1 |
|
ข้อ ง. |
|
F = ma
F = (9kg * 10 m/s) / 3s
F = 30 N
|
กฎข้อที่ 2 กฎของแรง (Force)
“ความเร่งของวัตถุจะแปรผันตามแรงที่กระทำต่อวัตถุ แต่จะแปรผกผันกับมวลของวัตถุ”
ผลรวม F = ma
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
2 |
|
ข้อ จ. |
|
งาน = พื้นที่ใต้กราฟ * มวล = (6*(5+2))*10
งาน = 420 N
ไม่มีคำตอบ
|
งานในทางฟิสิกส์ หมายถึง ผลของการออกแรงกระทำต่อวัตถุแล้ววัตถุนั้นเคลื่อนที่ตามแนวแรงองค์ประกอบของการเกิดงานมีดังนี้
1. แรงที่กระทำต่อวัตถุ (F)
2. ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ (S)
3. ทิศทางที่วัตถุเคลื่อนที่ต้องอยู่ในแนวเดียวกับแรง(จะทิศเดียวกันหรือทิศตรงข้ามกันก็ได้)
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
3 |
|
ข้อ ข. |
|
ข้อ 1 ไม่จำเป็นต้องคิด
ข้อ 2 ถูกเพราะการตกกระทบทำให้ความเร็วหายไป 1/2 แสดงว่าเมื่อถึงพื้นมีการเสียพลังงานจลน์ ไป 1/4
ข้อ 3 ผิด เพราะ แรงที่ได้ = 1*(2.8+1.4)/0.001 = 4200 N
|
การดล (I) คือ โมเมนตัมที่เปลี่ยนแปลงไปของวัตถุ หากมีแรงที่ไม่คงที่ มากระทำกับวัตถุในช่วงเวลาสั้น ๆ และเนื่องจากแรงลัพธ์ที่มากระทำไม่คงที่ จึงต้องคำนวณจากแรงเฉลี่ยและความเร่งเฉลี่ย
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
4 |
|
ข้อ ข. |
|
mgH = mvกำลัง2/2 + 3mgH/10
vกำลัง2 = 7mgH/5
v= 1.18(รากที่2ของ gH)
|
กฎการอนุรักษ์พลังงาน (law of conservation of energy) กล่าวว่า พลังงานไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ และไม่สามารถทำให้สูญหายได้ แต่สามารถเปลี่ยนรูปได้ เช่น พลังงานศักย์เปลี่ยนเป็นพลังงานจลน์ เมื่อวัตถุตกจากที่สูงลงสู่พื้นโลก พลังงานจลน์เปลี่ยนเป็นพลังงานศักย์ เมื่อวัตถุเคลื่อนที่จากพื้นขึ้นไปในอากาศ
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
5 |
|
ข้อ จ. |
|
ข้อ 1 , 4 ถูก
ข้อ 2 ผิดเพราะ แรงเสียดทางมีทิศตรงข้ามกับการเคลื่อนที่
ข้อ 3 ผิดเพราะ แรงเสียดทานสถิตมีค่ามากกว่าแรงเสียดทานจลน์เล็กน้อย
|
แรงเสียดทาน (Friction) คือแรงต้านการเคลื่อนที่บนผิวสัมผัสที่เกิดขึ้นระหว่างวัตถุ หรือแรงที่ต้านทานการเคลื่อนที่ของวัตถุไปบนพื้นผิวสัมผัส ซึ่งส่งผลให้วัตถุดังกล่าวเคลื่อนที่ช้าลงหรือหยุดนิ่งไปในท้ายที่สุด ดังนั้น แรงเสียดทานจึงมีทิศทางตรงกันข้ามกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ และมีขนาดขึ้นอยู่กับ ลักษณะของพื้นผิวสัมผัส และ แรงหรือน้ำหนัก ที่กระทำในลักษณะตั้งฉากต่อพื้นผิวดังกล่าว หากแรงกดตั้งฉากกับผิวสัมผัสมีขนาดมากเท่าใดย่อมส่งผลให้
เกิดแรงเสียดทานมากขึ้นเท่านั้น
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
6 |
|
ข้อ ข. |
|
แรงที่เกิดจาก m2 = 40 N
แรงที่เกิดจาก m1 = 30 N มีทิศเดียวกัน
แรงตึงในเส้นเชือก = 40 - 30 = 10 N
|
กฏการเคลื่อนที่ข้อที่2
ถ้ามีแรงลัพธ์ซึ่งมีขนาดไม่เป็นศูนย์มากระทำต่อวัตถุ วัตถุจะเคลื่อนที่ด้วยความเร่งในทิศทางเดียวกับแรงลัพธ์ที่มากระทำขนาดของความเร่งจะแปรโดยตรงกับแรงลัพธ์ และแปรผกผันกับมวลของวัตถุนั้นจะได้ สมการของการเคลื่อนที่เป็น
