1 |
|
3. α-glucosidase inhibitors |
|
ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการย่อยอาหารไม่ควรทานยาชนิดที่ 3 "Α-Glucosidase Inhibitors" มากที่สุด ยาชนิดนี้ใช้ในการรักษาเบาหวานแบบที่สอง (Type 2 Diabetes) |
ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการย่อยอาหารไม่ควรทานยาชนิดที่ 3 "Α-Glucosidase Inhibitors" มากที่สุด ยาชนิดนี้ใช้ในการรักษาเบาหวานแบบที่สอง (Type 2 Diabetes) โดยการยับยั้งเอนไซม์ α-glucosidase ที่ช่วยย่อยคาร์โบไฮเดรตในลำไส้เล็ก การยับยั้งนี้อาจส่งผลให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น เมื่อมีปัญหาเรื่องการย่อยอาหาร |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
2 |
|
5. SGLT-2 |
|
ข้อที่ 5 "SGLT-2" เกี่ยวข้องกับยาชนิดหนึ่งที่ใช้ในการรักษาเบาหวานแบบที่สอง (Type 2 Diabetes) และไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรค UTI (กลุ่มโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ) |
ข้อที่ 5 "SGLT-2" เกี่ยวข้องกับยาชนิดหนึ่งที่ใช้ในการรักษาเบาหวานแบบที่สอง (Type 2 Diabetes) และไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรค UTI (กลุ่มโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ) |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
3 |
|
2. PCE |
|
|
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
4 |
|
3. CBL |
|
ข้อที่เกี่ยวกับ EGFR (Epidermal Growth Factor Receptor) คือ "CBL" ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของ Casitas B-lineage Lymphoma ซึ่งเป็นโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการประสานงานในสัญญาณชีวภาพของ EGFR และมีบทบาทในการควบคุมแบบลบในการส่งสัญญาณจาก EGFR และโพรตีนที่เกี่ยวข้องไปยังทางเดียวกัน |
สัญญาณชีวภาพ (Signal Transduction Theory) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่อธิบายกระบวนการส่งสัญญาณในระบบชีววิทยา โดยสัญญาณจะถูกส่งผ่านโปรตีนส่วนใหญ่ภายในเซลล์ เช่น รับรู้สัญญาณจากภายนอก ส่งสัญญาณไปยังส่วนอื่นของเซลล์ และส่งสัญญาณไปยังเซลล์อื่น ทฤษฎีนี้ช่วยในการเข้าใจการทำงานของระบบสื่อสารเซลล์และปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดโรคและการรักษาโรคในระบบนั้นๆ ในที่นี้ เรื่องเกี่ยวกับ EGFR และ CBL เป็นตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับการส่งสัญญาณเซลล์ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
5 |
|
2. K+ secretion |
|
ข้อที่ไม่เกี่ยวข้องกับยาลดความดันคือ "K+ Secretion" (การสร้างสารประกอบของโพแทสเซียมและพอแทสเซียมในระบบไตเพื่อปรับความดันโลหิต) |
ทฤษฎีหลักคิดที่เกี่ยวข้องกับคำตอบเกี่ยวกับยาลดความดันอาจเป็นทฤษฎีของระบบไตรและเป็นบทเฉพาะทางในการรักษาความดันโลหิตสูง ตัวอย่างทฤษฎีหลักคิดที่เกี่ยวข้องคือ "ทฤษฎี Renin-Angiotensin-Aldosterone System (RAAS)" ซึ่งเป็นระบบการทำงานของร่างกายที่ควบคุมความดันโลหิต โดยระบบนี้ประกอบด้วยการสังเคราะห์และการกระตุ้นของสารเคมีเช่น Renin, Angiotensin II, และ Aldosterone ซึ่งมีบทบาทในการลดการหดเกร็งของเส้นเลือด การเกี่ยวข้องของยาลดความดันกับทฤษฎี RAAS เป็นตัวอย่างที่ช่วยอธิบายและเสริมแรงคำตอบว่าทำไมยาชนิดใดบ้างถูกต้องสำหรับผู้ป่วยที่มีโรคความดันโลหิตสูง |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
6 |
|
5. CCB |
|
