ตรวจข้อสอบ > ดุษณียา รอดมินทร์ > ชีวเคมีเชิงวิทยาศาสตร์การแพทย์ | Biochemistry > Part 1 > ตรวจ

ใช้เวลาสอบ 96 นาที

Back

# คำถาม คำตอบ ถูก / ผิด สาเหตุ/ขยายความ ทฤษฎีหลักคิด/อ้างอิงในการตอบ คะแนนเต็ม ให้คะแนน
1


จ. คาร์โบไฮเดรต

เพราะ อินนูลิน เป็นสารพอลิแซ็กคาไรด์สามารถละลายน้ำได้ โดยแต่ละโมเลกุลของอินนูลิน เป็น heteropolysaccharide คือฮอร์โมนที่ประกอบด้วยน้ำตาลมากกว่า 1 ชนิดเชืิ่อมต่อกัน ซึ่งจากรูปจะประกอบไปด้วย น้ำตาลฟรักโทสประมาณ 10-60 โมเลกุล มีอีกชื่อคือ ฟรักแทน และยังน้ำตาลกลูโคสอยู่ปลายสุดด้านหนึ่งของสาย

จากโจทย์บอกว่าเป็นสารพรีไบโอติก หรือ น้ำพตาลสายสั้น และเมื่อพูดถึงน้ำตาลจะนึกถึง คาร์โบไฮเดรต รวมไปถึงจากรูป ทำให้เห็นโครงสร้างของน้ำตาลฟรักโทสและน้ำตาลกลูโคสจึงสามารถยืนยันได้ว่าเป็น คาร์โบไฮเดรต

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

2


ง. 2 และ 3

อินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่จะนำน้ำตาลในเลือดไปสู่เนื่อเยื่อต่างๆแล้วสร้างเป็นพลังงาน ดังนั้นในข้อที่ 1 จึงผิดเพราะในผู้ป่วยเบาหวาน ไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปสร้างพลังงานได้ เพราะมีอินซูลินน้อยเกินไป จึงยังส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง และในฉีดอินซูลินไม่ได้เป็นการเพิ่มกลูโคสหรือเพิ่มน้ำตาลให้กับร่างกายแต่เป็นการทำให้น้ำตาลภายในเลือดสามารถนำไปสร้างเป็นพลังงานได้มากขึ้นและทำให้น้ำตาลในเลือดที่มีระดับสูงจะลดลงมาในระดับปกติ จากเหตุนี้ทำให้ข้อ 4 ผิด ส่วนข้อ 2 และ 3 เป็นข้อที่ถูกต้องเพราะจากข้อ 2 อินซูลินมีหน้าที่ในการช่วยให้น้ำตาลในเลือดซึ่งคือกลูโคส หน่วยย่อยหรือมอนอเมอร์จะถูกกระตุ้นจาก อินซูลินซึ่งเป็นพอลิเพปไทด์ให้เป็น ไกลโคเจนได้และข้อ 3 ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานควรงดทานอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลเพื่อไม่ให้น้ำตาลในเลือดที่สูงแล้วสูงขึ้นไปอีก จึงเป็นคำตอบที่ถูกต้อง

ข้อมูลทั้งหมดได้มาจาก งานวิจัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ซึ่งได้พูดถึงกลไกการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินที่เข้าไปทำปฏิกิริยากับน้ำตาลกลูโคส และข้อมูลจากเว็บไซต์ของ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้ให้ความรู้เกี่ยวกับหน้าที่ของอินซูลิน กลไกการทำงานรวมไปถึงผลข้างเคียงและข้อควรปฏิบัติ และจากข้อ 2 เป็นไปตามหน้าที่ของอินซูลิืนที่ได้ศึกษามาว่าเป็นเอนไซม์สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพในการนำน้ำตาลในเลือดไปสร้างเป็นพลังงานโดยเปลี่ยนเป็นไกลโคเจน และข้อ 3 คนที่เป็นเบาหวานไม่ควรทานแป้งหรือน้ำตาลมากเกินไป เพราะอาจทำให้น้ำตาลในเลือดยิ่งสูงขึ้น และไม่สามารถที่จะนำไปสร้างพลังงานได้

