ตรวจข้อสอบ > ไพรินทร์ นุใจ > เคมีเชิงวิทยาศาสตร์การแพทย์ | Chemistry in Medical Science > Part 2 > ตรวจ

ใช้เวลาสอบ 14 นาที

Back

# คำถาม คำตอบ ถูก / ผิด สาเหตุ/ขยายความ ทฤษฎีหลักคิด/อ้างอิงในการตอบ คะแนนเต็ม ให้คะแนน
1


What is hybrid micellar liquid chromatography primarily used for in the study?

To study vegetable genetic variations.

เทคนิคการวิเคราะห์: ไฮบริดไมเซลลาร์ลิควิดโครมาโทกราฟี (Hybrid Micellar Liquid Chromatography) เป็นเทคนิคที่ใช้ในการแยกและวิเคราะห์สารเคมีในปริมาณน้อยมาก โดยเฉพาะสารที่มีความซับซ้อน เช่น สารกำจัดศัตรูพืชในอาหาร วัตถุประสงค์ของการศึกษา: การตรวจสอบสารตกค้างของสารกำจัดศัตรูพืชในผักเป็นเรื่องสำคัญเพื่อประเมินความปลอดภัยของอาหาร และเพื่อควบคุมการใช้สารเคมีในเกษตรกรรมให้เป็นไปตามมาตรฐาน หลักการของไฮบริดไมเซลลาร์ลิควิดโครมาโทกราฟี: เทคนิคนี้ใช้หลักการของการรวมตัวกันของโมเลกุลของสารทำละลาย (ไมเซลล์) เพื่อจับกับโมเลกุลของสารที่ต้องการวิเคราะห์ ทำให้สามารถแยกสารเหล่านั้นออกจากตัวอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ การนำไปใช้ตรวจสอบสารกำจัดศัตรูพืช: โดยการเตรียมตัวอย่างผักที่สกัดสารกำจัดศัตรูพืชออกมา แล้วนำไปวิเคราะห์ด้วยเทคนิคนี้ จะสามารถตรวจพบและระบุชนิดของสารกำจัดศัตรูพืชที่ปนเปื้อนอยู่ในผักได้อย่างแม่นยำ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

2


Which pesticide was found most commonly in the vegetable samples?

Chlorpyrifos

การศึกษาแต่ละครั้งมีผลลัพธ์แตกต่างกัน: ผลการศึกษาเกี่ยวกับสารเคมีในผักผลไม้มักแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ชนิดของพืช, ภูมิภาคที่ปลูก, ชนิดของสารเคมีที่ใช้, และช่วงเวลาที่เก็บตัวอย่าง การเปลี่ยนแปลงของการใช้สารเคมี: การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น และการพัฒนารูปแบบใหม่ๆ ของสารเคมี การตกค้างของสารเคมีในพืช: เมื่อพืชได้รับสารเคมีกำจัดศัตรูพืช สารเคมีเหล่านี้จะซึมเข้าไปในพืชและอาจตกค้างอยู่ได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของสารเคมีและสภาพแวดล้อม ความเสี่ยงต่อสุขภาพ: การบริโภคผักผลไม้ที่มีสารเคมีตกค้างในปริมาณมาก อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น ระบบประสาท, ระบบสืบพันธุ์, และระบบภูมิคุ้มกัน 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

3


What percentage of the vegetable samples tested were found to contain no detectable pesticides?

