ตรวจข้อสอบ > วชิรวิทย์ อัปมะระกัง > ความถนัดฟิสิกส์ทางวิศวกรรมศาสตร์ | Engineering Physics Aptitude > Part 2 > ตรวจ

ใช้เวลาสอบ 14 นาที

Back

# คำถาม คำตอบ ถูก / ผิด สาเหตุ/ขยายความ ทฤษฎีหลักคิด/อ้างอิงในการตอบ คะแนนเต็ม ให้คะแนน
1


What is the primary advantage of using cup lump rubber (CLR) in cold mix asphalt (CMA)?

Improves functional properties of the asphalt

การปรับปรุงคุณสมบัติการทำงาน: CLR ช่วยในการปรับปรุงคุณสมบัติการทำงานของแอสฟัลต์ใน CMA โดยการเพิ่มความยืดหยุ่นและความทนทานของแอสฟัลต์ เมื่อใช้ CLR, แอสฟัลต์จะมีความสามารถในการต้านทานการแตกหักและการเสื่อมสภาพได้ดีขึ้น ซึ่งทำให้ถนนหรือพื้นผิวที่ทำจาก CMA มีความทนทานและยืดหยุ่นมากขึ้น คุณสมบัติของ CLR: CLR เป็นยางที่ได้จากการรีไซเคิล ซึ่งสามารถเพิ่มความยืดหยุ่นและความทนทานให้กับแอสฟัลต์ได้ เมื่อผสม CLR กับแอสฟัลต์, จะช่วยให้แอสฟัลต์มีคุณสมบัติที่ดีขึ้น เช่น ความทนทานต่อการแตกร้าว, ความสามารถในการคืนตัว และลดปัญหาการเสื่อมสภาพจากอุณหภูมิสูง การปรับปรุงทางกายภาพ: การใช้ CLR ใน CMA ทำให้แอสฟัลต์มีคุณสมบัติทางกลที่ดีขึ้น เช่น ความแข็งแรงและความทนทานต่อการสึกหรอ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

2


Which property of CMA is significantly improved by the addition of CLR?

Tensile strength

การเพิ่มความแข็งแรงในการยืด: CLR ซึ่งเป็นยางรีไซเคิล ช่วยเพิ่มความแข็งแรงในการยืดของ CMA โดยการเสริมความยืดหยุ่นและความทนทานของแอสฟัลต์. การเพิ่ม CLR ทำให้ CMA สามารถทนต่อแรงดึงและแรงที่เกิดจากการใช้งานได้ดีขึ้น ซึ่งช่วยลดการแตกหักและการเสื่อมสภาพ คุณสมบัติของ CLR: CLR มีคุณสมบัติในการเพิ่มความยืดหยุ่นและความทนทานของ CMA โดยการผสมยางเข้าไปในแอสฟัลต์ ทำให้วัสดุมีความสามารถในการคืนตัวหลังจากถูกแรงดึง และสามารถทนต่อแรงกระแทกและแรงกดได้ดีขึ้น การเสริมความแข็งแรง: การเพิ่ม CLR ช่วยในการเสริมความแข็งแรงและความทนทานของแอสฟัลต์ โดยการช่วยให้ CMA มีคุณสมบัติที่ดีขึ้นในการทนต่อการใช้งานหนักและสภาพอากาศที่รุนแรง 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

3


If the tensile strength of CMA increases by 26% due to the addition of CLR and the original tensile strength was 5 MPa, what is the new tensile strength?

การคำนวณการเพิ่มขึ้น: การเพิ่มขึ้น 26% หมายถึงการคำนวณจากค่าท tensile strength เดิม โดยการคูณค่าเดิมด้วยเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้น (ในรูปแบบทศนิยม) ซึ่งจะให้ค่าเพิ่มขึ้นที่ต้องการ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

4


Given that the rut depth decreases by 70% when CLR is added to CMA and the original rut depth was 10 mm, what is the new rut depth?

3 mm

การคำนวณการลดลง: การลดลง 70% หมายถึงการคูณค่า rut depth เดิมด้วยเปอร์เซ็นต์การลดลง (ในรูปแบบทศนิยม) เพื่อหาค่าลดลง การหาค่าที่เหลือ: การลบค่าที่ลดลงจากค่า rut depth เดิมจะให้ค่า rut depth ใหม่ แปลงเปอร์เซ็นต์การลดลงเป็นทศนิยม: 70%=0.70 คำนวณการลดลง: การลดลง=10 mm×0.70=7mm คำนวณค่า rut depth ใหม่: ค่าใหม่=10 mm−7 mm=3mm 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

5


If the CMA with CLR has a TSR (Tensile Strength Ratio) value of 104% and the minimum requirement is 80%, by what percentage does the TSR exceed the requirement?

