1 |
|
1.5เท่า |
|
เทียบจำนวนโมลของกลูโคสและมอลโทสในปัสสาวะ100ลบ.ซม. |
ใช้วิธิเทียบโดย1โมลของกลูโคสเป็น180กรัมและมอลโทสเป็น360กรัม จะได้ตะกอนในกลูโคสเป็น50.05/180และตะกอนในมอลโทสเป็น64.35/360 แล้้วนำมาเทียบจำนวนเท่าได้ประมาณ1.5เท่า |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
2 |
|
ง. กลูโคส,แป้ง |
|
เพราะแป้ง(y)เมื่อไฮโดรไลส์แล้วจะได้เป็นกลูโคส(x)จึงให้ผลการทดสอบเหมือนกันหมด |
กลูโคสเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวจะไม่ทำปฏิกิริยากับไอโอดีนแต่แป้งทำปฏิกิริยากับไอโอดีนและเมื่ออุ่นให้ร้อนกลูโคสจะทำปฏิกิริยากับไอโอดีนในขณะที่แป้งไม่ทำ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
3 |
|
ก. 1 เท่านั้น |
|
จากตารางข้อ1เป็นจริงแน่นอนส่วนข้ออื่นๆอาจเป็นไปได้แต่ไม่สามารถสรุปได้เพราะสมบัติของเอนไซม์ขึ้นอยู่กับทั้งอุณหภูมิและpHไม่สามารถตัดสินได้จากอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว |
จาก ปัจจัยที่มีผลต่อการทํางานของเอนไซม์
1) อุณภูมิ เอนไซม์จะทํางานได้ดีจะต้องอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม
2) pH เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการทํางานของเอนไซม์ที่ทําหน้าที่เร่งปฏิกิริยา หาก pH ไม่เหมาะสมจะทําให้เอนไซม์ทําหน้าที่ไม่เต็มที่
3) ความเข้มข้นของเอนไซม์ หากเพิ่มความเข้มข้นจะช่วยเร่งปฏิกิริยาให้เกิดเร็วขึ้น แต่ถ้ามากเกินพออัตราการเกิดปฏิกิริยาจะมีค่าคงที่
4) ปริมาณสารตั้งต้น มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาของเอนไซม์ เมื่อเพิ่มสับสเตรต อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเพิ่มขึ้น แต่เมื่อยิ่งเพิ่มปริมาณของสับสเตรตมากเกินพอ อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะไม่เกิดเร็วขึ้น เมื่อระดับหนึ่งอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะคงที่เนื่องจากไม่ได้เพิ่มปริมาณ ของเอนไซม์ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
4 |
|
ข. ธนนท์แช่เนื้อไว้ในตู้เย็นเพื่อเตรียมทำอาหาร |
|
การให้ความเย็นเพียงเท่านี้ไม่สมารถทำลายหรือแปรสภาพโปรตีนได้ต่างจากข้ออื่นๆ |
ปัจจัยที่ทำให้โปรตีนเสียสภาพ ได้แก่ ความร้อน pH การเติมเอทานอล การเติมPb(NO3)2 และโหะหนักอื่นๆเป็นต้น |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
5 |
|
ข |
|
เพราะเมื่อตัดแล้วหมู่เอมีนและหมู่คาร์บอกซิลของกรดอะมิโนไม่ได้เกาะอยู่บนแอลฟาคาร์บอนตำแหน่งเดียวกัน |