4%

ข้อมูลที่ให้มาไม่ได้ระบุเปอร์เซ็นต์โดยตรงว่ามีผักกี่เปอร์เซ็นต์ที่ไม่พบสารเคมีตกค้างเลย ข้อมูลที่ให้มาส่วนใหญ่เป็นเปอร์เซ็นต์ของผักที่พบสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐาน หรือพบสารเคมีตกค้าง แต่ไม่เกินมาตรฐาน เพื่อที่จะคำนวณหาเปอร์เซ็นต์ของผักที่ไม่พบสารเคมีตกค้างเลย เราจำเป็นต้องมีข้อมูลดังต่อไปนี้: จำนวนตัวอย่างทั้งหมดที่นำมาทดสอบ: คือจำนวนผักทั้งหมดที่นำมาตรวจสอบหาสารเคมี จำนวนตัวอย่างที่ไม่พบสารเคมีตกค้าง: คือจำนวนผักที่ตรวจสอบแล้วไม่พบสารเคมีตกค้างเลย เมื่อได้ข้อมูลทั้งสองอย่างมาแล้ว เราสามารถคำนวณหาเปอร์เซ็นต์ได้โดยใช้สูตร: 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

4


Which of the following is NOT a reason for the use of hybrid micellar liquid chromatography (HMLC)?

It requires extensive solvent use.

HMLC หรือ Hybrid Micellar Liquid Chromatography เป็นเทคนิคทางวิเคราะห์ที่ออกแบบมาเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้ตัวทำละลายในปริมาณน้อย และมักใช้สารเคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าเทคนิคอื่นๆ ตัวเลือกอื่นๆ ที่ถูก: เป็นวิธีการวิเคราะห์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (green analytical method) ใช้สารเคมีที่เป็นพิษในปริมาณน้อย ง่ายต่อการใช้งาน ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ไฮบริดไมเซลลาร์ลิควิดโครมาโทกราฟี (HMLC) เป็นการผสมผสานระหว่างเทคนิคโครมาโทกราฟีแบบดั้งเดิมกับเทคโนโลยีไมเซลล์ ซึ่งไมเซลล์เป็นโครงสร้างโมเลกุลขนาดเล็กที่สามารถละลายสารที่ไม่ละลายน้ำได้ในน้ำ จุดเด่นของ HMLC: ลดปริมาณของขยะ: เนื่องจากใช้ตัวทำละลายในปริมาณน้อย ลดต้นทุน: เนื่องจากใช้สารเคมีที่เป็นพิษน้อยลง เพิ่มประสิทธิภาพ: ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและแม่นยำ ใช้งานง่าย: อุปกรณ์และขั้นตอนการใช้งานไม่ซับซ้อน การนำไปใช้: HMLC ถูกนำไปใช้ในการวิเคราะห์สารอินทรีย์ที่หลากหลาย เช่น ยา สารปนเปื้อนในอาหาร และสารเคมีในสิ่งแวดล้อม 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

5


What was the primary methodological change in the HMLC technique used in the study?

Use of a micellar mobile phase with reduced solvent usage.

เทคนิค HMLC: HMLC ย่อมาจาก High-Performance Micellar Liquid Chromatography ซึ่งเป็นเทคนิคการแยกสารเคมีชนิดหนึ่งที่ใช้น้ำเคลื่อนที่แบบไมเซลล์ (micellar mobile phase) น้ำเคลื่อนที่แบบไมเซลล์: นี่คือส่วนผสมของน้ำและสารลดแรงตึงผิว ซึ่งเมื่อละลายในน้ำจะรวมตัวกันเป็นโครงสร้างคล้ายทรงกลมที่เรียกว่าไมเซลล์ ไมเซลล์เหล่านี้มีคุณสมบัติในการละลายสารทั้งชนิดชอบน้ำและชนิดไม่ชอบน้ำ ทำให้สามารถแยกสารได้หลากหลายชนิด ลดการใช้น้ำยาละลาย: การใช้น้ำเคลื่อนที่แบบไมเซลล์ช่วยลดการใช้น้ำยาอินทรีย์ (organic modifiers) ที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพลงได้อย่างมาก การเปลี่ยนแปลงวิธีการหลักใน HMLC จากการใช้น้ำเคลื่อนที่แบบดั้งเดิมเป็นการใช้น้ำเคลื่อนที่แบบไมเซลล์นั้นสอดคล้องกับแนวคิดของ "เคมีสีเขียว" (Green chemistry) ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนากระบวนการทางเคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการใช้สารเคมีที่เป็นอันตราย และเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

6


According to the study, why might vegetable growers prefer other pesticides over Imidacloprid (ICP)?