30%

การคำนวณการเกินของ TSR: TSR (Tensile Strength Ratio) ของ CMA ที่มีการใช้ Cup Lump Rubber (CLR) คือ 104% และค่า TSR ขั้นต่ำคือ 80% การคำนวณความแตกต่างระหว่างค่า TSR ที่ได้และ TSR ขั้นต่ำช่วยให้ทราบถึงการเกินมาตรฐานได้ง่าย การคำนวณเปอร์เซ็นต์การเกินช่วยให้เข้าใจว่า TSR ที่ได้เกินค่ามาตรฐานเป็นสัดส่วนเท่าใด การคำนวณการเกินของ TSR ช่วยให้เราทราบถึงประสิทธิภาพของ CMA ที่ใช้ CLR ว่ามีการเกินค่ามาตรฐานอย่างไร โดย TSR ที่ได้ (104%) เกินค่า TSR ขั้นต่ำ (80%) โดย 30% ตามการคำนวณข้างต้น 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

6


What is the potential increase in moisture damage resistance for CMA-CR compared to conventional CMA if the improvement is 12%?

12%

การเพิ่มขึ้น 12% หมายถึงค่าใหม่ (CMA-CR) มีการปรับปรุงความต้านทานความชื้นมากกว่าค่าเดิม (CMA) โดยการเพิ่มขึ้นเป็น 12% ของค่าเริ่มต้น ข้อมูลนี้บ่งบอกถึงการปรับปรุงที่ทำให้ CMA-CR มีความทนทานต่อความชื้นได้ดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับ CMA ทั่วไป การแปลงเปอร์เซ็นต์การเพิ่มขึ้น: เปอร์เซ็นต์การเพิ่มขึ้นคือการแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงหรือการปรับปรุงในรูปของเปอร์เซ็นต์จากค่าเริ่มต้น ในกรณีนี้ เปอร์เซ็นต์การเพิ่มขึ้นของความต้านทานความชื้นสำหรับ CMA-CR คือ 12% การตีความเปอร์เซ็นต์การเพิ่มขึ้น: การเพิ่มขึ้น 12% บอกว่า CMA-CR มีความต้านทานความชื้นสูงขึ้น 12% จากค่าเริ่มต้นของ CMA การคำนวณนี้ไม่ต้องมีการคำนวณเพิ่มเติมหรือการแปลงค่า เพราะเป็นการเปรียบเทียบโดยตรงระหว่างค่าเริ่มต้นและค่าที่เพิ่มขึ้น 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

7


If the shear resistance of CLR-modified CMA increases due to the membrane effect, which physical property is most directly influenced?

Tensile strength

Membrane Effect: การเพิ่มขึ้นของแรงต้านทานการเสียรูปในวัสดุที่ได้รับการปรับปรุงด้วย CLR มักจะเกิดจากการที่ CLR ช่วยเพิ่มความสามารถในการรองรับแรงที่กระทำต่อวัสดุ ซึ่งส่งผลต่อความแข็งแรงของวัสดุ Tensile Strength: ค่า tensile strength (ความแข็งแรงเมื่อถูกดึง) ของวัสดุจะเพิ่มขึ้นเมื่อวัสดุมีความสามารถในการทนต่อแรงดึงได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการกระจายแรงที่ดีขึ้นภายในวัสดุ Membrane Effect: ในวัสดุก่อสร้างและการซ่อมบำรุง การปรับปรุงโครงสร้างที่เกิดจากการเพิ่มวัสดุเสริม เช่น CLR สามารถเพิ่มความแข็งแรงและความต้านทานของวัสดุต่อแรงที่กระทำ Tensile Strength and Elasticity: การเพิ่ม tensile strength แสดงถึงการที่วัสดุมีความสามารถในการทนต่อแรงดึงได้ดีขึ้น ซึ่งมักจะเป็นผลโดยตรงจากการปรับปรุงโครงสร้างภายในวัสดุ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

8


The viscosity of CLR-modified bitumen at 135°C is 1.16 Pa·s. If the shear rate is 50 s^-1, what is the shear stress?

