1 |
|
3. NADH เป็นตัว Reduce และส่งพลังงานให้ Acetyldehyde เกิดเป็น Alcohol ชนิดที่พบในการหมักไวท์สัปปะรด |
|
การหมักเป็นการหายใจแยยไม่ใช้ออกซิเจนสิ่งมีชีวิตต่างชนิดกันจะให้ผลลัพธ์ จากปฏิกิริยาบางขั้นตอนไม่เหมือนกัน เช่น กระบวนการหมักแอลกอฮอล์ (Alcoholic fermentation) โดยเริ่มจากไกลโคลิซีส เช่นเดียว กับการสลายกลูโคสโดยใช้ออกซิเจน และได้กรดไพรูวิก 2 โมเลกุล พร้อมปล่อย ATP 2 โมเลกุล และ 4 ไฮโดรเจน อะตอม เช่นกัน แต่ NADH + H+ จะถ่ายทอดอะตอมของไฮโดรเจนไปยัง acetaldehyde ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีคาร์บอน 2 อะตอม ทำให้ไม่สามารถใช้พลังงานจากอิเล็กตรอนที่มีอยู่ในอะตอมของไฮโดรเจนมาสร้าง ATP ได้อีก ดังนั้นการสลายกลูโคส 1 โมเลกุลจึงได้ ATP เพียง 2 โมเลกุล เอทิลแอลกอฮอล์เป็นสารพิษเป็นอันตรายต่อเซลล์ ถ้ามีเอทิลแอลกอฮอล์มากๆ ยีสต์อาจทนไม่ได้และตายในที่สุด
|
C6H12O6 + 2ATP + 2 ADP + 2Pi + 2 NAD+ -> 2 C3H4O3 + 4ATP + 2NADH + 2H+ ต่อจากนั้นกรดไพรูวิกจะเปลี่ยนเป็นแอซีทัลดีไฮด์เป็นสารประกอบที่มีคาร์บอน 2 อะตอม และได้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเอนไซม์ไพรูเวตดีคาร์บอกซีเลส 2 C3H4O3--->2 C2H4O + 2CO2 ต่อไป แอซิทิลดีไฮด์จะถูกออกซิไดซ์ด้วย NADH + H+ เป็นเอทิลแอลกอฮอล์หรือเอทานอล โดยเอนไซม์แอลกอฮอล์ดีไฮโดรจีเนส 2 C2H4O + 2NADH + 2H+ --> 2 C2H5OH + 2 NAD+ + 2CO2
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
2 |
|
3. Intermediate filament เป็นเส้นใย 4 สายพันกันเป็นเกลียว ส่วน microtubule มีหน่วยย่อยเป็น α หรือ β tubulin และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางกว้างสุดในบรรดา Cytoskeleton ทั้งหมด |
|
Intermediate filament เป็นเส้นใยโปรตีนที่มีขนาดใหญ่กว่าไมโครฟิลาเมนต์แต่เล็กกว่าไมโครทูบูล เป็นเส้นใยที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 8-10 นาโนเมตร ประกอบด้วยหน่วยย่อย
เรียงตัวเป็นสายยาว ๆ 4 สาย พัน บิดกันเป็นเกลียว มี 8 ชุด เรียงตัวเป็นร่างแห
ตามลักษณะรูปร่างของเซลล์
ไมโครทิวบูล (microtubule)
เป็นแท่งกลวง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 25 นาโนเมตร
ยาว 200 นาโนเมตร – 25 นาโนเมตร ประกอบด้วยโปรตีนก้อนกลม (globular protein) ชื่อว่าทูบูลิน (tubulin) ซึ่ง
มี 2 หน่วยย่อย คือ แอลฟาทิวบูลิน และ บีตาทูบูลิน
|
หน้าที่ของไมโครทูบูล
- ช่วยรักษารูปร่างของเซลล์ ไมโครทูบูล เปรียบเสมือนแท่งเหล็กที่ทนต่อแรงอัด
ภายนอก
- ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของซิเลีย และแฟลเจลลา ซึ่งส่งผลให้เซลล์ที่มีซิเลีย หรือ
แฟลเจลา เป็นส่วนประกอบเกิดการเคลื่อนที่ได้ (ไมโครทูบูลในซิเลีย และแฟลเจลลา จะมีการเรียงตัวแบบ 9+2 ซึ่งประกอบด้วยไมโครทูบูล 2 ท่อ จำนวน 9 ชุด จัดเรียงตัว
เป็นวงแหวนโดยตรงกลางมีท่อไมโครทูบูลจำนวน 2 ท่อวางอยู่