ICP is more expensive.

ประสิทธิภาพ: สารกำจัดศัตรูพืชที่เลือกใช้ต้องสามารถควบคุมศัตรูพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อพืชผล ความปลอดภัย: สารกำจัดศัตรูพืชต้องมีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ สัตว์เลี้ยง และสิ่งแวดล้อม ราคา: ราคาของสารกำจัดศัตรูพืชเป็นปัจจัยสำคัญที่เกษตรกรพิจารณา เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่มีงบประมาณจำกัด ความสะดวกในการใช้: สารกำจัดศัตรูพืชที่เลือกใช้ต้องมีความสะดวกในการใช้ และสามารถเข้าถึงได้ง่าย การเลือกใช้สารกำจัดศัตรูพืชเป็นการตัดสินใจที่ซับซ้อน และต้องพิจารณาถึงปัจจัยหลายอย่าง โดยหลักการทั่วไปในการเลือกใช้สารกำจัดศัตรูพืช คือ การเลือกใช้สารที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แต่มีความเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และมีความปลอดภัยต่อผู้ใช้มากที่สุด 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

7


What is the major benefit of using ICP as a pesticide, according to the study?

It is less toxic compared to many others.

ข้อมูลไม่เพียงพอ: ข้อมูลที่ให้มามุ่งเน้นไปที่คุณสมบัติของ ICP มากกว่าที่จะเปรียบเทียบกับยาฆ่าแมลงชนิดอื่นๆ หรือระบุผลการศึกษาที่ชัดเจน ความหลากหลายของผลกระทบ: ยาฆ่าแมลงแต่ละชนิดจะมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป การเลือกใช้ยาฆ่าแมลงจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ชนิดของแมลงศัตรูพืช พืชที่ปลูก สภาพแวดล้อม และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การตีความที่แตกต่างกัน: คำว่า "ประโยชน์หลัก" อาจมีความหมายที่แตกต่างกันไปในแต่ละบริบท เช่น ประโยชน์ต่อเกษตรกร ประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม หรือประโยชน์ต่อผู้บริโภค ยาฆ่าแมลง: เป็นสารเคมีหรือสารชีวภาพที่ใช้ในการควบคุมและกำจัดแมลงศัตรูพืช ICP: เป็นตัวย่อที่ใช้เรียกยาฆ่าแมลงชนิดหนึ่ง โดยทั่วไปจะหมายถึงสารสำคัญในยาฆ่าแมลงนั้น เช่น Emamectin benzoate กลไกการทำงานของยาฆ่าแมลง: ยาฆ่าแมลงแต่ละชนิดจะมีกลไกการทำงานที่แตกต่างกันไป เช่น ทำลายระบบประสาทของแมลง ยับยั้งการเจริญเติบโต หรือทำลายโครงสร้างของร่างกายแมลง ผลกระทบของยาฆ่าแมลง: นอกจากผลในการกำจัดแมลงศัตรูพืชแล้ว ยาฆ่าแมลงยังอาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สัตว์อื่นๆ และสุขภาพของมนุษย์ได้ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

8


What aspect of the pesticide detection method was focused on during the method validation phase?

Ensuring it can detect extremely low pesticide levels.

ความปลอดภัยของผู้บริโภค: การตรวจพบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในระดับต่ำมากเป็นสิ่งสำคัญเพื่อปกป้องสุขภาพของผู้บริโภคจากการปนเปื้อนของสารเคมีเหล่านี้ ข้อกำหนดทางกฎหมาย: หลายประเทศมีข้อกำหนดทางกฎหมายที่กำหนดระดับสูงสุดที่อนุญาตของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในอาหาร ความไวของเครื่องมือ: การพัฒนาวิธีการตรวจวัดที่ไวสูงขึ้นช่วยให้สามารถตรวจพบสารเคมีในปริมาณที่น้อยลงได้ ความไว (Sensitivity): หมายถึงความสามารถของวิธีการในการตรวจพบสารเคมีในปริมาณที่น้อยมาก ความจำเพาะ (Specificity): หมายถึงความสามารถของวิธีการในการตรวจพบสารเคมีเป้าหมายโดยไม่เกิดการรบกวนจากสารอื่นๆ ความถูกต้อง (Accuracy): หมายถึงความใกล้เคียงของค่าที่ได้จากการวิเคราะห์กับค่าที่แท้จริง ความแม่นยำ (Precision): หมายถึงความสอดคล้องกันของค่าที่ได้จากการวิเคราะห์ซ้ำๆ กัน 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