หมู่ต่าง ๆ จะเกาะอยู่ที่แขนของคาร์บอน (C) อะตอมเดียวกัน เรียกคาร์บอนศูนย์กลางนั้นว่า แอลฟาคาร์บอนอะตอม (a - carbon atom)ดังนั้นกรดอะมิโนทุกชนิดที่เป็นองค์ประกอบของโปรตีน จึงเป็นกรดอะมิโนชนิดแอลฟา (a- amino acid) หรือเรียกว่า "แอลฟาอะมิโน" |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
6 |
|
24 |
|
เพราะเกิดจากกรดอะมิโน4ชนิด |
จากสูตร n! |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
7 |
|
1.3พันธะ
2.3โมเลกุล
3.4โมเลกุล
4.4ชนิด
5.1:1:2 |
|
ตัดพันธะเปปไทด์ |
ตัดพันธะเปปไทด์จำนวน n พันทะเกิดจากกรดอะมิโนจำนวน n+1โมเลกุล จำนวนน้ำที่ใช้ต่อเป็น n โมเลกุล |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
8 |
|
ง |
|
กรดกลูตามิกเป็นโปรตีน แป้งมันฝรั่งเป็นpolysaccharideและซูโครสเป็นdisaccharide |
1. การทดสอบโปรตีนสามารถทดสอบได้ด้วยปฏิกิริยาไบยูเรต โดยให้โปรตีนทำปฏิกิริยากับสารละลาย CuSO4ในสารละลายเบส NaOH จะได้สารสีน้ำเงินม่วง โดยปฏิกิริยา CuSO4ในสารละลายเบสจะทำปฏิกิริยากับองค์ประกอบย่อยของโปรตีนคือ กรดอะมิโน ได้สารสีน้ำเงินม่วง ซึ่งเป็นสารประกอบเชิงซ้อนระหว่าง Cu2+กับไนโตรเจนในสารที่มีพันธะเพปไทด์ตั้งแต่ 2 พันธะขึ้นไป
2. การไฮโดรไลส์ทำให้และแป้งแตกตัวเป็นน้ำตาลโมเลกลุเดี่ยวและทำปฏิกิริยากับสารละลายเบเนดิกต์ได้
3.น้ำตาลซูโครสไม่ทำปฏิกิริยากับสารละลายไอโอดีน ต้องผ่านการย่อยให้เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวก่อนแล้วจึงทดสอบด้วยละลายเบเนดิกต์ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
9 |
|
ไดเพปไทด์ Glutamylarginine |
|
เพราะต่อกรดกลูตามิกเป็นอันดับแรก |
เป็นไดเพปไทด์เพราะเกิดจากกรดอะมิโน2โมเลกุล และได้พันธะเพปไทด์1พันธะ โดยพันธะเกิดจากหมู่อะมิโนและคาร์บอกซิลที่ตำแหน่งแอลฟาคาร์บอลของแต่ละโมเลกุลมาต่อกัน |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
10 |
|
ค. ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเรียกว่าสปอนิฟอเคชั่น |
|
ส่วนไอออนลบเป็นส่วนที่ชอบน้ำจะไม่ไปล้อมรอบหยดน้ำมัน |
สมการดังกล่าวเป็นสมการของปฏิกิริยาสปอนิฟอเคชั่น คือการเกิดสบู่โดยส่วนของสบู่หรือเกลือของกรดไขมันจะมี2ส่วนคือส่วนหัว(-)มีขั้วเป็นส่วนที่ชอบน้ำและส่วนหางไม่มีขั้วเป็นส่วนที่ไม่ชอบน้ำ หากมีหยดน้ำมัน ไขมัน หรือสิ่งสกปรก ก็จะหันส่วนหางเข้าล้อมรอบและหันส่วนหัวออก |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
11 |
|
6ชนิด |
|
เนื่องจากโครงสร้างของกรดไขมันต่างกันทั้ง3ชนิดและตำแหน่งที่จะเข้าทำปฏิกิริยามีทั้งสิ้น3ตำแหน่ง |
ตำแหน่งแรกมีโอการเป็นกรดไขมันชนิดใดก็ได้ ตำแหน่งที่2มีโอกาสเป็นกรดไขมัน2ชนิดที่เหลือและตำแหน่งสุดท้ายเป็นของกรดไขมันชนิดเดียวที่เหลือโดยสามารถเกิดขึ้นได้3!วิธี จะได้ไอโซเมอร์ทั้งสิ้น6ชนิด |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