- ช่วยในการแยกโครโมโซมระหว่างเซลล์กำลังแบ่งตัว
- ช่วยในการเคลื่อนที่ของออร์แกเนลล์
หน้าที่ของ Intermediate filament
- ช่วยรักษารูปร่างของเซลล์อินเตอร์ มีเดียท ฟิลาเมนต์ ทนต่อแรงดึงภายนอก
เช่นเดียวกับไมโครฟิลาเมนต์
- ช่วยยึดออร์แกเนลล์ บางอย่างให้อยู่กับที่ เช่น นิวเคลียสถูกยึดให้อยู่ในกรงที่ทำด้วย
อินเตอร์ มีเดียท ฟิลาเมนต์
- สร้าง นิวเคลียร์ลาร์มินาร์
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
3 |
|
4. การเจริญของเอ็มบริโอไก่จะเจริญที่บริเวณไซโทพลาสซึมเล็ก ๆ ที่เรียกว่า Germinal Disc และการเกิด Cleavage จะเกิดขึ้นทั้งบริเวณ Germinal Disc และ Yolk |
|
ไข่ไก่มีปริมาณอาหารสะสมแตกต่างแบบแผนการเจริญจึงแตกต่างกัน
การฟักตัวเป็น
- มีคลีเวจ บลาสทูลา แกสตรูลา และการสร้างอวัยวะ
- การแบ่งเซลล์จะเกิดบริเวณเล็กๆที่เรียกว่า germinal disc เป็นบริเวณเล็กๆ ใกล้ผิวของเซลล์เพียง 1 แห่ง บริเวณนี้มีนิวเคลียสและ
ไซโทพลาซึม เป็นบริเวณเมื่อถูกปฏิสนธิ จะแบ่งเซลล์ทันที การแบ่งเซลล์จึงไม่แบ่งตลอดทั้งเซลล์ไข่ หลังฟักเป็นตัวลูกไก่เติบโตกลายเป็นไก่โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง
|
เซลล์ไข่ของไก่เป็นเซลล์ขนาดใหญ่ เนื่องจากมีปริมาณอาหารที่สะสมอยู่จำนวนมาก อาหารที่สะสมไว้นี้เรียกว่า ไข่แดง (yolk)
ไข่แดงของเซลล์ไข่มีอยู่มากมายจนอาจจะกล่าวได้ว่าเกือบทั้งเซลล์ที่เราเห็นอยู่นั้นเป็นไข่แดง มีเพียงบริเวณเล็กๆ ใกล้ผิวของเซลล์เพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ไม่ใช่ส่วนของไข่แดง บริเวณนั้นมีนิวเคลียสของไข่และไซโทพลาสซึมเป็นบริเวณที่เมื่อได้รับการปฏิสนธิกับตัวอสุจิก็จะได้ไซโกตและเริ่มแบ่งเซลล์ทันที เนื่องจากการปฏิสนธิเกิดขึ้นภายในตัวของไก่เพศเมีย และเกิดขึ้นก่อนที่จะมีไข่ขาวกับเปลือกไข่มาห่อหุ้มเซลล์ไข่
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
4 |
|
5. ประชากรอยู่ในสมดุลเมนเดล |
|
การถ่ายทอดพันธุกรรมตามหลักของเมนเดล ได้เน้นถึงการถ่ายทอดพันธุกรรมจากพ่อแม่ไปสู่ลูกอย่างมีกฎเกณฑ์ตายตัว เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็มีชีวิตอยู่ชั่วเวลาหนึ่งและก็ต้องจากไปส่วนที่เหลือทิ้งไว้ คือ พันธุกรรมที่ถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานเพื่อสืบสานเผ่าพันธุ์ หรือ สปีชีส์ของตนให้ยั่งยืนต่อไป ดังนั้นในระยะยาวนานพอสมควรสปีชีส์ใดสปีชีส์หนึ่งเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็อาจมีชีวิตอยู่ได้ในช่วงเวลาหนึ่งและก็ต้องสูญพันธุ์ไป แต่ก็มีสปีชีส์ที่เกิดขึ้นมาแล้วและมีชีวิตอยู่ได้ดี มีการปรับตัวให้เข้ากับสภาพการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมและอยู่ได้นานพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปตามกาลเวลา นั่นคือการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการไปเป็นสปีชีส์ใหม่ ได้โดยอาศัยการตอบสนองขององค์ประกอบทางพันธุกรรมของประชากรที่มีการปรับตัวนั้น ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการจึงเกิดขึ้นในระดับประชากร แต่วิวัฒนาการจะไม่เกิดขึ้นในระดับของตัวตนของสิ่งมีชีวิตโดยตรง การศึกษาการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตจึงจำเป็นต้องศึกษากลไกที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทางพันธุกรรมของประชากร ซึ่งเป็นสาขาที่เรียกว่า พันธุศาสตร์เชิงประชากร
|
1. Law of segregation เมื่อมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ ยีนของแต่ละลักษณะที่อยู่เป็นคู่จะแยกไปอยู่ในแต่ละเซลล์สืบพันธุ์เพียงตัวเดียว ดังนั้นภายในเซลล์สืบพันธุ์จะไม่มียีนที่เป็นคู่เลย เมื่อเกิด การปฏิสนธิเป็นไซโกตจึงมารวมกันอีกครั้ง
2. Law of independent assortment ยีนของแต่ละลักษณะที่แยกไปอยู่ในแต่ละเซลล์สืบพันธุ์สามารถจะไปจับคู่รวมกลุ่มกับยีนอื่นใดก็ได้อย่างอิสระในระหว่างการปฏิสนธิ
3. Law of dominance เมื่อยีนลักษณะเด่นจับคู่กับยีนลักษณะด้อยลักษณะที่ปรากฏจะเป็นลักษณะเด่น (พันทาง) ส่วนลักษณะด้อยจะถูกข่มการแสดงออกเอาไว้ แต่ยีนลักษณะด้อยนั้นไม่ได้หายไปไหน เมื่อใดที่ยีนลักษณะด้อยจับคู่กับยีนลักษณะด้อยด้วยกันเอง ก็จะปรากฏลักษณะด้อย (พันธุ์แท้) นั้นออกมา
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
5 |
|
5. แสงสีม่วง ส่งผลต่อการเจริญและสร้างผลผลิตพืชทุกชนิด และทุกระยะ |
|
แสงสีม่วงมีความเข้มสูงซึ่งหมายถึงว่าพืชจะได้รับโฟตอนที่มากกว่าและสามารถสังเคราะห์แสงได้มีประสิทธิภาพมากกว่า
|
พืชที่สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้ จะต้องมีสารที่มีความสามารถในการดูดกลืนพลังงานแสง (รงควัตถุ) แล้วนำพลังงานนั้นไปใช้ในการทำปฏิกิริยาเคมี โดยทำให้เกิดการแตกตัวของน้ำ ทำให้ได้ออกซิเจน อีเลคตรอนและโปรตอนออกมา และทำให้เกิดการเปลี่ยน คาร์บอนไดออกไซด์เป็นน้ำตาลต่อไป
รงควัตถุที่ใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง การดูดกลืนแสงของรงควัตถุ
รงควัตถุที่ใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงก็มีความสามารถในการดูดกลืนแสงในช่วงคลื่นต่างๆ กัน เมื่อมีแสงในช่วงที่พืชต้องการส่องมายังใบพืชที่มีรงควัตถุอยู่ จะเกิดกระบวนการสังเคราะห์แสง ทำให้เกิดการสร้างอาหารในพืช แสงธรรมชาติที่มาจากดวงอาทิตย์ ประกอบด้วยสเปกตรัมของแสง ในช่วงความยาวคลื่นแสงระหว่าง 200-5000 นาโนเมตร (nm)
การที่แสงมีความยาวคลื่นแตกต่างกัน ทำให้เกิดสีที่แตกต่างกันไปด้วย แสงที่พืชนำมาใช้ประโยชน์ในการสังเคราะห์ด้วยแสง คือแสงในช่วงที่มนุษย์มองเห็น ซึ่งเป็นแสงที่มีความยาวคลื่น 380-770 นาโนเมตร ปริมาณของแสง (ความเข้มแสง) คือจำนวนพลังงานรวมที่แสงผลิตออกมา จะอยู่ในรูปของพลังงานต่อพื้นที่ มีหน่วยเป็น วัตต์ต่อตารางเมตร (W/m2) หรือในเทอมของจำนวนโฟตอน มีหน่วยเป็นไมโครโมลต่อตารางเมตรต่อวินาที (μmol /m2/ s)