9


Considering the environmental impacts discussed, why is the HMLC method considered 'green'?

It exclusively uses green vegetables for testing.

ของเสียที่น้อยลง: กระบวนการที่ผลิตของเสียจำนวนน้อยจะช่วยลดภาระต่อสิ่งแวดล้อม เพราะจะลดปริมาณสารเคมีและวัสดุที่ต้องกำจัด ซึ่งอาจก่อให้เกิดมลพิษ ตัวทำละลายที่มีพิษต่ำ: ตัวทำละลายที่มีพิษต่ำจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนสิ่งแวดล้อมและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ลดหรือกำจัดการใช้สารอันตราย: หาทางเลือกในการใช้สารเคมีที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการ: ลดการใช้พลังงานและวัตถุดิบ ลดปริมาณของเสีย: ออกแบบกระบวนการให้เกิดของเสียน้อยที่สุด และสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ปลอดภัย: ออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ปลอดภัยต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรชีวิต 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

10


What is the importance of the photodiode array detector in the HMLC technique used in the study?

It detects the presence of pesticides across a spectrum of wavelengths.

Photodiode array detector เป็นอุปกรณ์ตรวจจับที่ใช้ในเทคนิค HMLC เพื่อตรวจวัดปริมาณของสารเคมีต่างๆ โดยอาศัยหลักการดูดกลืนแสง (absorption spectroscopy) เมื่อสารเคมีผ่านคอลัมน์และมาถึงตัวตรวจจับ สารเคมีแต่ละชนิดจะดูดกลืนแสงในช่วงความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน Photodiode array detector จะตรวจจับแสงที่ผ่านออกมาและสร้างสเปกตรัมการดูดกลืนแสง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสารเคมีแต่ละชนิด ในกรณีของการตรวจวัดสารปนเปื้อนในอาหาร เช่น สารกำจัดศัตรูพืช การใช้ photodiode array detector ช่วยให้สามารถตรวจพบสารปนเปื้อนได้หลากหลายชนิดพร้อมกัน และระบุชนิดของสารปนเปื้อนได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากสารปนเปื้อนแต่ละชนิดจะมีลายเซ็นของสเปกตรัมการดูดกลืนแสงที่แตกต่างกัน ข้อดีอื่นๆ ของการใช้ photodiode array detector: ความไวสูง: ตรวจพบสารปนเปื้อนได้ในปริมาณที่น้อยมาก ความละเอียดสูง: แยกแยะสารเคมีที่คล้ายคลึงกันได้ ความเร็วในการวิเคราะห์: ให้ผลวิเคราะห์ได้รวดเร็ว ความแม่นยำสูง: ให้ผลวิเคราะห์ที่เชื่อถือได้ หลักการดูดกลืนแสง: เมื่อแสงตกกระทบโมเลกุลของสารเคมี โมเลกุลจะดูดกลืนพลังงานแสงในช่วงความยาวคลื่นที่เฉพาะเจาะจง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับพลังงานของอิเล็กตรอนในโมเลกุล ปริมาณของแสงที่ถูกดูดกลืนจะแปรผันตรงกับความเข้มข้นของสารเคมี สเปกตรัมการดูดกลืนแสง: กราฟที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณแสงที่ถูกดูดกลืนกับความยาวคลื่นของแสง สเปกตรัมการดูดกลืนแสงของสารเคมีแต่ละชนิดจะมีลักษณะเฉพาะ ซึ่งสามารถใช้ในการระบุชนิดและปริมาณของสารเคมีนั้นได้ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

11


What is hyperthermia commonly used to treat?

