1 |
|
จ. คาร์โบไฮเดรต |
|
เพราะมีคุณสมบัติละลายน้ำได้และเป็นพอลิเมอร์ จึงไม่ใช่สารพวกไขมัน และไม่มีหมู่ฟังก์ชันอะมิโนที่เป็นหมู่ฟังก์ชันของสารจำพวกโปรตีน จากภาพโคงสร้างเห็นเป็นน้ำตาลโมเลกุลต่อๆกันไม่มีหมู่ฟอสเฟตและเบสที่เป็นองค์ประกอบของกรดนิวคลีอิก
|
อินนูลิน (inulin) คือ คาร์โบไฮเดรต (carbohydrate) ประเภทพอลิแซ็กคาไรด์ (polysaccharide)
โมเลกุลเป็นเฮเทอโรพอลิแซ็กคาไรด์ ( heteropolysaccharide) คือ มีโมเลกุลของน้ำตาลมากกว่า 1 ชนิดมาเชื่อมต่อกัน โดยเป็นพอลิเมอร์ของน้ำตาลฟรักโทส (fructose) จึงอาจเรียกว่า ฟรักแทน (fructans) แต่มีโมเลกุลที่ปลายสุดด้านหนึ่งเป็นน้ำตาลกลูโคส (glucose)
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
2 |
|
ง. 2 และ 3 |
|
ข้อ 1 ผิด เพราะอินซูลินมากไม่ได้ทำให้เกิดเบาหวาน คนที่เป็นเบาหวานเกิดจาก 2 กรณีหลัก ๆ คือ 1.ตับอ่อนไม่ผลิตอินซูลินเพื่อมาดึงน้ำตาลในเลือดไปเก็บ 2.เซลล์ไม่ตอบสนองต่ออินซูลินที่ผลิตออกมา
ข้อ 4 ผิด เพราะการฉีดอินซูลินไม่ใช้การเพิ่มปริมาณกลูโคส แต่เพื่อต้องการให้อินซูลินเข้าไปจับกับกลูโคสและนำไปเก็บในรูปglocogenที่ตับและกล้ามเนื้อลาย แบบที่ข้อ 2 ได้กล่าวไว้
|
โรคเบาหวานแบ่งเป็น 4 ประเภท ดังนี้
โรคเบาหวานชนิดที่ 1
พบในเด็กหรือผู้ที่มีอายุน้อยส่วนใหญ่น้อยกว่า 30 ปี มักผอม ตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ ต้องรักษาด้วยการฉีดอินซูลิน ถ้าขาดอินซูลินจะเกิดภาวะหมดสติจากน้ำตาลสูงและกรดคีโตนคั่งในเลือด ในประเทศไทยพบผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ร้อยละ 3.4
โรคเบาหวานชนิดที่ 2
พบมากถึงประมาณร้อยละ 95-97 ของผู้เป็นเบาหวานในประเทศไทย ผู้เป็นส่วนใหญ่มักอ้วน อายุมากกว่า 40 ปี ตับอ่อนยังพอผลิตอินซูลินได้บ้าง แต่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ในระยะแรกอาจรักษาได้ด้วยการควบคุมอาหารหรือยาเม็ดลดลดระดับน้ำตาล แต่เมื่อเป็นเวลานานๆ ในบางรายมีเบต้าเซลล์เสื่อม ทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีอาจจำต้องฉีดอินซูลิน
ปัจจุบันนี้พบในเด็กมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กอ้วนเนื่องจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป มีการรับประทานอาหารที่มีไขมันมาก ขาดการออกกำลังกาย มักจะนั่งหน้าจอโทรทัศน์หรือจอคอมพิวเตอร์แทนการวิ่งเล่น หรือการเล่นกีฬา
โรคเบาหวานชนิดอื่นที่มีสาเหตุเฉพาะ
ได้แก่ โรคเบาหวานที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม โรคของตับอ่อน ความผิดปกติของฮอร์โมน การได้รับยาบางชนิด เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์ หรือสารเคมี เป็นต้น
โรคเบาหวานที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์
โรคเบาหวานชนิดนี้ผู้เป็นจะต้องไม่มีประวัติเป็นโรคเบาหวานมาก่อนตั้งครรภ์ ในช่วงระหว่างการตั้งครรภ์จะมีฮอร์โมนจากรกซึ่งมีฤทธิ์ต้านอินซูลินเป็นผลให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินลดลง ถ้าไม่สามารถเพิ่มการสร้างอินซูลินให้เพียงพอจะทำให้เกิดเป็นโรคเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ได้ หลังคลอดมักจะพบว่าโรคเบาหวานหายไป แต่เมื่อติดตามต่อไปพบว่าหญิงที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้มากจึงสมควรให้มีการติดตามเพื่อตรวจหาเบาหวานเป็นระยะ