58 Pa

การคำนวณความเค้นเฉือน (shear stress) ใช้ข้อมูลของความหนืด (viscosity) และอัตราการเฉือน (shear rate) เพื่อหาค่าความเค้นที่กระทำต่อวัสดุ ดังนี้: ความหนืด (Viscosity): เป็นการวัดความต้านทานของของไหลต่อการไหลหรือการเคลื่อนที่ภายใน เมื่อความหนืดสูง หมายถึงของไหลมีความต้านทานสูงต่อการไหล อัตราการเฉือน (Shear Rate): เป็นการวัดความเร็วที่ของไหลเคลื่อนที่หรือเปลี่ยนรูปร่าง โดยการเปลี่ยนแปลงความเร็วในหน่วยเวลา เมื่อวัสดุมีความหนืดสูง ความเค้นเฉือนจะสูงขึ้นหากอัตราการเฉือนสูง เพราะวัสดุจะต้านทานการไหลมากขึ้น การใช้สูตรนี้ช่วยให้ทราบว่าความเค้นเฉือนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราการเฉือนและความหนืดเป็นเท่าใด 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

9


If the mass loss in the Cantabro test for CMA-CR is 14.6% and the maximum accepted limit is 20%, by how much does CMA-CR fall below the limit?

5.4%

การคำนวณการตกต่ำของการสูญเสียน้ำหนัก: การคำนวณนี้ช่วยให้ทราบว่า CMA-CR มีการสูญเสียน้ำหนักน้อยกว่าค่าขีดจำกัดสูงสุดที่ยอมรับได้เท่าใด การสูญเสียน้ำหนักที่น้อยกว่าค่าขีดจำกัดบ่งบอกถึงความทนทานของ CMA-CR ต่อการสึกหรอและการกัดกร่อน เหตุผลในการหาความแตกต่าง: การหาความแตกต่างระหว่างการสูญเสียน้ำหนักจริงของ CMA-CR และค่าขีดจำกัดสูงสุดทำให้เราทราบว่า CMA-CR มีการสูญเสียน้ำหนักต่ำกว่าค่าที่อนุญาตได้เท่าใด ซึ่งเป็นการวัดประสิทธิภาพของวัสดุต่อการทนทานต่อการทดสอบ ทฤษฎีการคำนวณ: การหาค่าความแตกต่าง: การหาค่าความแตกต่างระหว่างค่าการสูญเสียน้ำหนักที่แท้จริงและค่าขีดจำกัดสูงสุดจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัสดุ ความแตกต่าง=Maximum accepted limit−Mass loss of CMA-CR ค่า Maximum accepted limit คือ ขีดจำกัดสูงสุดที่อนุญาตให้วัสดุสูญเสียน้ำหนักได้ ค่า Mass loss of CMA-CR คือ การสูญเสียน้ำหนักที่วัดได้จากการทดสอบ การตีความผลลัพธ์: การสูญเสียน้ำหนักของ CMA-CR ที่ต่ำกว่าค่าขีดจำกัดแสดงถึงคุณสมบัติที่ดีของวัสดุในการทนทานต่อการสึกหรอ ผลลัพธ์ที่ต่ำกว่าค่าขีดจำกัดแสดงให้เห็นว่าวัสดุนั้นมีประสิทธิภาพดีในการลดการสูญเสียน้ำหนัก 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

10


What is the significance of using cup lump rubber in the context of environmental sustainability?

It helps in lowering carbon emissions during production.

ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน: การใช้ CLR ช่วยลดปริมาณการใช้วัสดุใหม่และลดการสร้างของเสียในการผลิต การใช้วัสดุรีไซเคิล เช่น CLR ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในกระบวนการผลิตได้ การนำวัสดุรีไซเคิลมาผสมกับบิทูเมนในกระบวนการทำแอสฟัลต์ช่วยลดการใช้วัสดุใหม่และลดความต้องการในการผลิตบิทูเมนใหม่ ซึ่งมีการปล่อยก๊าซคาร์บอน การใช้วัสดุรีไซเคิล: การใช้ CLR เป็นวัสดุรีไซเคิลช่วยลดปริมาณของเสียที่ต้องกำจัดและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยให้การผลิตและการใช้แอสฟัลต์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น วัสดุรีไซเคิล: การใช้วัสดุรีไซเคิลแทนวัสดุใหม่ช่วยลดการปล่อยก๊าซที่เกิดจากการผลิตวัสดุใหม่ ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซคาร์บอน การจัดการของเสีย: การนำวัสดุรีไซเคิลเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตช่วยลดปริมาณของเสียที่ต้องกำจัดและทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

11


What is one of the emerging trends affecting China's oil and gas pipeline development strategies?