เมื่อพูดถึงการทำงานของยาต้านไวรัส เราจะพูดถึงกระบวนการทางชีวภาพของไวรัสและแนวทางการทำงานของยาที่มุ่งเน้นต่อการยับยั้งหรือป้องกันการแพร่เชื้อของไวรัสในร่างกาย ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับกระบวนการเช่นการทำงานของโปรตีนเช่น Translation (การสร้างโปรตีน), Budding (การสร้างเชื้อไวรัสใหม่), Protein (โปรตีนที่มีบทบาทในกระบวนการเชื่อมโยงกับไวรัส), Uncoating (กระบวนการละลายปลอกเยื้องของไวรัส) เป็นต้น |
CCB (Calcium Channel Blockers) เป็นกลุ่มยาที่ใช้ในการควบคุมความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจโดยการบล็อกการไหลเวียนของไอออนแคลเซียมผ่านช่องเปิดของช่องไฟฟ้าของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งมีผลในการลดการหดตัวของหลอดเลือด ซึ่งทำให้เกิดการควบคุมความดันโลหิตและลดภาระการทำงานของหัวใจ
เนื่องจาก CCB เป็นยาที่เกี่ยวข้องกับระบบหัวใจและการควบคุมความดันโลหิต และไม่มีความเกี่ยวข้องตรงกับการทำงานของยาต้านไวรัสที่เน้นการป้องกันหรือทำลายการทำงานของไวรัสในระบบชีววิทยาภายในเซลล์เชื้อเพลิง จึงทำให้ข้อที่ 5 (CCB) ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานของยาต้านไวรัส |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
7 |
|
2. CN3 |
|
CN3 ไม่เกี่ยวข้องกับการดื้อยา หรือการเกี่ยวข้องกับการต้านทานยาของเชื้อโรค ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นๆ เช่น ระบบประสาท หรือโรคทางการแพทย์อื่นๆ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการดื้อยาในเชื้อโรค |
CN3 อาจเป็นการอ้างถึง Cranial Nerve III ซึ่งเป็นเส้นประสาทหนึ่งในระบบประสาทส่วนกลางที่เชื่อมต่อกับกล้ามเนื้อตาและเกี่ยวข้องกับการควบคุมการเคลื่อนไหวของตา โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อตาต่างๆ เช่น กล้ามเนื้อตาตรง, กล้ามเนื้อตาบน, กล้ามเนื้อตาล่าง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ข้อนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการดื้อยาจากภาพ หรือการเกี่ยวข้องกับการต้านทานยาของเชื้อโรค ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการดื้อยาของเชื้อโรคในสภาวะที่ยาต่างๆ ไม่มีประสิทธิภาพต่อเชื้อโรค ซึ่งเกิดขึ้นได้เมื่อเชื้อโรคพัฒนาการดื้อยาและสามารถเสริมความต้านทานในการต่อยาได้ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
8 |
|
3. MALT2 |
|
กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างยาต้านมะเร็ง ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบต่างๆ ที่มี peroxiredoxins, NQO1, P53, ER stress, และ ROS ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการเป้าหมายต่อเซลล์มะเร็งหรือกลไกในการควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะเมื่อเซลล์มะเร็งเติบโตอย่างผิดปกติหรือมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
แต่ MALT2 ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในบริบทของการสร้างยาต้านมะเร็งหรือเกี่ยวข้องกับ pathway ที่กล่าวถึง |
MALT2 (Mucosa-associated lymphoid tissue lymphoma translocation protein 2) เป็นโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนที่ตำแหน่งของเซลล์มะเร็งในเนื้อเยื่อที่เกี่ยวข้องกับลิมโฟมาทา (MALT) ซึ่งเป็นลิมโฟมาทาที่พบได้ในหลายส่วนของร่างกาย เช่น ช่องปาก ลำคอ กระเพาะอาหาร ลำไส้ รวมถึงต่อมน้ำเหลืองและต่อมที่เกี่ยวข้องกับระบบลิมโฟมาทิกส์ในร่างกาย