ในส่วนของความเข้มแสงนั้น ยิ่งแสงมีความเข้มมาก ก็จะยิ่งมีพลังงานมาก ทำให้พืชสังเคราะห์แสงได้มากขึ้น หากแสงมีความเข้มมาก แต่ความยาวคลื่นแสงไม่ตรงกับที่พืชต้องการก็จะไม่เกิดกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
6 |
|
4. สัตว์มีกระดูกสันหลังทุกชนิดมี Neural Tube |
|
Neural Tube คือ สมองของสัตว์มีกระดูกสันหลังขณะที่ยังเป็นตัวอ่อน จะมีลักษณะเป็นหลอดกลวงซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ สมองส่วนหน้า ส่วนกลางและส่วนหลัง
|
Induction of neural plate เป็นขั้นตอนการเหนี่ยวนำให้เนื้อเยื่อบุผิวชั้นนอก (Ectoderm) ของเซลล์ตัวอ่อนในบริเวณตอนกลางทางด้านหลังของลำตัวให้กลายเป็น neural plate ซึ่งเป็นส่วนของเนื้อเยื่อที่จะเจริญไปเป็น หลอดประสาท (Neural tube) และระบบประสาทกลางในอนาคต รวมถึงการเหนี่ยวนำให้ส่วนต่างๆ ของ neural tube ตอนหน้ากลายเป็นสมองบริเวณต่างๆ และในตอนท้ายกลายเป็นไขสันหลัง
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
7 |
|
4. ปลาการ์ตูนสามารถเปลี่ยนเพศได้ โดยตัวผู้จะมีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย |
|
สังคมของปลาการ์ตูนกลุ่มหนึ่ง ๆ มีเพศเมียเพียงตัวเดียวเท่านั้น ความแตกต่างระหว่างเพศของปลาการ์ตูนแยกได้จากสีของลำตัว สีของครีบหลังครีบก้นและครีบอก รวมทั้งสีและความกว้างของแถบที่พาดบนลำตัว ส่วนมากเพศเมียมีสีเข้มและมีลำตัวขนาดใหญ่กว่า มีสีสันที่ไม่สดใสนัก มีพฤติกรรมก้าวร้าว แต่เพศผู้จะมีขนาดเล็กและสีสันสวยงามกว่า จากพฤติกรรมการรวมฝูงของปลาการ์ตูนนี้ ปลาเพศเมียจะเป็น จ่าฝูง คอยปกป้องอาณาเขตที่เป็นที่อาศัยของมัน ถ้าจ่าฝูงตาย ปลาเพศผู้ที่มีอวัยวะเพศเมียซ่อนอยู่ภายในและมีความพร้อมมากที่สุดจะเปลี่ยน มาเป็นเพศเมีย เปลี่ยนเป็นเพศเมียแล้วจะไม่สามารถกลับมา เป็นเพศผู้ได้อีก
|
การจับคู่ปลาการ์ตูนมีความสลับซับซ้อน ตัวเมียจะทำหน้าที่เป็นจ่าฝูงแทนภายใน 4 สัปดาห์ โดยขนาดจะเพิ่มขึ้นแต่สีสันกลับลดลงด้วยกลไกของปลาการ์ตูนที่มีขนาดใหญ่ที่ สุด คือ ไฮโพทาลามัส (Hypothalamus) จะส่งคำสั่งไปยังต่อมใต้สมองให้ทำการหลั่งฮอร์โมนเฉพาะเพศเมีย ซึ่งพัฒนาขึ้นมาเป็นอวัยวะจนสามารถทำงานได้คือ รังไข่ ที่จะทำหน้าที่ผลิตไข่ต่อไป โดยนี่เป็นการเปลี่ยนแปลงเพศแทนที่ ซึ่งต่างจากปลาการ์ตูนที่มีความสมบูรณ์เพศจะเป็นปลาเพศผู้ เมื่อสิ่งเร้าจากภายนอกและภายในเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ เทเลเนเซฟาลอนจะส่งสัญญาณมาที่ฮาลามัสและไฮโพทาลามัสจะส่งคำสั่งไปยังต่อมใต้สมองให้ทำการหลั่งฮอร์โมนเฉพาะเพศผู้ ซึ่งพัฒนาขึ้นมาเป็นอวัยวะจนสามารถทำงานได้คือ อัณฑะที่จะทำหน้าที่ผลิตสเปิร์มต่อไป
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
8 |
|
5. HCG |
|
