1 |
|
ข้อ ค. |
|
เพราะคิดว่าข้อ ก ข ง และ จ ผิดตามหลักความเป็น
|
ปี 1897 รัทเทอร์ฟอร์ดจบการศึกษาและเป็นปีที่ทอมสันค้นพบอิเล็กตรอน (เป็นครั้งแรกที่มีการค้นพบว่า ยังมีสิ่งที่เล็กกว่าอะตอม) และในปีถัดมาเขารายงานว่ารังสีที่ยูเรเนียมปล่อยออกมาว่ามีรังสีแอลฟาและบีตา รวมทั้งได้ศึกษาสมบัติบางประการของรังสีดังกล่าว คือพบว่ารังสีแอลฟาเป็นอนุภาคที่มีประจุวก และรังสีบีตาเป็นอนุภาค ที่มีประจุลบ ในระยะนั้น ประจวบว่าตำแหน่ง Macdonald Chair in Physics ในภาควิชาฟิสิกส์ที่ มหาวิทยาลัยแมกกิลล์ (McGill University) เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดาว่างลง เขาจึงไปรับตำแหน่งนี้ที่แคนาดา งานวิจัยของเขาที่นี่ ประสบความสำเร็จสูงมาก และสร้างประเพณีนิยมความสำเร็จด้านฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้มาจนทุกวันนี้
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
2 |
|
ข้อ ค. |
|
เพราะ C จัดเรียงสลับต่อเนื่องทำให้สูญเสีย อิเล็กตรอน ง่าย
|
อิเล็กโตรเนกาติวิตี้ ( Electronegativity ) เป็นค่าสมมติที่แสดงความสามารถในการดึงดูดอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ โดยอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะของอะตอมที่มีขนาดเล็ก จะได้รับแรงดึงดูดจากนิวเคลียสมาก ค่า EN จึงสูง ส่วนอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะของอะตอมที่มีขนาดใหญ่ จะได้รับแรงดึงดูดจากนิวเคลียสน้อย ค่า EN จึงต่ำ
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
3 |
|
ข้อ จ. |
|
เพราะ ธาตุที่อญู่คู่กัน ในข้อ ก ข ค ง ไม่ได้เป็นคู่ไอโซอิเล็กทรอนิก กัน ส่วน ธาตุ จ เป็นไอโซอิเล็กทรอนิก
|
ไอโซอิเล็กทรอนิก (Isoelectronic) หมายถึง ธาตุหรือไออนของธาตุที่มีจำนวนอิเล็กตรอน เท่ากัน เช่น S2- กับ Ar มีอิเล็กตรอนเท่ากับ 18. 3.3 ไอโซโทน (Isotone) หมายถึง อะตอมของธาตุต่างชนิดกันมีนิวตรอนเท่ากัน แต่มีเลขอะตอม และเลขมวลต่างกัน คือ มีผลต่างของเลขมวลกับเลขอะตอม (เลขตัวบน - เลขตัวล่าง) เท่ากัน
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
4 |
|
ข้อ ข. |
|
เพราะ ลองคำนวน แล้วได้ตรงกับข้อ 2
|
การสลายให้กัมมันตรังสี (อังกฤษ: radioactive decay) หรือ การสลายของนิวเคลียส หรือ กัมมันตภาพรังสี (อังกฤษ: nuclear decay หรือ radioactivity) เป็นกระบวนการที่ นิวเคลียสของอะตอมที่ไม่เสถียร สูญเสียพลังงานจากการปลดปล่อยรังสี วัตถุใดที่ปลดปล่อยรังสีด้วยตัวเอง-เช่นอนุภาคแอลฟา, อนุภาคบีตา, รังสีแกมมา และ อิเล็กตรอนจากกระบวนการการแปลงภายใน วัตถุนั้นจะถูกเรียกว่ามี "กัมมันตรังสี"
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
5 |
|
ข้อ ก. |
|
เพราะ ก เป็นแรงลอนดอนไม่มีขั้ว
|