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
3 |
|
ง. เอนไซม์ช่วยให้เจลาตินแข็งตัวเร็วขึ้นในpHที่เหมาะสม |
|
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
4 |
|
ข. ในร่างกายมนุษย์จะไม่พบโปรตีนที่มีกรดอะมิโนXและYเป็นองค์ประกอบ |
|
เพราะกรดอะมิโนที่โจทย์กำหนดให้เป็นกรดอะมิโนจำเป็น ไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ภายในร่างกาย
ข้อ ค.และจ. ผิด เพราะหากเพปไทด์เกิดจากกรดอะมิโนทั้ง3ตัว จะเกิดพันธะแค่2พันธะ และได้น้ำ 2 โมเลกุลจากการ Dehydration
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
5 |
|
ค |
|
ข้อ ก. ผิด เพราะ การเรียกชื่อจะเรียกตามจำนวนกรดอะมิโนที่มี ถ้ามี 3 ชนิดจึงจะเรียกว่า ไตรเพปไทด์
ข้อ ข ผิด เพราะ CและOไม่ได้เกิดพันธะไฮโดรเจน
ข้อ ง ผิด เพราะ โปรตีนก้อนกลมจะละลายน้ำได้ดี
ข้อ จ ผิด เพราะ ต้องเป็นแบบลำดับที่ 4
|
โครงสร้างของโปรตีน
1 โครงสร้างปฐมภูมิ (primary sturcture)
เป็นโครงสร้างหลักพื้นฐานของโปรตีน เกิดจากการเชื่อมต่อกันของกรดอะมิโน (amino acid) เป็นสายยาว ระหว่างกรดอะมิโนเชื่อมต่อกันด้วยพันธะเปปไทด์ (peptide) เกิดเป็นโพลีเปปไทด์ โดยมีปลายด้านหนึ่งของสาย เป็นปลายอะมิโน (amino end) และปลายอีกด้านหนึ่งเป็น ปลายคาร์บอกซิล (carboxyl end) ชนิด และ การเรียงลำดับของ กรดอะมิโนในสายของโพลีเปปไทด์มีความเฉพาะเจาะจง ทำให้เกิดเป็นโปรตีนชนิดต่างๆมากมาย การย่อยสลายโครงสร้างปฐมภูมิของโปรตีนทำให้ได้กรดอะมิโน (amino acid) และ โปรตีนสายสั้น เช่น dipeptideแต่ความร้อนระดับการหุงต้ม ไม่สามารถทำลายโครงสร้างปฐมภูมิได้
2 โครงสร้างลำดับที่สอง หรือ โครงสร้างทุติยภูมิ (secondary structure)
เป็นโครงสร้างที่เกิดจากกรดอะมิโน ((amino acid) ที่อยู่ภายในสายโพลีเปปไทด์เดียวกัน ทำปฏิกิริยากันด้วยพันธะไฮโดรเจน ซึ่งเกิดขึ้นในตำแหน่งที่เว้นระยะห่างสม่ำเสมอทำให้เกิดโครงสร้างสามมิติของโปรตีนที่ มี 2 รูปแบบหลักคือ
· แบบเกลียวอัลฟา (alpha helix) ซึ่งมีลักษณะเป็นเป็นเกลียวขดคล้ายสปริงเกลียวแอลฟาเป็นโครงสร้างพื้นฐานทั้งในโปรตีนเส้นใย (fibrous protein)
และในโปรตีนก้อนกลม (globular protein)
แบบ beta sheetsหรือpleated sheetซึ่งเป็นแผ่นพับซ้อนกันไปมา
3. โครงสร้างลำดับที่สาม (tertiary structure) เป็นโครงสร้างที่เกิดขี้นภายหลังจากที่เกิดโครงสร้างลำดับสองแล้ว เป็นโครงสร้างที่เกิดเนื่องจากพันธะต่างๆ ระหว่าง หมู่ R (side chain ) ต่างๆ ของกรดแอมิโนสายของเดียวกัน เช่น
พันธะไอออนิกเกิดระหว่างหมู่ R ของกรดแอมิโนที่มีประจุบวกและประจุลบ
พันธะไฮโดรเจน
พันธะไดซัลไฟด์ (disulfide bond) เป็นพันธะโควาเลนท์ที่เกิดจากหมู่ไทออล (thiol group) ของ กรดแอมิโน ซิสเตอีน (cysteine)
2 โมเลกุล
แรงดึงดูดระหว่างหมู่ที่ไม่ชอบน้ำ และแรงแวนเดอร์วาล (hydrophobic and van der waal interaction)