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

3


ค. เอนไซม์ทํางานได้ภายในช่วง pH ที่จํากัด

เอนไซม์จะทำงานได้ดีที่ช่วง pH ที่จำกัด ถ้าเป็นกรดหรือเบสมากเกินไปเอนไซม์จะเสียสภาพทำงานไม่ได้

จากตารางคิดว่าในช่องคอลัมน์สุดท้ายคือ เวลาที่ใช้ในการแข็งตัวของเจลาติน ทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของเวลาที่ใช้ในการแข็งตัวของเจลาติน ที่เปลี่ยนแปลงไปตามค่า pH ของเจลาตินและเอนไซม์ที่เติมเข้าไปทำให้เห็นว่า เอนไซม์ที่เติมเข้าไปจะทำงานได้ดีที่ช่วง pH ที่จำกัดในค่าใดค่าหนึ่งตามความเหมาะสมซึ่งสามารถเปรียบเทียบกับ หลอดที่ 1 ที่ไม่ได้เติมเอนไซม์ใช้เวลา 5 นาทีในการแข็งตัว และเมื่อเทียบกับหลอดอื่นๆจะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่เหมาะสมของหลอดๆหนึ่งมากที่สุด แต่ถ้าเอนไซม์นั้นถูกไปใช้ในเจลาตินที่มีค่า pH ที่แตกต่างออกไปจะพบว่า ใช้เวลานานมากขึ้นในการแข็งตัวเพราะเอนไซม์ไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

4


ง. เพปไทด์ท่ีประกอบด้วยกรดอะมิโนท้ัง 3 ชนิดข้างต้นโดยไม่มีกรดอะมิโนที่ซ้ํากันมีทั้งหมด3ชนิด

ทั้งสามตัวเป็นกรดอะมิโนที่แตกต่างกันคนละชนิด เพราะมีหมู่ R ที่แตกต่างกัน

ดูจากการที่กรดอะมิโนมีการเชื่อมกับหมู่ R ที่แตกต่างกันทำให้กรดอะมิโนมีชนิดที่แตกต่างกัน

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

5


ค.โปรตีนจัดเป็นสารประกอบที่เห็น แอมโฟเทริก (amphottric)

สารแอมโฟเทริก คือสารประกอบที่มีทั้งโมเลกุลประจุบวกและประจุลบจึงมีคุณสมบัติที่สามารถให้อิเล็กตรอนและรับอิเล็กตรอนโดยจะขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาดังนั้น สารชนิดนี้จึงเป็นได้ทั้งกรดและเบส ซึ่งตรงกับคุณสมบัติของโปรตีนที่สามารถเป็นได้ทั้งกรดและเบสซึ่งก็คือ หน่วยย่อยของโปรตีน กรดอะมิโนซึ่งมี หมู่อะมิโนเป็นเบสและหมู่คาร์บอกซิลเป็นกรด

จากโจทย์ ข้อ ก ข ง จ ไม่เป็นไปตามหลักของโปรตีน โดยข้อ ก การที่จะเป็นไตรเพปไทด์ได้ ต้องเชื่อมด้วยกรดอะมิโน 3 พันธะ ข้อ ขโปรตีนแบบ เกลียวแอลฟา เป็นการสร้างพันธะไฮโดรเจนระหว่าง O และ H ข้อ ง โปรตีนก้อนกลมสามารถละลายน้ำได้ดี และข้อ จ โปรตีนก้อนกลมและโปรตีนเส้นใยอยู่ในขั้นของ ทุติยภูมิ

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

6


A= glycerol B=fatty acid C=Triacylglycerol

จากสมการเป็นสมการการเกิดไขมันหรือน้ำมัน ซึ่งต้องย้อนไปก่อนว่า การเกิดไขมันได้จะได้จาก glycerol 1 โมเลกุล และ fatty acid อีก 3 โมเลกุล ซึ่งในการเชื่อมพันธะกันจะมีปฏิกิริยา dehydration คือการดึงน้ำออก 1 โมเลกุลต่อการสร้าง 1 พันธะ เนื่องจากมี fatty acid 3 โมเลกุลจึงต้องมีการเชื่อม 3 พันธะและดึงน้ำออกอีก 3 โมเลกุลจึงจะได้เป็นสารใหม่คือ triacylglycerol หรือ triglyceride จากภาพ A จึงเป็น glycerol 1 โมเลกุล B เป็นfatty acid 3 โมเลกุล และสารที่ได้ออกมาคือ triglycerol 1 โมเลกุลพร้อมน้ำที่ถูกดึงในแต่ละการสร้างพันธะอีก 3 โมเลกุล