เมื่อโมเลกุลหลายๆ โมเลกุลอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนได้นั้น จะต้องมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลซึ่งยึดแต่ละโมเลกุลเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น น้ำในแก้วหนึ่งประกอบด้วยโมเลกุลของน้ำจำนวนมากโดยที่แต่ละโมเลกุลยึดเหนี่ยวกันในรูปของของเหลว เมื่อให้ความร้อนแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลของน้ำก็จะถูกทำลาย และทำให้โมเลกุลของน้ำเป็นอิสระจากกันได้ จึงอยู่ในสถานะก๊าซ
แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
6 |
|
ข้อ ข. |
|
เพราะ 1 และ 3 ถูกต้อง ส่วนข้อ 2 นั้นกล่าวผิด
|
รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ขึ้นอยู่กับ ทิศทางของพันธะโคเวเลนต์ , ความยาวพันธะ , และมุมระหว่างพันธะโคเวเลนต์รอบอะตอมกลาง
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
7 |
|
ข้อ ง. |
|
เพราะ ข้อ 1-2 กล่าวถูกต้อง ส่วนข้อ 3 กล่าวผิด
|
อิเล็กตรอนในอะตอมที่สามารถมีส่วนร่วมในการสร้างพันธะเคมี[1] สำหรับธาตุหมู่หลัก เวเลนซ์อิเล็กตรอนจะเป็นอิเล็กตรอนในวงนอกสุด (outermost shall) เท่านั้น ส่วนโลหะแทรนซิชัน เวเลนซ์อิเล็กตรอนสามารถเป็นอิเล็กตรอนในวงใน (inner shell) ได้
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
8 |
|
ข้อ ค. |
|
เพราะคำนวนแล้วได้ตรงกับข้อ ค.
|
มวลอะตอมเฉลี่ย = ∑(มวลอะตอมของไอโซโทป × ร้อยละที่พบในธรรมชาติ) 100. มวลอะตอมเฉลี่ย = (20×70)+(23×30) 100 มวลอะตอมเฉลี่ย = 20.90. มวลอะตอมเฉลี่ยจะเป็นมวลที่เกิดจากการเฉลี่ยมวลไฮโซโทปของธาตุที่พบในธรรมชาติทั้งหมด การคานวณหามวลอะตอมเฉลี่ย มวลอะตอมเฉลี่ย = ∑(มวลอะตอมของไอโซโทป × ร้อยละที่พบในธรรมชาติ)
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
9 |
|
ข้อ ค. |
|
เพราะคำนวนแล้วได้ตรงกับข้อ ค.
|
น้ำหนักของธาตุหรือโมเลกุลของสารในหน่วยกรัม โจทย์บอก
มวลอะตอมหรือมวลโมเลกุลของธาตุหรือโมเลกุลของสารในหน่วยกรัม
สูตรที่ใช้คำนวณ ได้แก่ โมล = น้ำหนัก (กรัม)/มวลโมเลกุล(กรัม/โมล)
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
10 |
|
ข้อ ก. |
|
เพราะคำนวนแล้วได้ตรงกับข้อ ก.
|
หน่วยร้อยละของสารละลายสามารถนำมาสรุปเป็นสูตร สำหรับการคำนวณได้ดังนี้ % โดยมวล = (มวลของตัวละลาย/มวลสารละลาย)x100. % โดยปริมาตร = (ปริมาตรของตัวละลาย/ปริมาตรสารละลาย)x100. % โดยมวล/ปริมาตร = (มวลของตัวละลาย/ปริมาตรสารละลาย)x100.
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
11 |
|
ข้อ ข. |
|
เพราะคำนวนแล้วได้ มวลโมเลกุล 95 แล้ว ตรงกับมวลโมเลกุลของ สารในข้อ ข.
|
หน่วยร้อยละของสารละลายสามารถนำมาสรุปเป็นสูตร สำหรับการคำนวณได้ดังนี้ % โดยมวล = (มวลของตัวละลาย/มวลสารละลาย)x100. % โดยปริมาตร = (ปริมาตรของตัวละลาย/ปริมาตรสารละลาย)x100. % โดยมวล/ปริมาตร = (มวลของตัวละลาย/ปริมาตรสารละลาย)x100.
