ตรวจข้อสอบ > พิชญธิดา ชิงถ้วยทอง > ชีวเคมีเชิงวิทยาศาสตร์การแพทย์ | Biochemistry > Part 1 > ตรวจ

ใช้เวลาสอบ 57 นาที

Back

# คำถาม คำตอบ ถูก / ผิด สาเหตุ/ขยายความ ทฤษฎีหลักคิด/อ้างอิงในการตอบ คะแนนเต็ม ให้คะแนน
1


จ. คาร์โบไฮเดรต

เพราะมีคุณสมบัติละลายน้ำได้และเป็นพอลิเมอร์ จึงไม่ใช่สารพวกไขมัน และไม่มีหมู่ฟังก์ชันอะมิโนที่เป็นหมู่ฟังก์ชันของสารจำพวกโปรตีน จากภาพโคงสร้างเห็นเป็นน้ำตาลโมเลกุลต่อๆกันไม่มีหมู่ฟอสเฟตและเบสที่เป็นองค์ประกอบของกรดนิวคลีอิก

อินนูลิน (inulin) คือ คาร์โบไฮเดรต (carbohydrate) ประเภทพอลิแซ็กคาไรด์ (polysaccharide) โมเลกุลเป็นเฮเทอโรพอลิแซ็กคาไรด์ ( heteropolysaccharide) คือ มีโมเลกุลของน้ำตาลมากกว่า 1 ชนิดมาเชื่อมต่อกัน โดยเป็นพอลิเมอร์ของน้ำตาลฟรักโทส (fructose) จึงอาจเรียกว่า ฟรักแทน (fructans) แต่มีโมเลกุลที่ปลายสุดด้านหนึ่งเป็นน้ำตาลกลูโคส (glucose)

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

2


ง. 2 และ 3

ข้อ 1 ผิด เพราะอินซูลินมากไม่ได้ทำให้เกิดเบาหวาน คนที่เป็นเบาหวานเกิดจาก 2 กรณีหลัก ๆ คือ 1.ตับอ่อนไม่ผลิตอินซูลินเพื่อมาดึงน้ำตาลในเลือดไปเก็บ 2.เซลล์ไม่ตอบสนองต่ออินซูลินที่ผลิตออกมา ข้อ 4 ผิด เพราะการฉีดอินซูลินไม่ใช้การเพิ่มปริมาณกลูโคส แต่เพื่อต้องการให้อินซูลินเข้าไปจับกับกลูโคสและนำไปเก็บในรูปglocogenที่ตับและกล้ามเนื้อลาย แบบที่ข้อ 2 ได้กล่าวไว้

โรคเบาหวานแบ่งเป็น 4 ประเภท ดังนี้ โรคเบาหวานชนิดที่ 1 พบในเด็กหรือผู้ที่มีอายุน้อยส่วนใหญ่น้อยกว่า 30 ปี มักผอม ตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ ต้องรักษาด้วยการฉีดอินซูลิน ถ้าขาดอินซูลินจะเกิดภาวะหมดสติจากน้ำตาลสูงและกรดคีโตนคั่งในเลือด ในประเทศไทยพบผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ร้อยละ 3.4 โรคเบาหวานชนิดที่ 2 พบมากถึงประมาณร้อยละ 95-97 ของผู้เป็นเบาหวานในประเทศไทย ผู้เป็นส่วนใหญ่มักอ้วน อายุมากกว่า 40 ปี ตับอ่อนยังพอผลิตอินซูลินได้บ้าง แต่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ในระยะแรกอาจรักษาได้ด้วยการควบคุมอาหารหรือยาเม็ดลดลดระดับน้ำตาล แต่เมื่อเป็นเวลานานๆ ในบางรายมีเบต้าเซลล์เสื่อม ทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีอาจจำต้องฉีดอินซูลิน ปัจจุบันนี้พบในเด็กมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กอ้วนเนื่องจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป มีการรับประทานอาหารที่มีไขมันมาก ขาดการออกกำลังกาย มักจะนั่งหน้าจอโทรทัศน์หรือจอคอมพิวเตอร์แทนการวิ่งเล่น หรือการเล่นกีฬา โรคเบาหวานชนิดอื่นที่มีสาเหตุเฉพาะ ได้แก่ โรคเบาหวานที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม โรคของตับอ่อน ความผิดปกติของฮอร์โมน การได้รับยาบางชนิด เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์ หรือสารเคมี เป็นต้น โรคเบาหวานที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ โรคเบาหวานชนิดนี้ผู้เป็นจะต้องไม่มีประวัติเป็นโรคเบาหวานมาก่อนตั้งครรภ์ ในช่วงระหว่างการตั้งครรภ์จะมีฮอร์โมนจากรกซึ่งมีฤทธิ์ต้านอินซูลินเป็นผลให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินลดลง ถ้าไม่สามารถเพิ่มการสร้างอินซูลินให้เพียงพอจะทำให้เกิดเป็นโรคเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ได้ หลังคลอดมักจะพบว่าโรคเบาหวานหายไป แต่เมื่อติดตามต่อไปพบว่าหญิงที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้มากจึงสมควรให้มีการติดตามเพื่อตรวจหาเบาหวานเป็นระยะ