การแตกแรง
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
7 |
|
ข้อ ง. |
|
T1=(3+2)(10+2) = 60 N
T2=(2)(10+2) = 24 N
ผลต่าง = 36 N
|
กฏการเคลื่อนที่ข้อที่2
ถ้ามีแรงลัพธ์ซึ่งมีขนาดไม่เป็นศูนย์มากระทำต่อวัตถุ วัตถุจะเคลื่อนที่ด้วยความเร่งในทิศทางเดียวกับแรงลัพธ์ที่มากระทำขนาดของความเร่งจะแปรโดยตรงกับแรงลัพธ์ และแปรผกผันกับมวลของวัตถุนั้นจะได้ สมการของการเคลื่อนที่เป็น
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
8 |
|
ข้อ ค. |
|
mg = T3 cosθ T3= mg/cosθ
T2 = T3 sinθ T2 = mgsinθ/cosθ
T2 = mgtanθ
|
กฏการเคลื่อนที่ข้อที่2
ถ้ามีแรงลัพธ์ซึ่งมีขนาดไม่เป็นศูนย์มากระทำต่อวัตถุ วัตถุจะเคลื่อนที่ด้วยความเร่งในทิศทางเดียวกับแรงลัพธ์ที่มากระทำขนาดของความเร่งจะแปรโดยตรงกับแรงลัพธ์ และแปรผกผันกับมวลของวัตถุนั้นจะได้ สมการของการเคลื่อนที่เป็น
การแตกแรง
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
9 |
|
ข้อ ง. |
|
หาคำตอบไม่ได้เนื่องจากไม่ทราบมุมของพื้นเอียง
|
กฏการเคลื่อนที่ข้อที่2
ถ้ามีแรงลัพธ์ซึ่งมีขนาดไม่เป็นศูนย์มากระทำต่อวัตถุ วัตถุจะเคลื่อนที่ด้วยความเร่งในทิศทางเดียวกับแรงลัพธ์ที่มากระทำขนาดของความเร่งจะแปรโดยตรงกับแรงลัพธ์ และแปรผกผันกับมวลของวัตถุนั้นจะได้ สมการของการเคลื่อนที่เป็น
การแตกแรง
แรงเสียดทาน (Friction) คือแรงต้านการเคลื่อนที่บนผิวสัมผัสที่เกิดขึ้นระหว่างวัตถุ หรือแรงที่ต้านทานการเคลื่อนที่ของวัตถุไปบนพื้นผิวสัมผัส ซึ่งส่งผลให้วัตถุดังกล่าวเคลื่อนที่ช้าลงหรือหยุดนิ่งไปในท้ายที่สุด ดังนั้น แรงเสียดทานจึงมีทิศทางตรงกันข้ามกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ และมีขนาดขึ้นอยู่กับ ลักษณะของพื้นผิวสัมผัส และ แรงหรือน้ำหนัก ที่กระทำในลักษณะตั้งฉากต่อพื้นผิวดังกล่าว หากแรงกดตั้งฉากกับผิวสัมผัสมีขนาดมากเท่าใดย่อมส่งผลให้
เกิดแรงเสียดทานมากขึ้นเท่านั้น
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
10 |
|
ข้อ ก. |
|
|
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
11 |
|
ข้อ ข. |
|
|
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
12 |
|
ข้อ ง. |
|
จาก g = Gm/R กำลัง2
m = gRกำลัง2/G
|
นิวตันเสนอกฎแรงดึงดูดระหว่างมวลได้ว่า "วัตถุทั่งหลายในเอกภพจะออกแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน
โดยขนาดของแรงดึงดูดระหว่างวัตถุคู่หนึ่ง ๆจะแปรผันตรงกับผลคูณระหว่างมาลวัตถุที่สองและจะ
แปรผกผันกับกำลังสองชองระยะทางระหว่างวัตถุทั้งสองนั่น"
ตามกฎแรงดึงดูดระหว่างมวลที่นิวตันเสนอ เราจะสามารถเขียนได้ว่า
F = Gm1m2/Rกำลัง2
m1a = Gm1m2/Rกำลัง2
พิจารณามวลของโลก ถ้าเราตัดมวล m ทั้งสองข้างจะได้
g =Gm/Rกำลัง2
จากสมการ จะเห็นว่า ค่า g ซึ่งเป็ นค่าความเร่งเนื่องจากแรงโน้มถ่วง จะมีค่าขึ้นกับรัศมี
โลก Re หรืออาจกล่าวให้ชัดเจนขึ้นว่า g ขึ ้นกับระยะทางห่างจากโลกออกไป กล่าวคือ g จากเมื่อระยะทาง