Cancer

Hyperthermia หรือการรักษาด้วยความร้อนเป็นเทคนิคที่ใช้ความร้อนสูงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง เซลล์มะเร็งมีความไวต่อความร้อนมากกว่าเซลล์ปกติ ทำให้การใช้ความร้อนในระดับที่เหมาะสมสามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้โดยไม่ทำลายเซลล์ปกติมากเกินไป หลักการทำงานของ Hyperthermia คือ การเพิ่มอุณหภูมิในบริเวณที่เป็นมะเร็งให้สูงขึ้นถึงประมาณ 41-43 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่เซลล์มะเร็งทนไม่ไหว ทำให้เซลล์มะเร็งเสียหายและตายในที่สุด 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

12


Which method is used to apply heat directly to a tumor in local hyperthermia?

Microwaves

การทำงานของไมโครเวฟ: ไมโครเวฟจะทะลุผ่านเนื้อเยื่อและถูกดูดซับโดยโมเลกุลของน้ำในเซลล์มะเร็ง ทำให้เกิดความร้อนขึ้นภายในเนื้องอกโดยตรง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำลายเซลล์มะเร็ง ข้อดีของการใช้ไมโครเวฟ: ความแม่นยำ: สามารถกำหนดความร้อนให้ตรงบริเวณเนื้องอกได้อย่างแม่นยำ ความลึก: สามารถให้ความร้อนได้ลึกถึงเนื้อเยื่อ ความสะดวก: อุปกรณ์ในการให้ความร้อนด้วยไมโครเวฟมีขนาดเล็ก พกพาสะดวก เหตุผลที่ตัวเลือกอื่นไม่ถูกต้อง: ไอซ์แพ็ค, น้ำอุ่น: ให้ความร้อนหรือความเย็น ไม่ได้ใช้ในการให้ความร้อนในไฮเปอร์เทอร์เมีย รังสีอินฟราเรด: ให้ความร้อนที่ผิวหนัง ไม่สามารถทะลุลึกถึงเนื้องอกได้ แสงแดด: ให้ความร้อนไม่สม่ำเสมอ และไม่สามารถควบคุมความร้อนได้ ไฮเปอร์เทอร์เมีย (Hyperthermia) คือ การใช้ความร้อนในการรักษามะเร็ง โดยอาศัยหลักการที่ว่า เซลล์มะเร็งมีความไวต่อความร้อนมากกว่าเซลล์ปกติ เมื่อให้ความร้อนแก่เนื้องอก เซลล์มะเร็งจะถูกทำลายในขณะที่เซลล์ปกติยังคงอยู่รอดได้ การใช้ไมโครเวฟในไฮเปอร์เทอร์เมีย จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษามะเร็ง โดยอาศัยกลไกหลายอย่าง เช่น: เพิ่มความไวของเซลล์มะเร็งต่อรังสีและเคมีบำบัด: เมื่อใช้ร่วมกับการรักษาด้วยรังสีหรือเคมีบำบัด ความร้อนจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำลายเซลล์มะเร็ง ทำลายหลอดเลือดที่หล่อเลี้ยงเนื้องอก: ความร้อนจะทำให้หลอดเลือดที่หล่อเลี้ยงเนื้องอกตีบตัน ทำให้เซลล์มะเร็งขาดออกซิเจนและสารอาหาร และตายในที่สุด กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน: ความร้อนจะกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น ช่วยในการกำจัดเซลล์มะเร็งที่หลงเหลืออยู่ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

13


What is the primary benefit of using hyperthermia in cancer treatment?

It kills cancer cells with minimal damage to normal cells.