จากโจทย์ได้บอกว่าเป็นสมการไขมัน หรือน้ำมันทั่วไป ซึ่งก็คือ triglycerol จึงทำให้รู้ว่า จะสร้าง triglycerolได้ต้องใช้ fatty acid 3 โมเลกุลและ glycerol อีก 1 โมเลกุล ตามหลักการแล้วจะต้องมีการดึงน้ำออกใน 1 พันธะ ดังนั้นถ้าใช้ 3 fatty acid เชื่อมพันธะจะต้องมี น้ำ 3 โมเลกุลที่ถูกดึงออก เป็นไปตามดังสมการตามโจทย์

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

7


ข้อ ก.

เพราะยิ่งมีหยดไอโอดีนมากเท่ากับจะยิ่งมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวมากกว่า ดังนั้น Z จึงเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวและ W เป็นกรดไขมันอิ่มตัว และจากข้อ 1 น้ำมันที่เหมาะในการตั้งไฟอ่อนๆคือ น้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวหรือ W เพราะ น้ำมันที่มีกรดไขมันสูงจะมีจุดเกิดควันที่ค่อนข้างสูง จึงเหมาะที่จะตั้งไฟอ่อนๆส่วน Z เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวซึ่งเมือ่มีการบริโภคมากเกินไปอาจทำให้เกิดการอักเสบและเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด

จากเว็บไซต์ของ curadio.chula.ac.th ได้มีการทดสอบปริมาณกรดไขมันอิ่มตัว กรดไขมันไม่อิ่มตัวจากน้ำมันพืชและน้ำมันสัตว์ จากการทดลองพบว่า น้ำมันพืช มีจำนวนการหยดของไอโอดีนที่มากกว่าน้ำมันสัตว์ จึงสรุปว่า น้ำมันพืชเป็นกรดไขมันอิ่มตัวและน้ำมันสัตว์เป็นกรดไขมันอิ่มตัว และจากเว็บไซต์ thaihealth ได้พูดถึงคุณสมบัติการเลือกน้ำมันในการทำอาหารที่เหมาะสม โดยได้บอกว่า น้ำมันสัตว์ มีจุดเกิดควันที่ค่อนข้างสูงจึงเหมาะกับการตั้งไฟอ่อนๆ และเว็บไซต์ amprohealth ได้บอกว่าสาเหตุที่ทำพให้เกิดหัวใจขาดเลือดมาจากการบริโภคน้ำมันพืชหรือกรดไขมันไม่อิ่มตัวในปริมาณที่มากเกินไป ส่งผลให้ผนังหลอดเลือดเกิดการอักเสบได้

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

8


ข้อ จ.

น้ำมัน X เป็นกรดไขมันอิ่มตัวเพราะจากการตั้งไว้ 1 คืนแล้ว แข็งตัว แปลว่าต้องมีจุดหลอมเหลวที่สูง ดังนั้น ข้อ1 จึงผิด ส่วนข้อ 2และ3 เป็นไปตามคุณสมบัติของกรดไขมันอิ่มตัว คือ เหม็นหืนยาก ซึ่งทั้งหมดตรงข้ามกับกรดไขมันไม่อิ่มตัว

มองว่าที่ X แข็งตัวมีผลมาจาก จุดหลอมเหลวที่สูง จึงทำให้x เป็นกรดไขมันอิ่มตัว และ y เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

9


ข. น้ำมันมะกอกเท่านั้นที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว จึงทำปฏิกิริยาฟอกจางสีโบรมีนได้

จากตารางเห็นได้ว่า น้ำมันมะกอกมีกรดไขมันไม่อิ่มตัว ได้แก่ โอลีอิกและลิโนเลอิก ซึ่งสามารถทำปฏิกิริยาฟอกจางสีโบรมีนได้