อย่างไรก็ตาม MALT2 ไม่เกี่ยวข้องกับการสร้างยาต้านมะเร็งหรือเกี่ยวข้องกับ pathway ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมเซลล์มะเร็ง |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
9 |
|
5. NRTs |
|
NRTs ย่อมาจาก Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs) ซึ่งเป็นกลุ่มยาต้านเอนไซม์ Reverse Transcriptase ในเชื้อไวรัส HIV หรือ Human Immunodeficiency Virus ที่เป็นตัวที่สร้างสำเนาเอนไซม์ RNA เป็น DNA ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการทำลายระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของมนุษย์ |
อย่างไรก็ตาม HIV drug resistance เกิดขึ้นเมื่อเชื้อ HIV เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของเอนไซม์ Reverse Transcriptase ทำให้ยาต้านเชื้อ HIV ในกลุ่ม NRTs ไม่สามารถยับยั้งเอนไซม์นี้ได้ ผลที่เกิดขึ้นคือเชื้อ HIV กลายพันธุ์และเจริญเติบโตต่อไป และยา NRTs จะไม่มีผลเชิงบวกในการควบคุมการแพร่เชื้อ HIV ในร่างกาย
ดังนั้น การเข้าใจ mechanism of HIV drug resistance เกี่ยวข้องกับยาต้านเชื้อ HIV ในกลุ่ม NRTs (Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors) ซึ่งเป็นข้อที่ 5. |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
10 |
Vitamin C ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับโรคเบาหวาน
|
4. เป็น antioxidant |
|
ข้อที่ 4 (เป็น Antioxidant) เกี่ยวข้องกับ Vitamin C โดยตรง โดยทั่วไป Vitamin C เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการเสียหายจากอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดอาการเสื่อมของเนื้อเยื่อในร่างกาย และมีความเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น การป้องกันการเกิดภาวะอักเสบและโรคต่างๆ |
Vitamin C ไม่มีความเกี่ยวข้องเฉพาะกับโรคเบาหวานโดยตรง และไม่ได้มีบทบาทในการเพิ่มหรือลดน้ำตาลในเลือดหรือปริมาณ Insulin ดังที่กล่าวไว้ในข้อ 1, 2, และ 3 |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
11 |
ข้อใดเกี่ยวข้องกับ Astrocyte reactivity
|
4. longitudinal tau tangle accumulation |
|
ข้อที่ 4 (Longitudinal Tau Tangle Accumulation) เกี่ยวข้องกับ Astrocyte reactivity เนื่องจาก Tau tangles เป็นส่วนหนึ่งของผลตอบสนองของ Astrocyte ในระบบประสาท ซึ่งเกิดขึ้นในบางโรคสมองเช่นโรคพาร์กินสัน ซึ่ง Astrocyte reactivity หมายถึงการตอบสนองและการเปลี่ยนแปลงของ Astrocyte ในสภาวะที่เกิดการทำลายเซลล์สมอง เช่นการสะสมของ Tau tangles ในเนื้อเยื่อสมองที่เสื่อมสลาย |
ข้อที่ 4 จะเป็นการเน้นให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงและผลตอบสนองของ Astrocyte ที่เกิดจากการสะสมของ Tau tangles ในโรคสมองเช่นโรคพาร์กินสัน และเสริมความเข้าใจของผู้ใช้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ Astrocyte reactivity ในบริบทของ Tau tangles. |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
12 |
ข้อใดเกี่ยวข้องกับ combination of drugs targeting Aβ
|
4. suppression of this signaling |
|
เนื่องจากการเป้าหมายการรักษาโรคอัลไซเมอร์ ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับ Aβ (Amyloid-beta) เชื่อมโยงกับการยับยั้งการส่งสัญญาณหรือ suppression ของ Aβ ซึ่งเป็นสารประกอบที่สำคัญในการพัฒนาโรคอัลไซเมอร์ ดังนั้น การตอบข้อสงสัยด้วยข้อที่ 4 จะเป็นการเน้นให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการยับยั้งการส่งสัญญาณหรือการลดการสร้าง Aβ ในการรักษาโรคอัลไซเมอร์ และเสริมความเข้าใจของผู้ใช้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาผสม (combination drugs) เพื่อเป้าหมายการรักษา Aβ ในโรคอัลไซเมอร์ |