เซลล์มะเร็งไวต่อความร้อนมากกว่าเซลล์ปกติ: เมื่อร่างกายถูกให้ความร้อนสูงขึ้น เซลล์มะเร็งจะเสียหายและตายได้ง่ายกว่าเซลล์ปกติ เนื่องจากเซลล์มะเร็งมักมีกลไกการซ่อมแซมตัวเองที่ด้อยกว่าเซลล์ปกติ เพิ่มประสิทธิภาพการรักษาอื่นๆ: ความร้อนทำลายโปรตีนและ DNA ของเซลล์มะเร็ง: เมื่อเซลล์ถูกทำให้ร้อนขึ้น โปรตีนและ DNA ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ จะเสียรูปร่างและทำงานผิดปกติ ทำให้เซลล์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ความร้อนทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานดีขึ้น: การใช้ไฮเปอร์เทอร์เมียจะกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ช่วยในการกำจัดเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

14


Hyperthermia is often used in combination with which of the following treatments?

Radiotherapy and chemotherapy

ไฮเปอร์เทอร์เมีย (Hyperthermia) หรือการรักษาด้วยความร้อน เป็นวิธีการรักษามะเร็งที่ใช้ความร้อนสูงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง โดยเซลล์มะเร็งนั้นมีความไวต่อความร้อนมากกว่าเซลล์ปกติ ทำให้การใช้ความร้อนร่วมกับวิธีการรักษาอื่นๆ เช่น การฉายรังสีและเคมีบำบัด สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำลายเซลล์มะเร็งได้มากขึ้น หลักการสำคัญของไฮเปอร์เทอร์เมียคือ เซลล์มะเร็งมีความไวต่อความร้อนมากกว่าเซลล์ปกติ เมื่อเซลล์มะเร็งได้รับความร้อนในระดับที่สูงขึ้น โปรตีนและดีเอ็นเอภายในเซลล์จะถูกทำลาย ทำให้เซลล์ไม่สามารถแบ่งตัวและเติบโตได้อีกต่อไป นอกจากนี้ ความร้อนยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การฉายรังสีและเคมีบำบัด โดยทำให้เซลล์มะเร็งมีความไวต่อการรักษาดังกล่าวมากขึ้น 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

15


What is the main challenge of using hyperthermia in cancer treatment?

Reaching and maintaining the required temperature in the target area.

ความท้าทายในการควบคุมอุณหภูมิ: การรักษาอุณหภูมิให้สูงพอที่จะทำลายเซลล์มะเร็ง แต่ไม่สูงเกินไปจนทำลายเนื้อเยื่อปกติรอบข้างนั้นเป็นเรื่องยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องการรักษาอุณหภูมิให้คงที่ในบริเวณเป้าหมายที่ต้องการตลอดระยะเวลาการรักษา ความแตกต่างของเนื้อเยื่อ: เนื้อเยื่อแต่ละชนิดมีความสามารถในการนำความร้อนแตกต่างกัน การกระจายความร้อนในร่างกายจึงไม่สม่ำเสมอ ทำให้การควบคุมอุณหภูมิในบริเวณที่ต้องการทำได้ยาก ความลึกของเนื้องอก: สำหรับเนื้องอกที่อยู่ลึกภายในร่างกาย การส่งผ่านความร้อนไปถึงเนื้องอกและรักษาอุณหภูมิให้คงที่เป็นเรื่องที่ท้าทายมากยิ่งขึ้น ไฮเปอร์เทอร์เมีย (Hyperthermia) คือ การใช้ความร้อนในการรักษาโรคมะเร็ง โดยอาศัยหลักการที่ว่าเซลล์มะเร็งมีความไวต่อความร้อนมากกว่าเซลล์ปกติ เมื่อได้รับความร้อนในระดับที่เหมาะสม เซลล์มะเร็งจะตายในขณะที่เซลล์ปกติยังคงอยู่รอดได้ กลไกการทำงาน: ความร้อนทำลายโปรตีน: ความร้อนจะทำให้โปรตีนในเซลล์มะเร็งเสียรูป ทำให้เซลล์ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติและตายในที่สุด ความร้อนเพิ่มความไวต่อรังสี: เมื่อใช้ร่วมกับการฉายรังสี ความร้อนจะช่วยเพิ่มความไวของเซลล์มะเร็งต่อรังสี ทำให้การรักษาด้วยรังสีมีประสิทธิภาพมากขึ้น ความร้อนกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน: ความร้อนอาจช่วยกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเข้ามาทำลายเซลล์มะเร็งได้มากขึ้น 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

16


Which type of hyperthermia involves heating a larger region or the whole body?