จากข้อ ก ค ง จ เป็นข้อที่เป็นจริงโดย ก เมื่อนำปริมาณของกรดไขมันอิ่มตัวทั้งหมดมารวมกันทั้งสองตัวพบว่า ข้อ กนั้นเป็นจริง ข้อ ค ไขมันจะไม่ละลายน้ำแต่สามารถละลายได้บ้างในเอทานอล และได้ดี ในเฮกเซนซึ่งเป็นสารสำหรับการกลั่นน้ำมันดิบ ข้อ คจึงถูกต้อง ส่วน ข้อ ง เป็นไปตามทฤษฎีของไขมันและน้ำมัน ที่ว่า เป็นสารประกอบเอสเทอร์ และข้อ จ เมือ่ทำการคำนวณรวมกรดไขมันไม่อิ่มตัวแล้วพบว่า ข้อ จเป็นจริง

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

10


ก. ไข่ขาว , น้ำตาลทราย , เอทิลแอซิเตต

เพราะ ไข่ขาวเป็นโปรตีน ซึ่งเมื่อนำมาทดสอบกับโซเดียมไฮดรอกไซด์และคอปเปอร์ซัลเฟตหรือสารไบยูเรต จึงเปลี่ยนเป็นสีม่วง ส่วนน้ำตาลทรายเป็นซูโครสที่ถ้าทดสอบด้วยไอโอดีจะไม่เกิดผลจึงต้องนำไปต้มให้เป็นกลางจึงนำมาทดสอบก็จะได้ผลเป็น ตะกอนสีแดงอิฐ ส่วน เอทิลแอซิเตต มีส่วนประกอบจาก กรดอะซิติกซึ่งก็คือ น้ำส้มสายชู ดังนั้นเมื่อทดสอบด้วยการนำไปต้มจะได้กลิ่นที่มีความคล้ายกับน้ำส้มสายชู

ไบยูเรตจะต้องทดสอบกับโปรตีนเท่านั้นจึงจะได้ผลเป็นสีม่วง การทดสอบซูโครสต้องทำให้เป็นกลางก่อนจึงจะทดสอบและได้ผลเป็น ตะกอนสีแดงอิฐ ส่วนการต้มด้วย ไฮโดรเจนคลอไรดื แล้วได้กลิ่นฉุนของน้ำส้มสายชู ก็สามารถบ่งบอกได้ว่า เป็นสารที่มีส่วนประกอบจาก กรดอะซิติก

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

11


ข. ข้อ 1 และ ข้อ 2 ถูก

เพราะ เซลลูโลส เกิดจากพันธะ เบต้า ไกลโคซิดิก จึงเป็นคำตอบที่ผิด

ไคติน เป้นพอลิเมอรืที่มีการเชื่อมกันตามที่ ข้อ1กล่าวไว้และสามารถพบได้ทั้งในเห็ดรา หรือ เปลือกกุ้งเป็นต้นและข้อ 2 กรดอะมิโนทั้งสองตัวเชื่อมด้วย คาร์บอนและไนโตรเจน ซึ่งเป็นจริง ส่วนในเซลลูโลส เกิดจาก เบต้ากลูโคสเชื่อมต่อกันด้วยพันธะ เบต้าไกลโคซิดิก

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

12


ง. ถูกทุกข้อ

เพราะทุกข้อ เป็นจริง ทั้งฮีโมลโกลบินที่เป็นโปรตีนและลำเลียงออกซิเจนในเลือด คอเลสเทอรอล เป็นไขมันที่สร้างฮอรืโมนเพสและน้ำดี ฮิมมูโนโกลบิน เป็นอีกชื่อหนึ่งของแอนตี้บอดีในการระบบภูมิคุ้มกัน ส่วนไตรกลีเซอไรด์เป็นไขมันในเลือดและเป็นตัวทำลายวิตามินต่างๆ