ฮอร์โมน hCG (Human Chorionic Gonadotrophin Hormone) เป็นฮอร์โมนแห่งการตั้งครรภ์ ผลิตจากรก เป็นฮอร์โมนที่ถูกใช้เพื่อบ่งชี้ถึงการตั้งครรภ์ที่พบได้ในเลือดและปัสสาวะของคุณแม่ การตรวจวัดค่า hCG ค่อนข้างละเอียดอ่อนที่ต้องการใช้ค่าฮอร์โมน hCG ที่มีค่าความเข้มข้นสูงสุดเพื่อนำไปวินิจฉัยผลตั้งครรภ์ที่เป็นบวก จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ผลการตรวจ hCG จะเป็นผลบวกปลอม เนื่องจากค่า hCG มีความแม่นยำสูง และเป็นตัวแปรที่บ่งชี้ถึงการตั้งครรภ์ที่แน่นอน
|
ฮอร์โมน hCG จะผลิตเร็วมากหลังจากมีการปฏิสนธิ และเมื่อเซลล์ไซโกตฝังตัวลงไปที่ผนังมดลูกของคุณแม่ มันจะเริ่มก่อตัวจากเซลล์เล็ก ๆ จนกลายเป็นรกในที่สุด หน้าที่ของฮอร์โมนตัวนี้จะช่วยหล่อเลี้ยงและสนับสนุนไซโกตหรือเซลล์ที่จะกลายเป็นตัวอ่อนในภายหลัง โดยจะดูแลเซลล์จนกว่ารกจะทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์เพื่อทำหน้าที่นี้ต่อไป นอกจากนี้ฮอร์โมนยังทำหน้าที่ส่งสัญญาณให้ร่างกายหยุดการมีประจำเดือน เนื่องจากร่างกายต้องใช้เยื่อบุมดลูกในการหล่อเลี้ยงทารกให้เจริญเติบโต สำหรับผลการตรวจเลือดจะมีความแม่นยำมากกว่าการตรวจค่า hCG ในปัสสาวะ ซึ่งทำให้ตรวจพบค่า hCG ได้เร็วกว่า เนื่องจากปัสสาวะอาจจะเจือจางเกินกว่าจะหาค่าได้
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
9 |
|
5. วัคซีนจากพืช (ใบกัญชา ชนิดยาสูบ) นอกจากหวังผลในด้านการผลิตในปริมาณมากแล้ว ยังลดความเสี่ยงของการกลายพันธุ์ที่เกิดจากไวรัส Covid-19 ด้วย |
|
-กระบวนการผลิตวัคชีนที่ใช้พีช สามารถผลิตเป็นจำนวนครั้งละมาก ๆ ได้ และสามารถยกระดับจากการผลิตวัคซีนในห้องทดลอง มาเป็นการผลิตวัคชีนระดับอุตสาหกรรมได้ทันที
-การผลิตวัคชีนจากใบยาสูบนี้สามารถผลิตได้ประมาณ 10,000 โดสต่อเดือน ในห้องทดลองขนาดเล็กเท่านั้น จึงนับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคระบาดในอนาคต
|
-เทคนิคการใช้พืชเพื่อผลิตโปรตีนนั้น มีการใช้ในหลายประทศ โดยใบยาสูบที่นำมาใช้นั้นเป็นสายพันธุ์ที่มีนิโคตินระดับต่ำมาก
-วัคซีนใบยาได้ผ่านการทดสอบในหนูและลิง ด้วยการฉีด 2 เข็มห่างกัน 3 สัปดาห์ ผลการทดสอบปรากฏว่าลิงมีความปลอดภัย และไม่เกิดผลข้างเคียงใด ๆ
-ผลเลือดในลิงที่ใช้ทดลองมีค่าเอนไซม์ตับปกติ อีกทั้งจำนวนเม็ดเดือดแดงและเม็ดเลือดขาวอยู่ในเกณฑ์ปกติ นอกจากนี้เมื่อนำเปปไทด์ไปกระตุ้นเซลล์ของลิงพบว่า มีการกระตุ้น T Cell ได้ดี ซึ่งนับว่าการทดลองดังกล่าวประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
10 |
|
5. ปัจจุบันกระท่อม และกัญชายังจัดเป็นยาเสพติดประเภท 5 |
|
พืชกระท่อมเป็น 1 ในพืช 4 ชนิดที่อยู่ในบัญชียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ของ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ได้แก่ กัญชา พืชกระท่อม พืชฝิ่น และเห็ดขี้ควาย
|