Amyloid Hypothesis: เป็นทฤษฎีหลักคิดที่กล่าวถึงการสะสมของเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการพัฒนาโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเน้นว่าการสะสมของ Aβ (Amyloid-beta) ในสมองเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ และการเป้าหมายต่อการรักษาโรคอัลไซเมอร์อาจเน้นที่การลดการสะสมหรือเพิ่มการละลายของ Aβ ในสมองผ่านการใช้ยาต่าง ๆ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
13 |
ข้อใดคือ population-based study cohort
|
1. MYHAT |
|
MYHAT (Monongahela-Youghiogheny Healthy Aging Team) เป็นตัวอย่างของ population-based study cohort ที่ศึกษาเกี่ยวกับการเติบโตของประชากรและสุขภาพของผู้สูงอายุในพื้นที่ Monongahela-Youghiogheny |
ในสหรัฐอเมริกา การวิจัยจะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับประชากรเป้าหมายเพื่อวิเคราะห์และทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคและการแก้ไขปัญหาสุขภาพในกลุ่มผู้สูงอายุในพื้นที่นั้น
population-based study cohort ซึ่งหมายถึงการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มประชากรที่มีคุณสมบัติที่กำหนดไว้ในพื้นที่หรือประชากรเป้าหมายที่เป็นที่สนใจเพื่อศึกษาและวิเคราะห์เกี่ยวกับปัญหาหรือปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพหรือโรค นอกจากนี้ยังมีการติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลในระยะเวลาต่อเนื่องเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของสภาวะสุขภาพหรือปัจจัยที่เกี่ยวข้องในกลุ่มประชากรดังกล่าว การศึกษาแบบ cohort ช่วยให้สามารถสร้างข้อมูลที่มีความเป็นมาตรฐานและสามารถวิเคราะห์เชิงสถิติและทางคลินิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
14 |
ข้อใดเกี่ยวข้องกับ Environmental toxicology
|
5. All |
|
เกี่ยวข้องกับ Environmental toxicology ทั้งหมด โดย Environmental toxicology เป็นสาขาวิชาที่ศึกษาผลกระทบของสารพิษต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตในสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ซึ่งอาจเป็นสารประเภทต่างๆ เช่น สารเคมีอินทรีย์ (Organic Pollutants) และสารเคมีอินอร์แอนิก (Inorganic Pollutants) ซึ่งสามารถมาจากแหล่งต่างๆ เช่น การปฏิบัติงานอุตสาหกรรม การใช้สารเคมีในเกษตรกรรม (เช่น สารกำจัดแมลง สารฆ่าวัชพืช) หรือสารพิษจากสิ่งมีชีวิต (เช่น เชื้อโรค พิษจากสัตว์) ซึ่ง Environmental toxicology มุ่งเน้นการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีและชีววิทยาของสารพิษ วิธีการตรวจวัดความเข้าถึงและการกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในระดับบุคคลและระดับประชากร |
Organic Pollutants: เป็นสารเคมีอินทรีย์ที่มาจากแหล่งต่าง ๆ เช่น สารประกอบเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรม เช่น ดีเอ็นดี (Dioxins) และโปรตีน เป็นต้น ซึ่งสารเคมีเหล่านี้สามารถทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตได้