อ้างอิงมาจาก ทฤษฎีคุณสมบัติทั้ง 4 ตัว ที่บ่งบอกว่าเป็นจริง

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

13


X +Z = hydrolysis Y= dehydration

เพราะจากสมการ xกับ z เป็นปฏิกิริยาที่มีการสลายพันธะซึ่ง xเป็นการสลายพันธะจากโปรตีนให้กลายเป็นอะมิโน และ zเป็นการเปลี่ยนไขมันให้กลายเป็น กรดไขมันและกลีเซอรอล ซึ่งทั้งสองต้องอาศัยปฏิกิริยา hydrolysis คือการสลายพันธะด้วยน้ำ และ y เป็น dehydration เพราะเป็นการเชื่อมพันธะระหว่าง กลูโคสกับฟรักโทสให้ได้ซูโครส และจากสมการจะเห็นว่าได้น้ำด้วยเพราะ มีการใช้ปฏิกิริยาดึงน้ำออก หรือ dehydration ในการเชื่อมพันธะ น้ำจึงเป็นผลิตภัณฑ์อีกตัวที่ได้จากการเชื่อมพันธะ

เมื่อมอนอเมอร์แต่ละตัวจะมีการเชื่อมพันธะกันจะต้องอาศัยปฏิกิริยา dehydration หริือ ปฏิกิริยาดึงน้ำออก 1 โมเลกุลต่อ 1 พันธะ จึงจะสามารถสร้างพันธะได้ ทำให้ได้น้ำเป็นผลพลอยได้มาด้วย ส่วนเมื่อพอลิเมอรืต้องการที่จะสลายพัธะจะต้องอาสัยปฏิกิริยา hydrolysis ในการใช้น้ำเพื่อสลายพันธะ แล้วได้มอนอเมอร์ออกมาแต่ละตัว

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

14


6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

15


ก. มีข้อถูกเพียง 1 ข้อ

โดยข้อที่ ถูกคือ ข้อ 4 แต่ในข้อ 1พันธะไดซัลไฟดืเกิดจากหมู่ซัลฟืไฮดริล 2 หมู่มาต่อกัน ข้อ 2 พันธะฟอสโฟไดเอสเตอร์ เกิดจาก หมู่ไฮดรอกซิลเ์เชื่อมกับหมู่ฟอสเฟต และพันธะไกลโคซิดิก เกิดจากหมู่ ซัลดีไฮด์เชื่อมกับหมู่ ไฮดรอกซิล

พันธะไดซัลไฟดืเกิดจากหมู่ซัลฟืไฮดริล 2 หมู่มาต่อกัน พันธะฟอสโฟไดเอสเตอร์ เกิดจาก หมู่ไฮดรอกซิลเ์เชื่อมกับหมู่ฟอสเฟต พันธะไกลโคซิดิก เกิดจากหมู่ ซัลดีไฮด์เชื่อมกับหมู่ ไฮดรอกซิล และ พันธะเอสเทอร์เชื่อมหมู่คารืบอกซิลและไฮดรอกซิล ซึ่งมอนอเมอร์แต่ละตัวตามที่โจทย์ในกล่าวไว้

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

16


ง. นมถั่วเหลือง กลูโคส น้ำตาลทราย

นมถั่วเหลืองเป็น โปรตีนดังนั้นเมื่อทดสอบกับไบยูเรตจะได้สีฟ้า ส่วน กลูโคส ต้องทดสอบกับเบเนดิซ์จึงจะได้ ตะกอนสีแดงอิฐ ส่วน น้ำตาลทรายที่ไม่ผ่านการทำให้เป็นกลางเมื่อทดสอบกับไอโอดีนจะไม่เกิดผลอะไร

โปรตีนต้องทดสอบกับไบยูเนตผลจึงจะเป็นสีฟ้า ส่วนเบเนดิกซ์สำหรับทดสอบน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวจึงจะได้ตะกอนสีแดงอิฐ ส่วน ไอโอดีนใช้ทดสอบพวกแป้ง ซึ่งถ้าเป็นซูโครสที่ไม่ผ่านการต้มหรือทำให้เป็นกลางจะไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

17


ค. ไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัว ไฮโดรคาร์บอนไม่อิ่มตัว กรดไขมันไม่อิ่มตัว กลูโคส