ประเทศไทยออกกฎหมายควบคุมการครอบครอง ปลูก เสพ ซื้อ ขายพืชกระท่อมเป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 8 เมื่อมีการตรา พ.ร.บ. พืชกระท่อม พ.ศ. 2486 ระบุว่า "ห้ามผู้ใดเสพ ปลูก มี ซื้อ ขาย ให้ หรือแลกเปลี่ยนพืชกระท่อม เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงาน เพื่อประโยชน์ในการประกอบโรคศิลป์หรือวิทยาศาสตร์ ผู้ใดฝ่าฝืน มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 200 บาทหรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ" อย่างไรก็ตามผู้ศึกษาเกี่ยวกับพืชกระท่อมวิเคราะห์ว่า การออกกฎหมายให้กระท่อมเป็นยาเสพติดต้องห้ามในสมัยนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าและภาษีของรัฐ เนื่องจากฝิ่นที่รัฐเป็นผู้ผูกขาดการผลิตมีราคาแพง ทำให้คนหันมาสูบกระท่อมแทนฝิ่น มิใช่เป็นการออกกฎหมายเพื่อป้องกันการเสพติดพืชกระท่อม เมื่อมีการออก พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 พืชกระท่อมก็ถูกควบคุมอย่างต่อเนื่องในฐานะ "ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5" ซึ่งมีพืชเสพติดจัดอยู่ในประเภทนี้ทั้งหมด 4 ชนิด นอกจากกระท่อมแล้วก็มีกัญชา ฝิ่นและเห็ดขี้ควาย
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
11 |
|
1. การถ่ายทอดไม่เป็นไปตามกฎของเมนเดล |
|
เรียกว่าทายกรรมคือการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมใดๆ ที่ไม่กระจุกตัวอยู่ในประชากรตามกฎของเมนเดล
|
กฎของเมนเดลที่กล่าวถึงนี้อธิบายการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมที่เชื่อมโยงกับยีนหนึ่งๆ ยีนเดียว (single gene) บนโครโมโซมในนิวเคลียส ถ้าเป็นการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นไปตามกฎของเมนเดล พ่อและแม่แต่ละคนจะส่งต่ออัลลีลอย่างหนึ่งในสองอย่างที่มีเพื่อถ่ายทอดลักษณะ ถ้าสามารถทราบถึงจีโนไทป์ (ลักษณะพันธุกรรม) ของพ่อและแม่ได้ จะสามารถใช้กฎของเมนเดลทำนายอัตราการกระจายของฟีโนไทป์ (ลักษณะปรากฏ) ที่คาดว่าจะพบในประชากรรุ่นลูกได้ ทั้งนี้ มีหลายๆ สถานการณ์ ที่ทำให้สัดส่วนของฟีโนไทป์ที่พบในรุ่นลูก ไม่เป็นไปตามที่ทำนายไว้ เช่นนี้จึงเรียกว่า "ไม่เป็นไปตามกฎของเมนเดล"
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
12 |
|
3. Degree of freedom เท่ากับ 4 |
|
|
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
13 |
|
1. เป็นโครงสร้างที่พบที่เยื่อหุ้มเซลล์ของไวรัส |
|
|
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
14 |
|
|
|
|
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
15 |
|
|
|
|
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
16 |
|
|
|
|
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
17 |
|
|
|
|
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
18 |
|
|
|
|
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
19 |
|
|
|
|
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
20 |
|
|
|
|
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|