น้อย และ g จะน้อยเมื่อระยะทางงมาก หรือกล่าวสรุปว่า g แปรผันกับระยะห่างจากจุดศูนย์กลางของโลก
ยกกำลังสอง
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
13 |
|
ข้อ ก. |
|
|
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
14 |
|
ข้อ ก. |
|
|
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
15 |
|
ข้อ ข. |
|
แปลงน้ำแข็งเป็น น้ำ ใช้ 333 *100 /1000 = 33.3 kj
แปลงน้ำให้อุณหภูมิ เป็น 10 อง3ศา C ใช้ 10*100*4200/1000*1000 = 4.2kj
รวมได้ 37.5 kj
|
ในทางฟิสิกส์ ความร้อน (ใช้สัญลักษณ์ว่า Q ) หมายถึง พลังงานที่ถ่ายเทจากสสารหรือระบบหนึ่งไปยังสสารหรือระบบอื่นโดยอาศัยความแตกต่างของอุณหภูมิ ในทางอุณหพลศาสตร์จะใช้ปริมาณ TdS ในการวัดปริมาณความร้อน ซึ่งมีความหมายถึง อุณหภูมิสัมบูรณ์ของวัตถุ (T) คูณกับอัตราการเพิ่มของเอนโทรปีในระบบเมื่อวัดที่พื้นผิวของวัตถุ ความร้อนสามารถไหลผ่านจากวัตถุที่มีอุณหภูมิสูงไปยังวัตถุที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า หากต้องการให้ความร้อนถ่ายเทไปยังวัตถุที่มีอุณหภูมิเท่ากันหรือสูงกว่าจะทำได้ก็ต่อเมื่อใช้ปั๊มความร้อนเท่านั้น การสร้างแหล่งความร้อนที่มีอุณหภูมิสูงสามารถทำได้จากปฏิกิริยาเคมี (เช่นการเผาไหม้) ปฏิกิริยานิวเคลียร์ (เช่นฟิวชันในดวงอาทิตย์) การเคลื่อนที่ของอนุภาคแม่เหล็กไฟฟ้า (เช่นเตาไฟฟ้า) หรือการเคลื่อนที่ทางกล (เช่นการเสียดสี) โดยที่อุณหภูมิเป็นหน่วยวัดปริมาณของพลังงานภายในหรือเอนทาลปี ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ส่งผลต่ออัตราการถ่ายเทความร้อนของวัตถุนั้นๆ
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
16 |
|
ข้อ จ. |
|
ความยาวคลื่นเท่าเดิมเสมอเมื่ออยู่ตัวกลางเดิม
|
คลื่น เป็นปรากฎการณ์ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่รูปแบบหนึ่ง มีการแผ่กระจายเคลื่อนที่ออกไป ในลักษณะของการกวัดแกว่ง หรือกระเพื่อม และมักจะมีการส่งถ่ายพลังงานไปด้วย เช่น คลื่นผิวน้ำ คลื่นยังเเบ่งออกเป็นหลายชนิดโดยที่คลื่นบางชนิดอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ เเต่บางชนิดก็ไม่อาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่
การหักเห
หมายถึง การที่คลื่นเปลี่ยนอัตราเร็วเมื่อคลื่นเปลี่ยนแนวทางเดินขณะเปลี่ยนตัวกลาง เมื่อคลื่นผิวน้ำเดินทางจากตัวกลางที่ 1 ไปยังตัวกลางที่ 2 อัตราเร็วของคลื่นจะเปลี่ยนไปจากเดิม ทำให้ความยาวคลื่นเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย แต่ความถี่ของคลื่นไม่มีการเปลี่ยนแปลง
การหักเห
เมื่อคลื่นเดินทางจากตัวกลางที่ 1 ไปยังตัวกลางที่ 2 (น้ำตื้นไปน้ำลึกหรือน้ำลึกไปน้ำตื้น) โดยแนวทางเดินของคลื่นไม่ตั้งฉากกับผิวรอยต่อระหว่างตัวกลาง จากกฎการหักเหของสเนลล์จะได้ว่า “อัตราส่วนของค่าไซน์ของมุมตกกระทบกับค่าไซน์ของมุมหักเหจะมีค่าเท่ากับอัตราส่วนระหว่างอัตราเร็วคลื่นในตัวกลางที่คลื่นตกกระทบกับอัตราเร็วคลื่นในตัวกลางที่คลื่นหักเห”