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

3


ง. เอนไซม์ช่วยให้เจลาตินแข็งตัวเร็วขึ้นในpHที่เหมาะสม

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

4


ข. ในร่างกายมนุษย์จะไม่พบโปรตีนที่มีกรดอะมิโนXและYเป็นองค์ประกอบ

เพราะกรดอะมิโนที่โจทย์กำหนดให้เป็นกรดอะมิโนจำเป็น ไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ภายในร่างกาย ข้อ ค.และจ. ผิด เพราะหากเพปไทด์เกิดจากกรดอะมิโนทั้ง3ตัว จะเกิดพันธะแค่2พันธะ และได้น้ำ 2 โมเลกุลจากการ Dehydration

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

5


ข้อ ก. ผิด เพราะ การเรียกชื่อจะเรียกตามจำนวนกรดอะมิโนที่มี ถ้ามี 3 ชนิดจึงจะเรียกว่า ไตรเพปไทด์ ข้อ ข ผิด เพราะ CและOไม่ได้เกิดพันธะไฮโดรเจน ข้อ ง ผิด เพราะ โปรตีนก้อนกลมจะละลายน้ำได้ดี ข้อ จ ผิด เพราะ ต้องเป็นแบบลำดับที่ 4

โครงสร้างของโปรตีน 1 โครงสร้างปฐมภูมิ (primary sturcture) เป็นโครงสร้างหลักพื้นฐานของโปรตีน เกิดจากการเชื่อมต่อกันของกรดอะมิโน (amino acid) เป็นสายยาว ระหว่างกรดอะมิโนเชื่อมต่อกันด้วยพันธะเปปไทด์ (peptide) เกิดเป็นโพลีเปปไทด์ โดยมีปลายด้านหนึ่งของสาย เป็นปลายอะมิโน (amino end) และปลายอีกด้านหนึ่งเป็น ปลายคาร์บอกซิล (carboxyl end) ชนิด และ การเรียงลำดับของ กรดอะมิโนในสายของโพลีเปปไทด์มีความเฉพาะเจาะจง ทำให้เกิดเป็นโปรตีนชนิดต่างๆมากมาย การย่อยสลายโครงสร้างปฐมภูมิของโปรตีนทำให้ได้กรดอะมิโน (amino acid) และ โปรตีนสายสั้น เช่น dipeptideแต่ความร้อนระดับการหุงต้ม ไม่สามารถทำลายโครงสร้างปฐมภูมิได้ 2 โครงสร้างลำดับที่สอง หรือ โครงสร้างทุติยภูมิ (secondary structure) เป็นโครงสร้างที่เกิดจากกรดอะมิโน ((amino acid) ที่อยู่ภายในสายโพลีเปปไทด์เดียวกัน ทำปฏิกิริยากันด้วยพันธะไฮโดรเจน ซึ่งเกิดขึ้นในตำแหน่งที่เว้นระยะห่างสม่ำเสมอทำให้เกิดโครงสร้างสามมิติของโปรตีนที่ มี 2 รูปแบบหลักคือ · แบบเกลียวอัลฟา (alpha helix) ซึ่งมีลักษณะเป็นเป็นเกลียวขดคล้ายสปริงเกลียวแอลฟาเป็นโครงสร้างพื้นฐานทั้งในโปรตีนเส้นใย (fibrous protein) และในโปรตีนก้อนกลม (globular protein) แบบ beta sheetsหรือpleated sheetซึ่งเป็นแผ่นพับซ้อนกันไปมา 3. โครงสร้างลำดับที่สาม (tertiary structure) เป็นโครงสร้างที่เกิดขี้นภายหลังจากที่เกิดโครงสร้างลำดับสองแล้ว เป็นโครงสร้างที่เกิดเนื่องจากพันธะต่างๆ ระหว่าง หมู่ R (side chain ) ต่างๆ ของกรดแอมิโนสายของเดียวกัน เช่น พันธะไอออนิกเกิดระหว่างหมู่ R ของกรดแอมิโนที่มีประจุบวกและประจุลบ พันธะไฮโดรเจน พันธะไดซัลไฟด์ (disulfide bond) เป็นพันธะโควาเลนท์ที่เกิดจากหมู่ไทออล (thiol group) ของ กรดแอมิโน ซิสเตอีน (cysteine) 2 โมเลกุล แรงดึงดูดระหว่างหมู่ที่ไม่ชอบน้ำ และแรงแวนเดอร์วาล (hydrophobic and van der waal interaction) ทำให้พอลิเพปไทด์พับไปมา มีรูปร่างเปลี่ยนไป ตามชนิด และแรงดึงดูดของพันธะ 4. โครงสร้างลำดับที่สี่ (quaternary structure) เกิดจากการรวมกันของสายพอลิเพปไทด์มากกว่า 1 สาย ด้วยแรงดึงดูดอย่างอ่อน ระหว่างหมู่ R ระหว่างสายพอลิเพปไทด์ ที่ยังไม่เกิดพันธะ ซึ่งอยู่บริเวณผิวด้านนอกของโครงสร้าง โครงสร้างลำดับท่ีสี่นี้พบในโมเลกุลของเอนไซม์ (enzyme)