Whole-body hyperthermia

Whole-body hyperthermia หมายถึงการให้ความร้อนกับร่างกายทั้งหมด หรือส่วนใหญ่ของร่างกาย โดยวิธีนี้จะช่วยเพิ่มอุณหภูมิของเซลล์มะเร็งทั่วร่างกาย ทำให้เซลล์มะเร็งมีความอ่อนแอต่อการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น เคมีบำบัด หรือรังสีรักษาได้มากขึ้น หลักการของ hyperthermia ในการรักษามะเร็งนั้นอยู่บนพื้นฐานที่ว่า เซลล์มะเร็งมีความไวต่อความร้อนมากกว่าเซลล์ปกติ เมื่อเซลล์มะเร็งได้รับความร้อนในระดับหนึ่ง จะทำให้เกิดความเสียหายต่อโปรตีนและกรดนิวคลีอิกภายในเซลล์ ทำให้เซลล์มะเร็งตายได้ นอกจากนี้ ความร้อนยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น เคมีบำบัด โดยทำให้ยาเคมีบำบัดสามารถเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งได้ดีขึ้น 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

17


What type of hyperthermia uses applicators inserted into or near a body cavity to deliver heat?

Endocavitary hyperthermia

Endocavitary hyperthermia หมายถึงการให้ความร้อนโดยตรงกับเนื้อเยื่อมะเร็งภายในอวัยวะกลวง เช่น มดลูก ทวารหนัก หรือทางเดินอาหาร โดยใช้อุปกรณ์ให้ความร้อน (applicator) ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ สอดเข้าไปในช่องว่างหรือใกล้กับอวัยวะนั้นๆ ทำให้สามารถส่งความร้อนไปยังบริเวณเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงสุด หลักการทำงานของ Endocavitary hyperthermia คือการใช้ความร้อนทำลายเซลล์มะเร็ง เซลล์มะเร็งมีความไวต่อความร้อนมากกว่าเซลล์ปกติ เมื่อได้รับความร้อนในระดับที่สูงขึ้น เซลล์มะเร็งจะถูกทำลายในขณะที่เซลล์ปกติยังคงอยู่รอดได้ นอกจากนี้ ความร้อนยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น เคมีบำบัด และรังสีรักษา ทำให้เซลล์มะเร็งตายได้ง่ายขึ้น 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

18


What is a significant potential side effect of whole-body hyperthermia?

Systemic stress affecting major organs

ความร้อนสูงส่งผลต่อร่างกาย: การทำความร้อนทั่วร่างกายในระดับสูงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งนั้นจำเป็นต้องเพิ่มอุณหภูมิของร่างกายให้สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะสำคัญอื่นๆ เช่น หัวใจ ไต และระบบประสาท ทำให้เกิดความเครียดและความเสียหายต่อเซลล์ปกติได้ ความแตกต่างของความร้อนที่เซลล์รับ: เซลล์มะเร็งมักจะไวต่อความร้อนมากกว่าเซลล์ปกติ แต่การเพิ่มอุณหภูมิในระดับที่สูงพอที่จะทำลายเซลล์มะเร็งก็อาจส่งผลกระทบต่อเซลล์ปกติได้เช่นกัน ผลข้างเคียงอื่นๆ: นอกจากความเครียดระบบทั่วร่างกายแล้ว การทำความร้อนทั่วร่างกายยังอาจมีผลข้างเคียงอื่นๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย และความดันโลหิตสูง หลักการของการทำความร้อนทั่วร่างกายคือการเพิ่มอุณหภูมิของร่างกายให้สูงขึ้นเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง เซลล์มะเร็งมักจะไวต่อความร้อนมากกว่าเซลล์ปกติ เนื่องจากเซลล์มะเร็งมีกลไกในการระบายความร้อนที่ด้อยกว่าเซลล์ปกติ เมื่อได้รับความร้อน เซลล์มะเร็งจะถูกทำลายได้ง่ายกว่า 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

19


Considering the physics of heat transfer, why is controlling hyperthermia challenging during treatment?