ทำให้พอลิเพปไทด์พับไปมา มีรูปร่างเปลี่ยนไป ตามชนิด และแรงดึงดูดของพันธะ
4. โครงสร้างลำดับที่สี่ (quaternary structure) เกิดจากการรวมกันของสายพอลิเพปไทด์มากกว่า 1 สาย ด้วยแรงดึงดูดอย่างอ่อน
ระหว่างหมู่ R ระหว่างสายพอลิเพปไทด์ ที่ยังไม่เกิดพันธะ ซึ่งอยู่บริเวณผิวด้านนอกของโครงสร้าง โครงสร้างลำดับท่ีสี่นี้พบในโมเลกุลของเอนไซม์ (enzyme)
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
6 |
|
A แอลกอฮอล์(กลีเซอรอล)
B กรดไขมัน
C ไขมันหรือน้ำมัน |
|
สารตั้งต้นของการเกิดไขมันหรือน้ำมัน คือ กลีเซอรอลและกรดไขมัน 1-3 โมเลกุลมาเกิด Dehydration กัน และได้ผลิตภัณฑ์เป็นไขมันและน้ำ
|
ไขมันและน้ำมันเป็นเอสเทอร์ชนิดหนึ่งซึ่งมีอยู่ในธรรมชาติ จัดว่าเป็นสารอินทรีย์ประเภทเดียวกับไข (Wax) รวมเรียกว่า ไลปิด (Lipid)ไลปิด เป็นเอสเทอร์ที่โมเลกุลมีขนาดใหญ่ไม่มีขั้วจึงไม่ละลายน้ำ แต่ละลายได้ในตัวทำละลายไม่มีขั้ว คือตัวทำละลายอินทรีย์ เช่น คลอโรฟอร์ม อีเทอร์ โพรพาโนน เบนซีน เป็นต้น
ไลปิดซึ่งแบ่งเป็นไขมันและน้ำมันนั้นอาศัยสถานะเป็นเกณฑ์ ไขมันจะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้อง ในขณะที่น้ำมันจะเป็นของเหลว ทั้งไขมันและน้ำมันมีโครงสร้างอย่างเดียวกัน คือ เป็นเอสเทอร์ที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างกลีเซอรอล กับกรดไขมัน
กลีเซอรอล (glycerol ) เป็นสารประเภทแอลกอฮอล์
กรดไขมัน (fatty acid) เป็นสารประเภทกรดอินทรีย์
เอสเทอร์ที่เป็นไขมัน และน้ำมัน เรียกกันทั่ว ๆ ไปว่ากลีเซอไรด์ (glyceride) หรือ กลีเซอริล เอสเทอร์ (glyceryl ester)
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
7 |
|
ก |
|
เพราะ Z ใช้จำนวนหยดไอโอดีนมาก นั่นคือสามารถเจืองจางได้น้อย แปลว่ามีความอิ่มตัวมาก หรือเป็นไขมันอิ่มตัว ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพทำให้เกิดโรคได้
และ W เป็นไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งมีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวต่ำ จึงเหมาะกับการใช้ไฟอ่อนและใช้เวลานานได้เพราะดีต่อสุขภาพมากกว่า
|
วิธีการทดสอบกับไอโดดีน (I2) เนื่องจากไอโอดีนสามารถเข้าทำปฏิกิริยากับกรดไขมันไม่อิ่มตัวในบริเวณที่เป็นพันธะคู่ระหว่างอะตอมคาร์บอน เกิดเป็นสารใหม่ที่ไม่มีสี ดังนั้นหากสารใดที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวอยู่มากก็จะยิ่งสามารถฟอกจากสีของไอโอดีนให้เจือจางลงได้มาก
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
8 |
|
จ |
|
ไขมันที่แข็งตัวได้ง่ายคือไขมันอิ่มตัวมาก เหม็นหืนยาก และต้องมีจุดหลอมเหลวสูง ข้อ 2และ3 จึงถูก
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
9 |
|
จ. น้ำมันมะกอกประกอบด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวมากกว่าน้ำมันหมูหรือไขวัว |
|
น้ำมันมะกอกมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวมากที่สุด
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
10 |
|
ก. ไข่ขาว , น้ำตาลทราย , เอทิลแอซิเตต |
|