12 |
|
165 |
|
แสดงว่ามีพันธะคู่3ตำแหน่งในพันธะทั้งหมด11พันธะ |
สลับตำแหน่งพันธะคู่ได้165แบบ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
13 |
|
เลซิตินมีลักษณะเป็นฟอสโฟลิพิดซึ่งสามารถจับกับไขมันช่วยให้ละลายในน้ำได้ |
|
จากองประกอบของเลซิตินเห็นได้ว่าประกอบด้วยหมู่ฟอสเฟตและกรดไขมันซึ่งหากรวมตัวกับกลีเซอรอลจะได้เป็นฟอสโฟลิพิดที่จะจับกับไขมันและอนุพันธ์ของลิพิดแล้วละลายในน้ำเลือดได้ |
ฟอสโฟลิพิด (phospholipid) คือ ลิพิด (lipid) ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของ กลีเซอรอล (glycerol) 1 โมเลกุล ของกรดไขมัน (fatty acid) 2 โมเลกุล และกรดฟอสฟอริก 1 โมเลกุล ในโมเลกุลมีทั้งส่วนที่ชอบน้ำ (hydrophilic) และไม่ชอบน้ำ (hydrophobic) สามารถใช้เป็นอิมัลซิไฟเออร์ (emulsifier) ช่วยทำให้อิมัลชัน (emulsion) คงตัว และส่วนที่ไม่ชอบน้ำจะจับเข้ากับไขมันและอนุพันธ์ของลิพิดแล้วละลายในน้ำเลือดได้ ซึ่งก็คือคอเลสเทอรอล ไตรกลีเซอไรด์และไขมันในหลอดเลือด |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
14 |
|
xเป็นแอลกอฮอล์yเป็นกรดไขมัน |
|
เพราะไขเกิดจากปฏิกิริยาระหว่างแอลกอฮอล์และกรดไขมัน |
ไขเกิดจากปฏิกิริยาระหว่างแอลกอฮอล์ 1 โมเลกุลและกรดไขมัน 3 โมเลกุล ซึ่งจะเกิดพันธะเอสเทอร์3พันธะโดยแต่ละพันธะที่เกิดขึ้นจะให้น้ำ 1 โมเลกุล รวมเป็น 3 โมเลกุล |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
15 |
|
ค |
|
ผงซักฟอกไม่ได้ลดความกระด้างแต่สามารถละลายได้และมีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดได้ดีกว่าสบู่ในน้ำกระด้าง |
ผงซักฟอก คือ เกลือของกรดซัลโฟนิก มีสมบัติชำระล้างสิ่งสกปรกทั้งหลายได้เช่นเดียวกับสบู่ เป็นสารซักล้างที่ผลิตขึ้นมาใช้แทนสบู่ ซึ่งเป็นเกลือโซเดียมซัลโฟเนตของไฮโดรคาร์บอน ผงซักฟอกมีข้อดีกว่าสบู่ คือ สามารถทำงานได้ดี แม้ในน้ำกระด้างที่มีไอออน Ca2+ Fe2+ Fe3+ และ Mg2+ ในขณะที่สบู่จะตกตะกอน ถ้าหมู่แอลคิลเป็น เส้นตรง จะถูกย่อยด้วยจุลินทรีย์ได้ดี เกิดมลพิษน้อย แต่ถ้าหมู่แอลคิลเป็น โซ่กิ่ง จุลินทรีย์จะย่อยได้ยาก |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
16 |
|
ข |
|
เพราะเกิดจากกรดอะมิโน 2 โมเลกุล |
ไดเพปไทด์จะต้องเกิดจากกรดอะมิโน 2 โมเลกุลก่อกันและมีพันธะเพปไทด์1พันธะ ซึ่งเป็นพันธะระหว่างหมู่เอมีนของกรดอะมิโนโมเลกุลหนึ่งและหมู่คาร์บอกซิลของกรดอะมิโนอีกโมเลกุลหนึ่ง |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
17 |
|
ค. |
|
ไนโตรซามีนเป็นสารก่อมะเร็งที่มีการนำไปใช้กับอารหารหมักดองและเนื้อสัตว์เพื่อให้มีสีสดน่ารับประทาน |