Inorganic Pollutants: เป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์จากสารธาตุอนินทรีย์ เช่น ตะกั่ว (Lead), ปิโตรเลียม (Petroleum), น้ำมันหินอ่อน (Crude oil) และเหล็ก (Iron) ซึ่งสารเคมีเหล่านี้อาจมาจากการใช้งานในอุตสาหกรรมหรือการปฏิบัติตามกฎหมายที่ไม่เหมาะสม และสามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตได้
Pesticides: เป็นสารเคมีที่ใช้ในการกำจัดแมลง วัชพืช และโรคพืช เช่น สารกำจัดแมลง (Insecticides), สารฆ่าวัชพืช (Herbicides), และสารกำจัดโรคพืช (Fungicides) การใช้สารเคมีเหล่านี้อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
Biological Agents: เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตได้ เช่น เชื้อโรค (Bacteria, Virus) และสิ่งมีชีวิตสามัญประจำท้องถิ่น เช่น ปลา เต่า และนก ซึ่งการแพร่เชื้อ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
15 |
ข้อใดเกี่ยวข้องกับ Histamine
|
3. CN 4 |
|
ในระบบประสาทสมองมีครอบเส้นประสาทที่เรียกว่า CN (Cranial Nerves) ทั้งหมด 12 คู่ โดย CN4 ในที่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับ Histamine |
Histamine เป็นสารเคมีภายในร่างกายที่มีบทบาทสำคัญในการเกิดอาการแพ้และการติดเชื้อของระบบภูมิคุ้มกัน การปล่อย histamine เกิดขึ้นเมื่อมีการต่อสู้กับสารตัวป่วนหรือสารสัมผัสตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย เมื่อ histamine ถูกปล่อยออกมามากเกินไปหรือตกค้างในร่างกาย อาจทำให้เกิดอาการแพ้ที่หลายระบบ เช่น ผื่นแดง การบวม คัน ปวดศีรษะ หรือรู้สึกไม่สบาย เป็นต้น
การศึกษาและการวิจัยเกี่ยวกับ histamine มีความสำคัญในการเข้าใจกลไกที่เกี่ยวข้องกับการปล่อย histamine และผลกระทบต่อร่างกาย นอกจากนี้ยังมีการพัฒนายาต้าน histamine (antihistamines) เพื่อการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับการปล่อย histamine เช่น โรคแพ้ โรคจอประสาท และอาการแพ้ตามฤดูกาล |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
16 |
ข้อใดเกี่ยวไม่ข้องกับ Environmental toxicology
|
5. All |
|
ข้ออื่น ๆ ทั้งหมด (1-4) เกี่ยวข้องกับ Environmental toxicology เนื่องจากเป็นประเภทของสารหรือปัจจัยที่มีความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ เช่น solvent pollutants (สารละลาย), inorganic pollutants (สารเคมีที่ไม่มีประสิทธิภาพชีวภาพ), pesticides (สารกำจัดศัตรูพืช), และ biological agents (สารชีวภาพหรือสิ่งมีชีวิตที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมนุษย์) |
Solvent Pollutants: สารละลายหรือสารที่ใช้ในการละลายอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ เช่น สารประกอบเคมีที่ใช้ในการทำความสะอาดหรือการผลิตอุตสาหกรรม
Inorganic Pollutants: สารเคมีที่ไม่มีประสิทธิภาพชีวภาพและมาจากแหล่งที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต เช่น โลหะหนัก เช่น ปรอท, ทองแดง, โลหะตะกูลเหล็ก และสารเคมีอื่น ๆ เช่น สารประกอบเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรม
Pesticides: สารเคมีที่ใช้ในการควบคุมและกำจัดศัตรูพืช ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เมื่อใช้ในปริมาณมากหรือในวิธีการที่ไม่ถูกต้อง
Biological Agents: สารชีวภาพหรือสิ่งมีชีวิตที่สามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ เช่น สายพันธุ์พืชหรือสัตว์ที่เป็นอันตราย เชื้อโรค หรือสัตว์ที่เป็นพาหะในการแพร่เชื้อ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
17 |
ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับ drug research in cancer