Digitization

Digitization หรือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในกระบวนการต่างๆ เป็นแนวโน้มที่สำคัญในอุตสาหกรรมพลังงาน ซึ่งรวมถึงการพัฒนาท่อส่งน้ำมันและก๊าซ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยในการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน เพิ่มความปลอดภัย และการจัดการข้อมูลที่ดีขึ้น เทคโนโลยีดิจิทัลสามารถช่วยในการตรวจสอบและบำรุงรักษาท่อส่งน้ำมันและก๊าซได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการใช้เซนเซอร์และระบบการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตรวจจับปัญหาและดำเนินการแก้ไขได้เร็วขึ้น 1. การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digitization) ทฤษฎีการบริหารจัดการและเทคโนโลยีสารสนเทศ: การวิเคราะห์ข้อมูลและการตรวจสอบทางไกล: การใช้เซนเซอร์และระบบการวิเคราะห์ข้อมูลช่วยให้สามารถตรวจสอบสถานะของท่อส่งน้ำมันและก๊าซได้แบบเรียลไทม์ เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยในการเก็บข้อมูลจากเซนเซอร์ที่ติดตั้งตามท่อ ซึ่งสามารถส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับสภาพของท่อไปยังศูนย์ควบคุมได้อย่างรวดเร็ว การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์: ด้วยการใช้เทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) สามารถคาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การรั่วไหลหรือความเสียหายของท่อ ทำให้สามารถวางแผนการบำรุงรักษาและซ่อมแซมได้ล่วงหน้า การจัดการและบำรุงรักษาที่มีประสิทธิภาพ: เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยให้การบำรุงรักษาและการจัดการท่อส่งน้ำมันและก๊าซเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสามารถวางแผนและจัดการงานบำรุงรักษาตามข้อมูลที่ได้จากการตรวจสอบ 2. ทฤษฎีการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Operational Efficiency): การเพิ่มประสิทธิภาพ: การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ลดเวลาการทำงานที่ไม่จำเป็น และเพิ่มความแม่นยำในการทำงาน การลดความเสี่ยงและต้นทุน: เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยลดความเสี่ยงจากปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น การรั่วไหลของน้ำมันหรือก๊าซ และช่วยลดต้นทุนในการบำรุงรักษาและซ่อมแซม 3. ทฤษฎีการพัฒนาเทคโนโลยี (Technology Development): การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้: การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) มาช่วยในการพัฒนาท่อส่งน้ำมันและก๊าซสามารถช่วยให้การพัฒนาและการจัดการมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง: การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลทำให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

12


What is the proportion of natural gas pipelines in the total length of long-distance oil and gas pipelines in China as of 2022?

60%

การเติบโตของการใช้ก๊าซธรรมชาติ: ความต้องการพลังงานที่สะอาด: การใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีข้อดีในด้านความสะอาดและลดมลพิษทางอากาศเมื่อเปรียบเทียบกับเชื้อเพลิงฟอสซิลอื่น ๆ นโยบายรัฐบาล: รัฐบาลจีนมีนโยบายส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปกป้องสิ่งแวดล้อม การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: การขยายเครือข่ายท่อส่ง: จีนได้ลงทุนอย่างหนักในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อขยายเครือข่ายท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ซึ่งช่วยเพิ่มสัดส่วนของท่อส่งก๊าซธรรมชาติในความยาวรวม การเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน: การเปลี่ยนแปลงจากน้ำมันไปเป็นก๊าซ: การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มการใช้พลังงานจากน้ำมันดิบไปเป็นก๊าซธรรมชาติในภาคอุตสาหกรรมและการใช้พลังงานของประชาชน ทฤษฎีการบริหารพลังงาน: การพัฒนาทรัพยากรพลังงาน: การเปลี่ยนแปลงในการบริหารทรัพยากรพลังงานเพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มการใช้พลังงานที่ยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การวางแผนและการลงทุน: การวางแผนและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มความสามารถในการส่งก๊าซธรรมชาติและตอบสนองต่อความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น ทฤษฎีพลังงานยั่งยืน: การเปลี่ยนแปลงจากเชื้อเพลิงฟอสซิล: การเปลี่ยนแปลงจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (น้ำมัน) ไปเป็นพลังงานที่สะอาดกว่า (ก๊าซธรรมชาติ) เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืน การบรรเทาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม: การใช้ก๊าซธรรมชาติช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมลพิษอื่น ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันดิบ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

13


If the total length of long-distance oil and gas pipelines in China is 180,000 km, how many kilometers are dedicated to natural gas pipelines?