การทดลองXคือ Biuret test ซึ่งใช้ทดสอบโปรตีน ถ้าหากพบโปรตีนจะทำให้สาละลายเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นม่วง ไข่ขาวเป็นโปรตีนจึงเกิดได้
การทดลองYคือ การทดสอบน้ำตาล น้ำตาลทรายเป็นSucrose จึงต้องมีการต้มกับกรดก่อนจึงจะทำปฏิกิริยากับเบเนดิกต์ได้เป็ฯตะกอนสีส้มอิฐ
ข้อก.จึงถูกต้อง
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
11 |
|
ข. ข้อ 1 และ ข้อ 2 ถูก |
|
ข้อ ค ผิด เพราะ cellulose เป็น beta 1-4 glycosidic linkage
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
12 |
|
ค. มีข้อถูก 3 ข้อ |
|
ข้อ4ผิดข้อเดียวเพราะ ไขมันที่อยู่ในเลือดไม่ได้ทำลายวิตามินแต่ไปพอกเส้นเลือดทำให้เกิดการอุดตัน
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
13 |
|
X hydrolysis
Y dehydration
Z การแตกตัว |
|
X hydrolysis คือการเสียโครงสร้างปฐมภูมิของโปรตีน
Y dehydration คือการรวมกันของmonosaccharideเป็นdisaccharide
Z การแตกตัว คือการแตกตัวของไขมัน
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
14 |
|
2 |
|
มีจุดที่มีหมู่ฟังกชันอะมิโนใน1โมล2จุด
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
15 |
|
ข. มีข้อถูก 2 ข้อ |
|
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
16 |
|
ข. กรดอะมิโน น้ำตาลทราย ไข่ขาว |
|
Zไม่เกิดปฏิกิริยากับไอโอดีนแปลว่าไม่มีน้ำตาลเป็นองค์ประกอบ ข้ออื่นจึงผิด
|
การทดสอบสารชีวโมเลกุล
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
17 |
|
จ. ไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัว ไฮโดรคาร์บอนไม่อิ่มตัว กรดคาร์บอกซิลิก แป้ง |
|
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
18 |
|
ก. W, X และ Y |
|
W X Y เป็นน้ำตาลจึงสามารถเกิดปฏิกิริยากับเบเนดิต์ให้ตะกอนสีแดงอิฐได้
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
19 |
|
จ. กรดอะมิโน |
|
กรดอะมิโนเมื่อละลายนําแล้ว หมู่อะมิโนจะแตกตัวให้เบส และหมู่คาร์บอกซิลจะแตกตัวให้กรด
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
20 |
|
3. พืชไม่สามารถเกิดปฏิกิริยา photolysis จึงทำให้ไม่เกิด O2 ขึ้น |
|
|
|
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
21 |
|
3. มีสารพันธุกรรมเช่นเดียวกับเชื้อก่อโรค Influenza , AIDS |
|
ไวรัสไม่จัดว่าเป็นเซลล์เพราะไม่มีเยื้อหุ้มเซลล์ ไม่สามารถเติบโตหรือแพร่พันธุ์นอกเซลล์อื่นได้ มีคุณสมบัติเดียวคือแพร่พันธุ์ได้ในโฮสต์เพราะมีสารพันธุกรรม
|
|
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
22 |
ข้อใด ไม่ถูกต้อง เกี่ยวกับอะไมโลสและอะไมเลส
|
ก. อะไมโลส จัดเป็นพอลิแซ็กคาไรด์แบบโซ่ตรง ที่สามารละลายน้ำได้ |
|
ก ผิด เพราะอะไมโลสเป็นpolysaccharideที่ไม่ละลายน้ำ
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
23 |
|
3. Gene นี้พบใน prokaryote |
|
|
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
24 |
|
4. Cellular metabolism |
|
|
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
25 |
|
1. Operon |
|
|
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|