|
4. less effective treatments |
|
ข้ออื่น ๆ ทั้งหมด (1-3, 5) เกี่ยวข้องกับการวิจัยยาต้านมะเร็ง เนื่องจากเป็นหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนายาเพื่อการรักษามะเร็ง รวมถึงการป้องกันและการให้การรักษาที่บุคคลเฉพาะ (personalized treatment) ที่มุ่งเน้นไปที่การรักษาที่เป็นเป้าหมาย (targeted treatments) และกลยุทธ์การป้องกัน (prevention strategies) ของโรคมะเร็ง |
Targeted Treatments (การรักษาที่เป็นเป้าหมาย): นักวิจัยในการวิจัยยาต้านมะเร็งพยายามพัฒนายาที่เป็นเป้าหมายโดยเฉพาะ ซึ่งหมายถึงยาที่ออกแบบมาเพื่อเล็งหรือกำจัดเนื้อเยื่อมะเร็งหรือกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งเท่านั้น การวิจัยในขณะนี้เน้นการพัฒนายาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการเล็งเนื้อเยื่อมะเร็งเฉพาะ และป้องกันการกระจายตัวไปยังเนื้อเยื่ออื่น ๆ ในร่างกาย
Cancer Onset (การเกิดมะเร็ง): การวิจัยในการรักษามะเร็งรวมถึงการศึกษากระบวนการเกิดมะเร็ง วิจัยเหล่านี้เน้นการหาสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเซลล์ที่ก่อให้เกิดมะเร็ง รวมถึงการศึกษาพฤติกรรมและปัจจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนามะเร็ง เพื่อเข้าใจและป้องกันการเกิดมะเร็งในขั้นตอนเริ่มต้น
Personalized Treatment (การรักษาแบบบุคคลเฉพาะ): การวิจัยในการรักษามะเร็งมุ่งเน้นการพัฒนากลยุทธ์การรักษาที่เหมาะกับแต่ละบุคคล ซึ่งการวิจัยในด้านนี้เน้นการพัฒนาเครื่องมือที่ช่วยวินิจฉัยและคาดการณ์การตอบสนองของผู้ป่วยต่อการรักษาต่าง ๆ โดยพิจารณาตัวแปรทางพันธุกรรม เช่น การทดสอบยาและการรักษาที่เฉพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็งและเกิดความแม่นยำและประสิทธิภาพในการรักษามะเร็ง
Less Effective Treatments (การรักษาที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่า): ข้อนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการวิจัยยาต้านมะเร็ง แต่เป็นการอธิบายว่ามีการรักษามะเร็งที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าแบบอื่น ๆ ซึ่งอาจเป็นเทคนิคหรือยาที่ใช้ในอดีตแล้วไม่ได้มีประสิทธิภาพในการรักษามะเร็งหรือมีผลข้างเคียงมากกว่าที่คาดหวัง
Prevention Strategies (กลยุทธ์การป้องกัน): การวิจัยในการรักษามะเร็งไม่เพียงแต่เน้นการพัฒนายาและกลยุทธ์การรักษา แต่ยังเน้นการศึกษาและพัฒนากลยุทธ์การป้องกันโรคมะเร็งด้วย เช่น การควบคุมปัจจัยเสี่ยง เช่น การเลิกบุหรี่ การรับประทานอาหารที่เหมาะสม และการออกกำลังกายเพื่อลดโอกาสในการเกิดมะเร็งในอนาคต |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
18 |
scientific study of the properties of toxins คืออะไร
|
1. toxicology |
|
คำว่า "scientific study of the properties of toxins" หมายถึงการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับลักษณะและคุณสมบัติของสารพิษ |
Toxicology (ข้อที่ 1) ซึ่งเป็นสาขาวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตเมื่อถูกสัมผัสหรือรับประทานสารพิษ การศึกษาทางนี้มีเป้าหมายที่จะเข้าใจกลไกการทำงาน ปริมาณที่เกี่ยวข้อง ความเป็นอันตราย และวิธีการป้องกันและรักษาผลกระทบจากสารพิษต่อสิ่งมีชีวิต รวมถึงในสิ่งแวดล้อม พลังงาน อาหาร และสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
19 |
ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับ DREs
|
5. narcotic analgesics |
|