108,000 km

สัดส่วนของท่อส่งก๊าซธรรมชาติ: ตามข้อมูลที่มี สัดส่วนของท่อส่งก๊าซธรรมชาติในท่อส่งน้ำมันและก๊าซรวมในจีนอยู่ที่ประมาณ 60% ของความยาวทั้งหมด ซึ่งเป็นข้อมูลที่อิงจากแนวโน้มการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการใช้พลังงานในจีน การขยายเครือข่ายท่อส่งก๊าซธรรมชาติ: การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อขยายเครือข่ายท่อส่งก๊าซธรรมชาติอย่างต่อเนื่องในจีนทำให้สัดส่วนของท่อส่งก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น ความต้องการพลังงานที่เปลี่ยนแปลง: การใช้พลังงานที่สะอาดและการลดการปล่อยมลพิษมีผลทำให้การใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีการขยายเครือข่ายท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ทฤษฎีการบริหารพลังงาน: การวางแผนและการลงทุน: ทฤษฎีนี้เกี่ยวข้องกับการวางแผนและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานการส่งพลังงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการทรัพยากรพลังงานและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน: การพัฒนาเครือข่ายท่อส่งก๊าซธรรมชาติสะท้อนถึงการวางแผนที่มุ่งเน้นการใช้พลังงานที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทฤษฎีพลังงานยั่งยืน: การเปลี่ยนแปลงจากพลังงานฟอสซิล: การเปลี่ยนแปลงจากการใช้พลังงานฟอสซิลไปสู่การใช้พลังงานที่สะอาดกว่า เช่น ก๊าซธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืน การลดมลพิษ: การขยายเครือข่ายท่อส่งก๊าซธรรมชาติช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและมลพิษอื่น ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับเชื้อเพลิงฟอสซิลอื่น ๆ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

14


According to the article, if the target length for oil and gas pipelines is 210,000 km by 2025, how many kilometers need to be constructed from the 2022 total?

30,000 km

การเติบโตของการใช้พลังงาน: ความต้องการที่เพิ่มขึ้น: การใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นในประเทศจีนทำให้มีความต้องการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น การขยายโครงสร้างพื้นฐาน: การวางแผนและการลงทุน: การเพิ่มความยาวของท่อส่งน้ำมันและก๊าซเป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาพลังงานของประเทศ เพื่อรองรับการเติบโตของการใช้พลังงานและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การพัฒนาและนโยบายรัฐบาล: เป้าหมายการพัฒนา: การตั้งเป้าหมายในการขยายเครือข่ายท่อส่งน้ำมันและก๊าซสะท้อนถึงนโยบายของรัฐบาลจีนในการพัฒนาพลังงานและการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ทฤษฎีการบริหารพลังงาน: การวางแผนการลงทุน: การขยายโครงสร้างพื้นฐานเป็นการตอบสนองต่อความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีการบริหารพลังงานที่มุ่งเน้นการวางแผนและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการพลังงาน ทฤษฎีพัฒนาเศรษฐกิจ: การขยายโครงสร้างพื้นฐาน: การขยายเครือข่ายท่อส่งน้ำมันและก๊าซเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาของประเทศ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

15


If the failure rate of oil and gas pipelines in Europe is 0.29 per year per hundred kilometers, what is the failure rate per year for a pipeline network of 1,000 kilometers?

