามารถช่วยในการจับและจัดเก็บ CO2 ที่ปล่อยออกมาจากกระบวนการเหล่านี้ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยให้บรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปล่อย CO2 จากอุตสาหกรรมหนัก: อุตสาหกรรมหนักมีการปล่อย CO2 ในปริมาณสูง เนื่องจากกระบวนการผลิตที่ใช้พลังงานมากและปล่อย CO2 เป็นผลพลอยได้ การใช้ CCUS สามารถลดการปล่อย CO2 จากแหล่งที่ยากต่อการควบคุมได้ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Reduction): CCUS เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการจับ CO2 และจัดเก็บในรูปแบบที่ปลอดภัย ซึ่งช่วยลดปริมาณการปล่อย CO2 ลงในบรรยากาศ และเหมาะสมกับภาคอุตสาหกรรมที่ปล่อย CO2 สูง 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

19


Which technology is critical for achieving India's climate goals according to the article?

Carbon capture, utilization, and storage

เทคโนโลยี CCUS ถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญสำหรับการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศของอินเดีย เนื่องจาก CCUS สามารถช่วยลดการปล่อย CO2 จากอุตสาหกรรมที่มีการปล่อย CO2 สูง เช่น อุตสาหกรรมหนักและโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งเป็นแหล่งหลักของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: CCUS เป็นกลยุทธ์สำคัญในการจับและจัดเก็บ CO2 ที่ปล่อยออกมาจากกระบวนการอุตสาหกรรมและการผลิตพลังงาน ช่วยลดการปล่อย CO2 ลงในบรรยากาศ และเป็นส่วนหนึ่งของการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่กำหนดโดยข้อตกลงระดับโลกและแผนการพัฒนาของประเทศ ความสำคัญในการลดการปล่อย CO2: แม้ว่าพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม เป็นสิ่งที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงการผลิตพลังงาน แต่เทคโนโลยี CCUS มีบทบาทสำคัญในการจัดการกับ CO2 ที่ปล่อยออกมาจากแหล่งที่ยังคงใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

20


What is the expected impact of CCUS on India's CO2 emissions by 2050?

Decrease by 50%

การใช้เทคโนโลยี CCUS (Carbon Capture, Utilization, and Storage) มีเป้าหมายหลักในการลดการปล่อย CO2 จากแหล่งที่ปล่อย CO2 สูง เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหินและอุตสาหกรรมหนัก โดยคาดว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยลดการปล่อย CO2 ลงครึ่งหนึ่งจากระดับปัจจุบันภายในปี 2050 นี่คือส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาที่มุ่งหวังในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ตั้งไว้ เป้าหมายการลดการปล่อย CO2: การลดการปล่อย CO2 โดยใช้เทคโนโลยี CCUS เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อย CO2 ที่รัฐบาลอินเดียตั้งไว้ ซึ่งต้องการให้การปล่อย CO2 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: CCUS มีบทบาทสำคัญในการลดปริมาณ CO2 ที่ปล่อยออกมาจากกระบวนการอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งเป็นแหล่งหลักของการปล่อย CO2 ดังนั้นการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้คาดว่าจะช่วยให้การปล่อย CO2 ลดลงถึง 50% จากระดับปัจจุบัน 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

ผลคะแนน 140 เต็ม 140

แท๊ก หลักคิด
แท๊ก อธิบาย
แท๊ก ภาษา