สารไนโตรซามีนจัดเป็นสารก่อมะเร็งที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาระหว่างไนโตรเจนออกไซด์ กับเอมีนทุติยภูมิ ที่พบทั่วไปในอาหาร เครื่องดื่มและสารเคมีต่างๆ ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการผิดปกติของดีเอ็นเอที่ตรวจพบในรูปของ DNA adducts และก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
18 |
|
9หน่วย ปลายสายด้านคาร์บอกซิลิกเป็นกรดอะมิโนอาร์จินีน |
|
เริ่มต้นจากสายที่4 กรดอะมิโนตัวแรกคืออาร์จินีน |
หากปลายอะมิโนของพอลิเพปไทด์เริ่มต้นเป็นของกรดอะมิโนอาร์จินีน แสดงว่ากรดอะมิโนตัวแรกคืออาร์จินีน |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
19 |
ข้อใดไม่ถูกต้อง
|
ง. การนำโปรตีนมาทำปฏิกิริยากับคอปเปอร์ (II) ซัลเฟตในเบสจะทำให้โปรตีนเกิดการแปลงสภาพ |
|
ให้โปรตีนทำปฏิกิริยากับสารละลาย CuSO4ในสารละลายเบส จะได้สารสีน้ำเงินม่วง โดยปฏิกิริยา CuSO4ในสารละลายเบสจะทำปฏิกิริยากับองค์ประกอบย่อยของโปรตีนคือ กรดอะมิโน ได้สารสีน้ำเงินม่วง ซึ่งเป็นสารประกอบเชิงซ้อนระหว่าง Cu2+กับไนโตรเจนในสารที่มีพันธะเพปไทด์ตั้งแต่ 2 พันธะขึ้นไป ไม่ได้ทำให้โปรตีนเกิดการแปลงสภาพ |
ปัจจัยที่ทำให้โปรตีนแปรสภาพ
1. ความร้อน
2. สารละลายกรดและสารละลายเบส ทำให้โปรตีนตกตะกอน
3. แอลกอฮอล์ ทำให้โปรตีนแปลงสภาพได้เช่นเดียวกันกับกรดเบส
4. ตัวทำละลายอินทรีย์ เช่น แอซีโตน มีผลทำให้โครงสร้างของโปรตีนเปลี่ยนแปลงได้
5. โลหะหนัก เช่น สารประกอบของตะกั่ว แคดเมียม ปรอท ทำให้โปรตีนตกตะกอน
6. รังสีต่าง ๆ มีผลเช่นเดียวกับความร้อน |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
20 |
นักกำหนดอาหารได้มีการจัดอาหารกลางวันสำหรับผู้ป่วยรายหนึ่ง โดยอาหารประกอบไปด้วย ข้าว กะหล่ำปีผัดน้ำมัน และแกงจืดเต้าหู้หมูสับ อาหารมื้อนี้ ผู้ป่วยจะได้รับสารชีวโมเลกุลประเภทให้พลังงานกี่ชนิด อะไรบ้าง
|
ค. 3 ชนิด ได้แก่ ไขมัน คาร์โบไฮเดต และโปรตีน |
|
1.ได้ไขมันจากน้ำมันในผัดกะหล่ำปลี
2.ได้คาร์โบไฮเดรตจากข้าว
3.ได้โปรตีนจากเต้าหู้และหมูสับ |
สารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน
1. คาร์โบไฮเดรต มักพบอยู่ในรูปของแป้ง และน้ำตาล เป็นส่วนใหญ่ พบมากในข้าว แป้ง ขนมปัง ผัก ผลไม้ นม และผลิตภัณฑ์จากนม คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี
2.ไขมัน เป็นสารอาหารที่ให้พลังงาน สูง ประกอบด้วยกรดไขมันและกลีเซอรอล พบมากในไขมันจากพืช มันสัตว์ นม เนย ถั่ว ไขมัน 1 กรัม จะให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี
3.โปรตีน พบมากในไข่ นม เนื้อสัตว์ ถั่ว ข้าว ข้าวโพด ผักและผลไม้บางชนิด โปรตีน 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|