2.9 failures

อัตราความล้มเหลวต่อระยะทาง: การประเมินความเสี่ยง: อัตราความล้มเหลวที่ 0.29 ต่อปีต่อ 100 กิโลเมตรใช้ในการประเมินความเสี่ยงของท่อส่งน้ำมันและก๊าซ โดยระบุว่าในแต่ละปีจะเกิดความล้มเหลวเฉลี่ยเท่าไรต่อระยะทางที่กำหนด การคูณจำนวนระยะทาง: เมื่อเราต้องการหาความล้มเหลวสำหรับเครือข่ายท่อที่ยาวกว่า 100 กิโลเมตร เราต้องคูณอัตราความล้มเหลวต่อ 100 กิโลเมตรกับจำนวน 100 กิโลเมตรในเครือข่าย การคำนวณตามความยาวที่ต่างกัน: การขยายความล้มเหลว: การคำนวณความล้มเหลวตามระยะทางที่มากขึ้น (เช่น 1,000 กิโลเมตร) ต้องการการคูณอัตราความล้มเหลวที่ให้ไว้ (0.29) กับจำนวนส่วนของระยะทางที่มี (10 ส่วนของ 100 กิโลเมตร) เพื่อให้ได้อัตราความล้มเหลวที่รวมสำหรับระยะทางทั้งหมด ทฤษฎีการจัดการความเสี่ยง: การประเมินความเสี่ยง: การใช้การคำนวณความล้มเหลวในการจัดการความเสี่ยงเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินและควบคุมความเสี่ยงในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ โดยให้การประมาณค่าความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้นตามระยะทางของท่อ การคำนวณและการวิเคราะห์: การคำนวณอัตราความล้มเหลวช่วยในการวางแผนการบำรุงรักษาและการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อป้องกันปัญหาและลดความเสี่ยง ทฤษฎีการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน: การบำรุงรักษา: การคำนวณอัตราความล้มเหลวช่วยในการวางแผนการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน โดยระบุระยะทางที่ต้องการการตรวจสอบหรือการบำรุงรักษาเพื่อป้องกันการเกิดความล้มเหลว สรุป: การคำนวณอัตราความล้มเหลวสำหรับเครือข่ายท่อส่งน้ำมันและก๊าซที่มีความยาว 1,000 กิโลเมตรเป็นการนำอัตราความล้มเหลวต่อ 100 กิโลเมตรมาคูณกับจำนวน 100 กิโลเมตรในเครือข่าย โดยสะท้อนถึงการจัดการความเสี่ยงและการวางแผนบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามทฤษฎีการจัดการความเสี่ยงและการบำรุงรักษา. 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

16


What is one of the main causes of oil and gas pipeline failures in China according to the article?

Oil theft through drilling

ปัญหาด้านความปลอดภัย: การขโมยน้ำมันมักเกิดขึ้นเมื่อมีการเจาะหรือเจาะท่อเพื่อดึงน้ำมันออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งสามารถทำให้ท่อส่งเกิดการรั่วไหลหรือความเสียหาย ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐาน: การขโมยน้ำมันนี้สามารถทำให้โครงสร้างพื้นฐานของท่อส่งเสียหายและลดความน่าเชื่อถือของระบบการส่งน้ำมันและก๊าซ ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ: การสูญเสียทรัพยากรและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมและการป้องกันการขโมยส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงทางพลังงาน ทฤษฎีการจัดการความเสี่ยง: การประเมินและการควบคุม: การจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการขโมยน้ำมันมุ่งเน้นการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและการดำเนินการเพื่อป้องกันและลดความเสียหาย ทฤษฎีการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน: การป้องกันการรั่วไหล: การใช้เทคโนโลยีและการดำเนินการที่เหมาะสมในการป้องกันการรั่วไหลและการขโมยน้ำมันช่วยในการรักษาความปลอดภัยของท่อส่งและลดความเสียหาย สรุป: การขโมยน้ำมันผ่านการเจาะ เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ท่อส่งน้ำมันและก๊าซในจีนล้มเหลว ซึ่งส่งผลกระทบทั้งด้านความปลอดภัยและเศรษฐกิจ ดังนั้นการจัดการความเสี่ยงและการบำรุงรักษาเชิงป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและลดความเสียหาย. 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

17


Assuming the failure rate in the United States is 0.14 per year per hundred kilometers, calculate the expected number of failures per year for a 1,500 kilometers pipeline network.