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

6


A แอลกอฮอล์(กลีเซอรอล) B กรดไขมัน C ไขมันหรือน้ำมัน

สารตั้งต้นของการเกิดไขมันหรือน้ำมัน คือ กลีเซอรอลและกรดไขมัน 1-3 โมเลกุลมาเกิด Dehydration กัน และได้ผลิตภัณฑ์เป็นไขมันและน้ำ

ไขมันและน้ำมันเป็นเอสเทอร์ชนิดหนึ่งซึ่งมีอยู่ในธรรมชาติ จัดว่าเป็นสารอินทรีย์ประเภทเดียวกับไข (Wax) รวมเรียกว่า ไลปิด (Lipid)ไลปิด เป็นเอสเทอร์ที่โมเลกุลมีขนาดใหญ่ไม่มีขั้วจึงไม่ละลายน้ำ แต่ละลายได้ในตัวทำละลายไม่มีขั้ว คือตัวทำละลายอินทรีย์ เช่น คลอโรฟอร์ม อีเทอร์ โพรพาโนน เบนซีน เป็นต้น ไลปิดซึ่งแบ่งเป็นไขมันและน้ำมันนั้นอาศัยสถานะเป็นเกณฑ์ ไขมันจะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้อง ในขณะที่น้ำมันจะเป็นของเหลว ทั้งไขมันและน้ำมันมีโครงสร้างอย่างเดียวกัน คือ เป็นเอสเทอร์ที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างกลีเซอรอล กับกรดไขมัน กลีเซอรอล (glycerol ) เป็นสารประเภทแอลกอฮอล์ กรดไขมัน (fatty acid) เป็นสารประเภทกรดอินทรีย์ เอสเทอร์ที่เป็นไขมัน และน้ำมัน เรียกกันทั่ว ๆ ไปว่ากลีเซอไรด์ (glyceride) หรือ กลีเซอริล เอสเทอร์ (glyceryl ester)

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

7


เพราะ Z ใช้จำนวนหยดไอโอดีนมาก นั่นคือสามารถเจืองจางได้น้อย แปลว่ามีความอิ่มตัวมาก หรือเป็นไขมันอิ่มตัว ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพทำให้เกิดโรคได้ และ W เป็นไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งมีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวต่ำ จึงเหมาะกับการใช้ไฟอ่อนและใช้เวลานานได้เพราะดีต่อสุขภาพมากกว่า

วิธีการทดสอบกับไอโดดีน (I2) เนื่องจากไอโอดีนสามารถเข้าทำปฏิกิริยากับกรดไขมันไม่อิ่มตัวในบริเวณที่เป็นพันธะคู่ระหว่างอะตอมคาร์บอน เกิดเป็นสารใหม่ที่ไม่มีสี ดังนั้นหากสารใดที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวอยู่มากก็จะยิ่งสามารถฟอกจากสีของไอโอดีนให้เจือจางลงได้มาก