เนื่องจาก w ไม่มีผลกับตัวทดสอบตัวใดเลยจึงสามารถตอบได้ว่าเป็นไฮโดรเจนคาร์บอนอิ่มตัว ส่วน x เนื่องจาก kmno4 เป็นตัวทดสอบพวกกรดไขมันไม่อิ่มตัวเมื่อได้ผลจึงสามารถบอกได้ว่าเป็น ไฮโดรคาร์บอนไม่อิ่มตัว ซึ่งของ yเหมือนกัน ส่วน z เป็นกลูโคสเพราะสามารถทดสอบด้วยเบเนดิกซ์ได้ และยังสามารถพบในยีสต์ได้อีกด้วย

เมือ่นำไฮโดรคาร์บอนหรือกรดไขมันไม่อิ่มตัวไปทดสอบกับ kmno4 จะได้ผลออกมา และถ้านำน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวและคู่ไปทดสอบกับเบเนดิกซ์จะได้ผลออกมาเช่นเดียวกัน และในยีสต์สามารถพบสารกลุ่มน้ำตาลได้ เช่น ยีสต์บนขนมปัง

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

18


ข. W, X และ Z

เพราะทั้ง wxz เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว และในส่วนของ z นั้นคือน้ำตาล ฟรักโทสเพราะมีกลุ่ม อะซีโตน

เบเนดิกซ์สามารถทดสอบได้แค่ในน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวหรือโมเลกุลคู่เท่านั้นแต่ y มันเป็นฟอร์มาลีน จึงไม่สามารถทดสอบได้

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

19


ก. กรดไขมัน

เพราะกรดอะมิโน เมื่อนำมาละลายน้ำแล้วหมู่คาร์บอกซิลจะแตกตัวให้โปรตอนกับ หมู่อะมิโนเกิดเป็น coo-ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นเบสและ -NH3+ เป็นกรดจึงเป็นสารที่มีคุณสมบัติบัฟเฟอร์

การจะเป็นสารละลายบัฟเฟอร์ได้ต้องเมื่อเติมกรดแก่หรือเบสแก่ลงไปจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย หรือถือได้ว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

20


1. พืชไม่สามารถตรึง CO2 ใน Calvin cycle ได้

เพราะ ระบบแสง 1 ถูกยับยั้งการส่งอิเล็กตรอนให้ระบบแสง 2 ได้

เมื่อระบบแสง 1 ถูกยับยั้งไม่ให้ส่งอิเล็กตรอนไปจนเกิด non cyclic light reaction ได้ ส่งผลให้ไม่สามารถเกิดการตรึงคาร์บอนได้ จึงส่งผลต่างๆจนทำให้เซลล์ตายได้

10

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

21


3. มีสารพันธุกรรมเช่นเดียวกับเชื้อก่อโรค Influenza , AIDS

10

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

22


ไม่ถูกต้อง เกี่ยวกับอะไมโลสและอะไมเลส

ก. อะไมโลส จัดเป็นพอลิแซ็กคาไรด์แบบโซ่ตรง ที่สามารละลายน้ำได้

อะไมโลส เป็นสารพอลิแซกคาไรด์แบบโซ่ตรงไม่มีการแตกกิ่ง และไม่สามารถละลายน้ำได้ดังนั้น ข้อ ก.จึงเป็นข้อที่ผิด

จากเว็บไซต์ fondoperlaterra ได้อธิบายถึงความแตกต่างของ amylose และ amylopectin ว่า อะไมโลส เป็นสารพอลิแซกคาไรด์จัดอยู่ในกลุ่มของแป้ง และมีโครงสร้างเป็นเส้นตรงรวมไปถึงมีคุณสมบัติที่ไม่สามารถละลายน้ำได้

6

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

23


1. Glucose เป็นแหล่งพลังงานของเซลล์

ไม่ได้บอกว่าเป็นแหล่งพลังงานของเซลล์ แต่เป็น cellular metabolism

อ้างอิงข้อมูลจากวิดีโอข้างต้น

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

24


3. DNA polymerase

ไม่มี dna polymerase แต่มีrna polymerase

อ้างอิงจากวิดีโอข้างต้น

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

25


5. Glucose

เพราะในปฏิกิริยาไม่มีการใช้ กลูโคสเป็นองค์ประกอบ

อ้างอิงจากวิดีโอข้างต้น

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

ผลคะแนน 96.4 เต็ม 161

แท๊ก หลักคิด
แท๊ก อธิบาย
แท๊ก ภาษา