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
12 |
|
ข้อ ก. |
|
เพราะคำนวนแล้วได้ตรงกับข้อ ก.
|
สารที่แตกต่างกันไปจะตอบสนองต่อความร้อนในแนวทางที่ไม่เหมือนกัน ตัวอย่างของประเด็นนี้ในชีวิตจริงที่พบได้ทั่วไปคือวัตถุโลหะที่ถูกทิ้งไว้ในแสงแดดทางตรง โดยเทียบกับน้ำในปริมาณเท่ากันในสภาะเดียวกัน โลหะจะร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่น้ำไม่เป็นเช่นนั้น กล่าวได้คือ น้ำมีความจุความร้อนสูง
ค่าสำหรับของแข็งและของเหลวมีช่วงอยู่ระหว่าง 0.1 ถึง 5 J/gK ความร้อนจำเพาะของสารส่วนมากจะเพิ่มขึ้นตามอุณหภูมิที่สูงขึ้น ดังนั้นการตรวจวัดจึงมักจะดำเนินในช่วงอุณหภูมิที่ค่อนข้างกว้าง ตัวอย่างบางรายการในอุณหภูมิ 25 °C แสดงอยู่ในตาราง
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
13 |
|
ข้อ จ. |
|
เพราะคำนวนแล้วได้ตรงกับข้อ จ.
|
หน่วยร้อยละของสารละลายสามารถนำมาสรุปเป็นสูตร สำหรับการคำนวณได้ดังนี้ % โดยมวล = (มวลของตัวละลาย/มวลสารละลาย)x100. % โดยปริมาตร = (ปริมาตรของตัวละลาย/ปริมาตรสารละลาย)x100. % โดยมวล/ปริมาตร = (มวลของตัวละลาย/ปริมาตรสารละลาย)x100.
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
14 |
|
10 |
|
เพราะคำนวนแล้วได้ค่าเท่ากับ 10
|
1. ต้องทราบสูตรเอมพิริคัล
2. ต้องทราบมวลโมเลกุลโดยโจทย์กำหนดมาให้ทางตรงหรือทางอ้อมก็ได้
3. นำข้อมูลที่ได้จากข้อ 1, 2 หาค่า n โดยใช้สูตร
(มวลของสูตรเอมพิริคัล) x n = มวลโมเลกุล
n = เลขเป็นจำนวนเต็มบวก เช่น 1, 2, 3
การปัดจุดทศนิยมของค่า n ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป ให้ปัดขึ้นอีกหนึ่ง แต่ถ้าต่ำกว่า 0.5 ก็ปัดทิ้งไป เช่น 3.6 ก็ให้ปัดจุดทศนิยมเป็น 4.0 และ 2.2 ปัดจุดทศนิยมเป็น 2.0
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
15 |
|
68.25 |
|
เพราะคำนวนแล้วได้คำตอบตรงกับข้อนี้
|
pv = nRT
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
16 |
|
|
|
ค. เพราะว่า ความสมเหตุสมผลของข้อมุลที่ให้มา
|
แก๊ส เป็นหนึ่งในสี่สถานะของสสาร ในภาวะที่อุณหภูมิและความดันเหมาะสม สารหลายชนิดสามรถเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง ของเหลว หรือแก๊สได้ ธาตุที่เป็นอโลหะ เช่น ไฮโดรเจน ฟลูออรีน ออกซิเจน ไนโตรเจน แก๊สเฉื่อย และสารประกอบโคเวเลนต์ที่มีมวลโมเลกุลต่ำบางชนิด เช่น;CO , CO2;,;NH3;,;SO2;มีสถานะเป็นแก๊สที่อุณหภูมิห้องโดยปกติแก๊สมักจะหมายถึงสารที่มีสภานะเป็นแก๊สที่อุณหภูมิห้อง ส่วนสารที่เป็นของเหลวที่ภาวะปกติ แต่ถูกเปลี่ยนแก๊สจะเรียกว่า;ไอ;(Vapour)แก๊สมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคน้อยมาก อนุภาคจะอยู่ห่างกันมากเมื่อเปรียบเทียบกับของเหลวและของแข็ง ดังนั้น เมื่อบรรจุแก๊สไว้ในภาชนะ แก๊สจึงแพร่กระจายเต็มภาชนะที่บรรจุ ทำให้มีรูปร่างเปลี่ยนแปลงตามขนาดและรูปร่างของภาชนะ แก๊สมีความหนาแน่นต่ำกว่าของแข็งและของเหลวมาก สามารถบีบอัดให้มีปริมาตรลดลงได้
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
17 |
|
ข้อ ง. |
|
เพราะหาได้ข้อ ง.