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

8


ไขมันที่แข็งตัวได้ง่ายคือไขมันอิ่มตัวมาก เหม็นหืนยาก และต้องมีจุดหลอมเหลวสูง ข้อ 2และ3 จึงถูก

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

9


จ. น้ำมันมะกอกประกอบด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวมากกว่าน้ำมันหมูหรือไขวัว

น้ำมันมะกอกมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวมากที่สุด

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

10


ก. ไข่ขาว , น้ำตาลทราย , เอทิลแอซิเตต

การทดลองXคือ Biuret test ซึ่งใช้ทดสอบโปรตีน ถ้าหากพบโปรตีนจะทำให้สาละลายเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นม่วง ไข่ขาวเป็นโปรตีนจึงเกิดได้ การทดลองYคือ การทดสอบน้ำตาล น้ำตาลทรายเป็นSucrose จึงต้องมีการต้มกับกรดก่อนจึงจะทำปฏิกิริยากับเบเนดิกต์ได้เป็ฯตะกอนสีส้มอิฐ ข้อก.จึงถูกต้อง

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

11


ข. ข้อ 1 และ ข้อ 2 ถูก

ข้อ ค ผิด เพราะ cellulose เป็น beta 1-4 glycosidic linkage

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

12


ค. มีข้อถูก 3 ข้อ

ข้อ4ผิดข้อเดียวเพราะ ไขมันที่อยู่ในเลือดไม่ได้ทำลายวิตามินแต่ไปพอกเส้นเลือดทำให้เกิดการอุดตัน

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

13


X hydrolysis Y dehydration Z การแตกตัว

X hydrolysis คือการเสียโครงสร้างปฐมภูมิของโปรตีน Y dehydration คือการรวมกันของmonosaccharideเป็นdisaccharide Z การแตกตัว คือการแตกตัวของไขมัน

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

14


2

มีจุดที่มีหมู่ฟังกชันอะมิโนใน1โมล2จุด

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

15


ข. มีข้อถูก 2 ข้อ

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

16


ข. กรดอะมิโน น้ำตาลทราย ไข่ขาว

Zไม่เกิดปฏิกิริยากับไอโอดีนแปลว่าไม่มีน้ำตาลเป็นองค์ประกอบ ข้ออื่นจึงผิด

การทดสอบสารชีวโมเลกุล

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

17


จ. ไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัว ไฮโดรคาร์บอนไม่อิ่มตัว กรดคาร์บอกซิลิก แป้ง

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

18


ก. W, X และ Y

W X Y เป็นน้ำตาลจึงสามารถเกิดปฏิกิริยากับเบเนดิต์ให้ตะกอนสีแดงอิฐได้

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

19


จ. กรดอะมิโน

กรดอะมิโนเมื่อละลายนําแล้ว หมู่อะมิโนจะแตกตัวให้เบส และหมู่คาร์บอกซิลจะแตกตัวให้กรด

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

20


3. พืชไม่สามารถเกิดปฏิกิริยา photolysis จึงทำให้ไม่เกิด O2 ขึ้น

10

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

21


3. มีสารพันธุกรรมเช่นเดียวกับเชื้อก่อโรค Influenza , AIDS

ไวรัสไม่จัดว่าเป็นเซลล์เพราะไม่มีเยื้อหุ้มเซลล์ ไม่สามารถเติบโตหรือแพร่พันธุ์นอกเซลล์อื่นได้ มีคุณสมบัติเดียวคือแพร่พันธุ์ได้ในโฮสต์เพราะมีสารพันธุกรรม

10

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

22


ข้อใด ไม่ถูกต้อง เกี่ยวกับอะไมโลสและอะไมเลส

ก. อะไมโลส จัดเป็นพอลิแซ็กคาไรด์แบบโซ่ตรง ที่สามารละลายน้ำได้

ก ผิด เพราะอะไมโลสเป็นpolysaccharideที่ไม่ละลายน้ำ

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

23


3. Gene นี้พบใน prokaryote

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

24


4. Cellular metabolism

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

25


1. Operon

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

ผลคะแนน 45.75 เต็ม 161

แท๊ก หลักคิด
แท๊ก อธิบาย
แท๊ก ภาษา