2.1 failures

การคำนวณตามอัตราความล้มเหลว: การใช้ข้อมูลอัตราความล้มเหลว: ข้อมูลอัตราความล้มเหลวที่ 0.14 ความล้มเหลวต่อปีต่อ 100 กิโลเมตรใช้ในการประเมินความเสี่ยงของการล้มเหลวของท่อส่ง การขยายไปยังความยาวที่มากขึ้น: เมื่อเราต้องการหาความล้มเหลวสำหรับเครือข่ายท่อที่มีความยาวมากกว่าที่กำหนด (เช่น 1,500 กิโลเมตร) เราต้องคูณอัตราความล้มเหลวที่ให้ไว้กับจำนวนของ 100 กิโลเมตรในเครือข่าย การคำนวณตามสัดส่วน: การคูณกับจำนวนส่วน: ความยาวของท่อส่ง (1,500 กิโลเมตร) ถูกแบ่งเป็นจำนวนส่วนของ 100 กิโลเมตร (15 ส่วน) และอัตราความล้มเหลวที่ให้ไว้ (0.14) จะถูกคูณกับจำนวนส่วนเพื่อหาจำนวนความล้มเหลวที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ทฤษฎีการจัดการความเสี่ยง: การประเมินความเสี่ยง: การคำนวณจำนวนความล้มเหลวช่วยในการประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของท่อส่งน้ำมันและก๊าซ โดยช่วยให้เข้าใจระดับความเสี่ยงและการวางแผนการบำรุงรักษา การควบคุมความเสี่ยง: การใช้ข้อมูลอัตราความล้มเหลวในการคำนวณช่วยในการวางแผนและดำเนินการเพื่อควบคุมและลดความเสี่ยงที่เกิดจากการล้มเหลว ทฤษฎีการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน: การบำรุงรักษา: การคำนวณความล้มเหลวช่วยในการวางแผนการบำรุงรักษาเชิงป้องกันโดยการคาดการณ์จำนวนความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งช่วยให้สามารถวางแผนการตรวจสอบและซ่อมแซมได้อย่างมีประสิทธิภาพ สรุป: การคำนวณจำนวนความล้มเหลวสำหรับเครือข่ายท่อส่งที่มีความยาว 1,500 กิโลเมตรช่วยให้เข้าใจระดับความเสี่ยงและการวางแผนการบำรุงรักษาได้ดีขึ้น โดยอ้างอิงจากอัตราความล้มเหลวที่กำหนดและใช้ในการประเมินความเสี่ยงตามทฤษฎีการจัดการความเสี่ยงและการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน. 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

18


If a pipeline defect inspection technology improves detection efficiency by 25% and the current detection efficiency is 80%, what will be the new detection efficiency?

100%

การปรับปรุงประสิทธิภาพ: การปรับปรุงประสิทธิภาพการตรวจจับ: เมื่อเทคโนโลยีใหม่ที่มีประสิทธิภาพการตรวจจับดีขึ้นมา 25% หมายถึงความสามารถในการตรวจจับข้อบกพร่องเพิ่มขึ้น 25% จากประสิทธิภาพเดิม การคำนวณการเพิ่มขึ้น: การคำนวณการเพิ่มประสิทธิภาพ 25% จากประสิทธิภาพเดิม (80%) จะเพิ่มขึ้น 20% ทำให้ค่าใหม่เท่ากับ 100% (80% + 20%) ข้อจำกัดของการปรับปรุง: ขีดจำกัดของการปรับปรุง: เนื่องจากการปรับปรุง 25% เพิ่มประสิทธิภาพจาก 80% ซึ่งการเพิ่ม 25% ของ 80% คือ 20% ดังนั้นค่าประสิทธิภาพสูงสุดที่เป็นไปได้คือ 100% ซึ่งเป็นขีดจำกัดสูงสุดที่อาจถึงได้ ทฤษฎีการพัฒนาเทคโนโลยี: การเพิ่มประสิทธิภาพ: ทฤษฎีการพัฒนาเทคโนโลยีมักอธิบายการปรับปรุงในด้านประสิทธิภาพ โดยการเพิ่มประสิทธิภาพจะช่วยในการทำงานได้ดีขึ้นและมีความแม่นยำสูงขึ้น ทฤษฎีการปรับปรุงประสิทธิภาพ: การประเมินผล: การคำนวณการปรับปรุงเป็นวิธีหนึ่งในการประเมินผลของการปรับปรุง โดยการเปรียบเทียบค่าเดิมกับค่าใหม่ที่ปรับปรุงแล้ว ช่วยให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนของการปรับปรุง สรุป: การปรับปรุงประสิทธิภาพการตรวจจับ 25% จาก 80% จะทำให้ค่าใหม่ของประสิทธิภาพการตรวจจับเป็น 100% ซึ่งเป็นการแสดงถึงการเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดตามขีดจำกัดที่เป็นไปได้ โดยการคำนวณการเพิ่มขึ้นจากเปอร์เซ็นต์เดิมช่วยให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในการพัฒนาเทคโนโลยีและการประเมินผลการปรับปรุง 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

19


If a vibration signal monitoring system faces a 15% reduction in noise levels due to a new technology and the original noise level was 200 units, what is the new noise level?