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
17 |
|
ข้อ ข. |
|
sinθ2/sinθ1 = n1/n2
n1/n2 = sin 45องศส /sin 30องศา
ท1/n2 = 1.414
|
การหักเห
หมายถึง การที่คลื่นเปลี่ยนอัตราเร็วเมื่อคลื่นเปลี่ยนแนวทางเดินขณะเปลี่ยนตัวกลาง เมื่อคลื่นผิวน้ำเดินทางจากตัวกลางที่ 1 ไปยังตัวกลางที่ 2 อัตราเร็วของคลื่นจะเปลี่ยนไปจากเดิม ทำให้ความยาวคลื่นเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย แต่ความถี่ของคลื่นไม่มีการเปลี่ยนแปลง
การหักเห
เมื่อคลื่นเดินทางจากตัวกลางที่ 1 ไปยังตัวกลางที่ 2 (น้ำตื้นไปน้ำลึกหรือน้ำลึกไปน้ำตื้น) โดยแนวทางเดินของคลื่นไม่ตั้งฉากกับผิวรอยต่อระหว่างตัวกลาง จากกฎการหักเหของสเนลล์จะได้ว่า “อัตราส่วนของค่าไซน์ของมุมตกกระทบกับค่าไซน์ของมุมหักเหจะมีค่าเท่ากับอัตราส่วนระหว่างอัตราเร็วคลื่นในตัวกลางที่คลื่นตกกระทบกับอัตราเร็วคลื่นในตัวกลางที่คลื่นหักเห”
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
18 |
|
ข้อ ค. |
|
จาก s=ut+gtกำลัง2/2 เวลาเคลื่อนที่ของก้อนหิน = รากที่2ของ100/5 = 4.47 วินาที
เวลาเคลื่อนที่ของเสียง = 100/331+0.6*20 =0.29 วินาที
รวมได้ 4.76 วินาที
|
การเลื่อนที่แนวดิ่ง
อัตราเร็วของเสียง คือ ระยะทางที่เสียงเดินทางไปในตัวกลางใด ๆ ได้ในหนึ่งหน่วยเวลา โดยทั่วไปเสียงเดินทางในอากาศที่มีอุณหภูมิ 25°C (= 298,15 K) ได้ประมาณ 346 เมตร/วินาที และในอากาศที่อุณหภูมิ 20°C ได้ประมาณ 343 เมตร/วินาที อัตราเร็วที่เสียงเดินทางได้นั้นอาจมีค่ามากขึ้นหรือน้อยลงขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของตัวกลางเป็นหลัก และอาจได้รับอิทธิพลจากความชื้นบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ขึ้นกับความดันอากาศ
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
19 |
|
ข้อ ข. |
|
λ=v/f = 375/250 = 1.5
nλ = ค่าสัมบูรณ์ของ AC-BC
ค่าสัมบูรณ์ของ AC-BC = 1.5*2 = 3
|
คลื่น เป็นปรากฎการณ์ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่รูปแบบหนึ่ง มีการแผ่กระจายเคลื่อนที่ออกไป ในลักษณะของการกวัดแกว่ง หรือกระเพื่อม และมักจะมีการส่งถ่ายพลังงานไปด้วย เช่น คลื่นผิวน้ำ คลื่นยังเเบ่งออกเป็นหลายชนิดโดยที่คลื่นบางชนิดอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ เเต่บางชนิดก็ไม่อาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
20 |
|
ข้อ ข. |
|
ความถึ่ = 5 Hz
ความเร็ว = 0.5 m/s
v=f*ความยาวคลื่น ความยาวคลื่น = 0.5/5 = 0.1 m
|
คลื่นกล
คลื่นกลเป็นคลื่นที่ต้องอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ สิ่งที่คลื่นนำไปด้วยพร้อมกับการเคลื่นที่คือพลังงาน พลังงานเคลื่อนที่ผ่านตัวกลางต่างๆ จะมีปริมาณต่างๆกันไปในแต่ละกรณี เช่น พลังงานของคลื่นในทะเลขณะที่พายุจะมีค่ามากกว่าพลังงานที่เกิดจากคลื่นเสียงที่เราตะโกนออกไป
เมื่อพิจารณาจากความหมายของคาบและความถี่ของคลื่น จะได้ความสัมพันธ์ดังนี้
T=1/f
v=s/t
v=fλ
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|