Human tissue has varying thermal conductivities which affect heat distribution.

เนื้อเยื่อมนุษย์มีการนำความร้อนแตกต่างกัน: เนื้อเยื่อแต่ละชนิดมีการนำความร้อนไม่เท่ากัน ทำให้การกระจายความร้อนไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้ยากต่อการควบคุมอุณหภูมิในบริเวณที่ต้องการรักษา ความร้อนสูญเสียไปสู่สิ่งแวดล้อมได้ง่าย: ร่างกายมนุษย์มีการสูญเสียความร้อนไปสู่สิ่งแวดล้อมตลอดเวลา ทำให้การรักษาอุณหภูมิสูงในบริเวณเป้าหมายเป็นเรื่องยาก เนื้อเยื่อมะเร็งมีการนำความร้อนต่ำกว่าเนื้อเยื่อปกติ: ทำให้การถ่ายเทความร้อนไปยังเซลล์มะเร็งเป็นไปอย่างยากลำบาก ส่งผลต่อประสิทธิภาพการรักษา การรักษาด้วยไฮเปอร์เทอร์เมียอาศัยหลักการถ่ายเทความร้อน ซึ่งประกอบด้วยการนำความร้อน (conduction), การพาความร้อน (convection), และการแผ่รังสีความร้อน (radiation) โดยการควบคุมอุณหภูมิให้สูงขึ้นในบริเวณเซลล์มะเร็งเพื่อทำลายเซลล์เหล่านี้ แต่เนื่องจากความแตกต่างของการนำความร้อนในเนื้อเยื่อ และการสูญเสียความร้อนไปสู่สิ่งแวดล้อม ทำให้การรักษาอุณหภูมิให้คงที่และตรงเป้าหมายเป็นเรื่องท้าทาย 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

20


Why is hyperthermia considered a beneficial adjunct to radiotherapy and chemotherapy?

It makes cancer cells more susceptible to other treatments.

ไฮเปอร์เทอร์เมีย หรือการรักษาด้วยความร้อน คือการใช้ความร้อนสูงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง เซลล์มะเร็งมักจะไวต่อความร้อนมากกว่าเซลล์ปกติ ทำให้เมื่อได้รับความร้อนร่วมกับการรักษาด้วยรังสีและเคมีบำบัด เซลล์มะเร็งจะถูกทำลายได้ง่ายขึ้น และมีโอกาสรอดน้อยลง เซลล์มะเร็งมีความไวต่อความร้อนสูงกว่าเซลล์ปกติ: เซลล์มะเร็งมีกลไกในการซ่อมแซมความเสียหายจากความร้อนได้น้อยกว่าเซลล์ปกติ ทำให้เมื่อได้รับความร้อน เซลล์มะเร็งจะถูกทำลายได้ง่ายขึ้น ความร้อนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาอื่นๆ: ความร้อนจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดยาเคมีบำบัดไปยังเซลล์มะเร็งได้มากขึ้น และทำให้ยาเคมีบำบัดออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ความร้อนยังช่วยเพิ่มความเสียหายที่เกิดจากรังสีต่อเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย ความร้อนช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน: ความร้อนจะช่วยกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเข้ามาทำลายเซลล์มะเร็งได้มากขึ้น 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

ผลคะแนน 113 เต็ม 140

แท๊ก หลักคิด
แท๊ก อธิบาย
แท๊ก ภาษา