170 units

การลดระดับเสียง: การลดลงตามเปอร์เซ็นต์: การลดลงของระดับเสียงตามเปอร์เซ็นต์ที่กำหนด (15%) หมายถึงการลดลงจากระดับเสียงเดิม การคำนวณการลดลง: การคำนวณการลดลง 15% จากระดับเสียงเดิม (200 units) ทำให้ระดับเสียงลดลง 30 units (200 units × 0.15) การหาค่าระดับเสียงใหม่: การคำนวณระดับเสียงใหม่: เมื่อลดระดับเสียงลงจากระดับเดิม (200 units) ด้วยค่าลดลง 30 units ทำให้ระดับเสียงใหม่เป็น 170 units (200 units - 30 units) ทฤษฎีการลดเสียง (Noise Reduction Theory): การลดเสียง: ทฤษฎีการลดเสียงอธิบายการลดระดับเสียงโดยการใช้เทคโนโลยีหรือวิธีการที่ช่วยลดการรบกวนหรือเสียงรบกวนในระบบ การคำนวณการลดระดับเสียงช่วยให้เห็นผลของการปรับปรุงและประสิทธิภาพของเทคโนโลยีในการลดเสียง ทฤษฎีเปอร์เซ็นต์การลดลง: การคำนวณเปอร์เซ็นต์: การใช้เปอร์เซ็นต์ในการคำนวณการลดลงช่วยให้สามารถระบุจำนวนการลดลงที่เป็นตัวเลขเฉพาะและคำนวณค่าใหม่ได้อย่างแม่นยำ การลดลง 15% จากระดับเสียงเดิมจะช่วยลดระดับเสียงให้ต่ำลงตามอัตราที่กำหนด สรุป: การลดระดับเสียงลง 15% จากระดับเดิม 200 units ส่งผลให้ระดับเสียงใหม่เป็น 170 units การคำนวณนี้สะท้อนถึงการใช้เทคโนโลยีใหม่ในการลดเสียงที่มีประสิทธิภาพและการคำนวณตามเปอร์เซ็นต์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนในการปรับปรุงคุณภาพการตรวจจับและการลดเสียง 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

20


For a hydrogen pipeline with an embrittlement rate of 0.05% per year, calculate the total embrittlement after 10 years.

0.5%

การแตกหักสะสม: การสะสมตามเวลา: การแตกหักที่เกิดขึ้นทุกปีจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากการสะสมของการแตกหักจากปีที่แล้ว ส่งผลให้การแตกหักที่สะสมจะมากขึ้นในระยะยาว การทบต้น: การแตกหักที่เพิ่มขึ้นทุกปีจะไม่เป็นแบบเส้นตรง แต่จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป การคำนวณเชิงทฤษฎี: การคำนวณแบบสะสม: ใช้การคำนวณที่พิจารณาการเพิ่มขึ้นแบบทบต้นของการแตกหักเพื่อหาค่ารวมที่ถูกต้องในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทฤษฎีการสะสม (Cumulative Effect): การสะสมของการเปลี่ยนแปลง: การสะสมของการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เช่น การแตกหักที่เพิ่มขึ้นทุกปี จะมีผลรวมที่สูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป การคำนวณแบบสะสมช่วยให้สามารถคำนวณผลรวมที่ถูกต้องในช่วงระยะเวลานาน ทฤษฎีการทบต้น (Compound Effect): การทบต้น: การทบต้นหมายถึงการเพิ่มขึ้นที่เกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นก่อนหน้านั้น การใช้ทฤษฎีการทบต้นในการคำนวณการแตกหักสะสมทำให้สามารถคำนวณผลลัพธ์ที่แม่นยำได้ สรุป: การคำนวณการแตกหักรวมของท่อไฮโดรเจนที่มีอัตราการแตกหัก 0.05% ต่อปี เป็นการใช้ทฤษฎีการสะสมและการทบต้นเพื่อหาค่าการแตกหักรวมในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งผลลัพธ์คือ 0.5% ซึ่งสะท้อนถึงผลของการแตกหักที่เพิ่มขึ้นตามเวลาตามทฤษฎีการทบต้น 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

ผลคะแนน 92.75 เต็ม 140

แท๊ก หลักคิด
แท๊ก อธิบาย
แท๊ก ภาษา