DREs เป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจจับการใช้สารเสพติดและยาเสพติด โดยพวกเขาใช้วิธีการตรวจสอบและประเมินอาการร่างกายและพฤติกรรมของบุคคลเพื่อระบุว่าบุคคลนั้นได้รับสารเสพติดหรือยาเสพติดหรือไม่ ในข้อนี้ Narcotic Analgesics ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบและประเมินของ DREs ซึ่งมักจะเน้นการตรวจสอบยาเสพติดที่มีผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง อาทิเช่น CNS Depressants (ยากลุ่มยับยั้งระบบประสาทส่วนกลาง) CNS Stimulants (ยากลุ่มกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง) Hallucinogens (ยากลุ่มเสพติดที่ก่อให้เกิดอาการทางจิตเวช) และ Associative Anesthetics (ยาชนิดที่ใช้ในการทำให้สลบความรู้สึก) |
CNS Depressants: เป็นกลุ่มของยาที่ทำงานโดยการยับยั้งระบบประสาทส่วนกลาง (CNS) อาจมีผลกระทบต่อสารเสพติดและยาเสพติด แต่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการตรวจสอบและประเมินการใช้สารเสพติดของ DREs
CNS Stimulants: เป็นกลุ่มของยาที่ทำงานโดยกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง (CNS) อาจมีผลกระทบต่อสารเสพติดและยาเสพติด แต่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการตรวจสอบและประเมินการใช้สารเสพติดของ DREs
Hallucinogens: เป็นกลุ่มของสารที่ทำงานโดยกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางสติปัญญาและการมองเห็น อาจมีผลกระทบต่อสารเสพติดและยาเสพติด แต่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการตรวจสอบและประเมินการใช้สารเสพติดของ DREs
Associative Anesthetics: เป็นกลุ่มของยาที่ใช้ในการให้สนามประสาทและช่วยในการทำให้ผู้ป่วยสูญเสียสติ อาจมีผลกระทบต่อสารเสพติดและยาเสพติด แต่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการตรวจสอบและประเมินการใช้สารเสพติดของ DREs
Narcotic Analgesics: เป็นกลุ่มของยาที่ใช้ในการบรรเทาปวด อาจมีผลกระทบต่อสารเสพติดและยาเสพติด แต่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการตรวจสอบและประเมินการใช้สารเสพติดของ DREs |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
20 |
ข้อใดเกี่ยวข้องกับ Amphiphilic polymers
|
1. micelles |
|
Micelles (ไมเซลส์) เป็นโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับพอลิเมอร์ที่มีความหายใจได้ (Amphiphilic polymers) ซึ่งสามารถเรียงตัวเป็นกลุ่มขนาดเล็กในสารละลายน้ำได้ โดยที่ส่วนที่เป็นไฮโดรฟอบ (hydrophobic) ของโมเลกุลพอลิเมอร์จะรวมกันเพื่อสร้างส่วนกลาง (core) ในขณะที่ส่วนที่เป็นไฮโดรฟิลิก (hydrophilic) จะรวมกันเป็นชั้นภายนอก (shell) เพื่อปกป้องส่วนกลาง โครงสร้างนี้ทำให้พอลิเมอร์สามารถละลายสารที่เป็นไฮโดรฟอบในส่วนกลางของไมเซลส์ได้ ทำให้มีประโยชน์ในการส่งยาสู่เนื้อเยื่อเฉพาะ การเสริมสร้างเอมัลชัน และการใช้ในงานอื่น ๆ |
Micelles ยังมีความสามารถในการเสริมสร้างเอมัลชัน (emulsion) โดยที่สารไฮโดรฟอบจะช่วยในการรวมกลุ่มของการละลายน้ำและการละลายไขมันเข้าด้วยกัน และให้เกิดเอมัลชันที่เสถียรและมีความเป็นมัน นอกจากนี้ มีการใช้ Micelles ในงานวิจัยและการพัฒนาทางการแพทย์อื่น ๆ เช่นในการสร้างและใช้เป็นตัวเองสำหรับการตรวจวินิจฉัยโรค การส่งสารอาหารและสารอื่น ๆ ที่มีความไฮโดรฟอบ รวมถึงการใช้ในงานวิจัยทางเคมีเพื่อศึกษาสมบัติและประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับ Micelles อีกด้วย |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|