|
มการแก๊สอุดมคติ
แก๊สอุดมคติ 1 โมล ที่สภาวะมาตรฐาน ความดันเท่ากับ 1 บรรยากาศ อุณหภูมิ 273 K มีปริมาตร 22.4 ลิตร เราจะสามารถคำนวณหาค่าคงที่ของแก๊สได้ดังนี้
จาก
นอกจากนี้ค่าคงที่ R ยังมีได้อีกในหลายหน่วย ดังนี้
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
18 |
|
ข้อ ก. |
|
ข้อ 1 เหมาะสมที่สุด
|
ปฏิกิริยา 1 การวัดปริมาตรของแก๊ส H ที่เกิดขึ้นเหมาะสมที่สุด เพราะสะดวกต่อการวัด
ปฏิกิริยา II การวัดปริมาตรของแก๊ส O ที่เกิดขึ้นเหมาะสมที่สุด เพราะง่ายต่อการวัด 02
ปฏิกิริยา III การวัดปริมาณของตะกอน CaCO3 ที่เกิดขึ้นเหมาะสมที่สุด เพราะง่ายต่อการวัด
1. ในการศึกษาอัตราการเกิดปฏิกิริยา I, II และ III การติดตามการเปลี่ยนแปลงสมบัติของระบบใน
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
19 |
|
ข้อ จ. |
|
เพราะสมเหตุสมผล
|
ตัวเร่งปฏิกิริยา” มีความหมายตรงตัวคือ เป็นสิ่งที่ช่วยเร่งปฏิกิริยาให้เกิดเร็วขึ้น ปฏิกิริยาเคมีทั้งหลายที่มีความสำคัญต่อชีวิต หากไม่มีตัวเร่งปฏิกิริยามักจะไม่สามารถเกิดได้เองตามธรรมชาติ หรือเกิดได้อย่างเชื่องช้า และใช้เวลานานนับเดือนหรือนับปีกว่าที่เราจะได้ผลิตภัณฑ์ในปริมาณที่ต้องการ กระบวนการทางเคมีที่เรียกว่า “Catalysis” หรือ “การเร่งปฏิกิริยา” จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันทำหน้าที่เปลี่ยนกลไกในการเกิดปฏิกิริยา ซึ่งนำไปสู่การลดพลังงานในการเกิดปฏิกิริยาจึงสามารถเร่งปฏิกิริยาให้เร็วขึ้นได้ อาจกล่าวได้ว่าตัวเร่งปฏิกิริยานั้นเปรียบเสมือนเครื่องทุ่นแรง ทำให้สารเคมีเกิดการแตกตัวและรวมตัวขึ้นเป็นสารเคมีชนิดใหม่ได้ง่ายขึ้นอย่างมาก
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
20 |
|
ข้อ ค. |
|
ข้ออื่นกล่าวถูกหมดยกเว้นข้อ ค.
|
ปฏิกิริยาของแก๊ส H(g) และแก๊ส I (g) จำนวนโมลเท่ากันในภาชนะปิดที่อุณหภูมิหนึ่ง เกิดปฏิกิริยาดังนี้ สีม่วง
H,(g) + 1,(g) ไม่มีสี 2HI(g) ไม่มีสี
ปฏิกิริยานี้มีค่าคงที่สมดุล (K) เท่ากับ 47 ณ ภาวะสมดุล สมดุลของปฏิกิริยาเป็นดังนี้
K
=
ดังนั้น
[HI]2
ข้อ 1. ถูกต้อง เกิดปฏิกิริยาผันกลับได้ เพราะค่าคงที่สมดุลขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของปฏิกิริยา
ข้อ 2. ถูกต้อง แก๊สผสมมีความเข้มของสีคงที่ ณ อุณหภูมิหนึ่ง
ข้อ 3. ผิด ที่ถูกต้องความเข้มข้นของ H, I, และ HI ไม่เท่ากัน โดยที่สมดุลของค่าความเข้มข้นของ
H, และ I, จะลดลง ส่วนความเข้มข้นของ HI มีค่าเพิ่มขึ้น เพราะมีค่า K สูง ข้อ 4. ถูกต้อง อัตราการรวมตัวของ H เท่ากับอัตราการสลายตัวของ HI เพราะ
และ 1 d[HI] d[I] 2ndt = + dt d[H] dt = +
ข้อ 5. ถูกต้อง จำนวนโมลของ HI ที่เกิดขึ้นเท่ากับผลรวมจำนวนโมลของ H กับ 1 จากสมการที่ดุลแล้ว H, 1 โมลทำปฏิกิริยากับ 1, 1 โมล ให้ HI 2 โมล
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|