1 |
|
จ. คาร์โบไฮเดรต |
|
อินนูลินหรือฟรักโทแซน (Fructosan) เป็นแป้งที่พบในหัวหรือรากพืชบางชนิด ละลายในน้ำอุ่นได้ดี จัดเป็นเส้นใยที่เรียกว่าฟรุกแทน (fructan) เป็นพอลิเมอร์ของน้ำตาลฟรุคโตสที่เชื่อมต่อกันเป็นเส้นตรงที่ตำแหน่งบีตา 2, 1 (β - 2, 1 linked polyfructan) มีปลายด้านหนึ่งคือกลูโคสที่เชื่อมต่อกับฟรุกโตสในลักษณะการเชื่อมของซูโครส โดยพบเป็นคาร์โบไฮเดรต โครงสร้างหลักไม่มีพันธะที่เป็นองค์ประกอบของวงแหวน มีน้ำตาลประกอบเข้าด้วยกันมากกว่า 10 โมเลกุล มีสูตรเคมีคือC6nH10n+2O5n+1
|
7]
Inulin ถูกค้นพบในปี 1804 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน Valentin Rose เขาพบ “สารพิเศษ” จากรากอินนูลาฮีเลเนียมโดยการต้มน้ำเดือด สารนี้มีชื่อว่าอินนูลินเนื่องจากI. heleniumแต่เรียกอีกอย่างว่าเฮเลนิน อะลาติน และเมเนียนติน พอลิแซ็กคาไรด์ที่ย่อยไม่ได้นั้นมีความกังวลทางวิทยาศาสตร์อย่างมากในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เออร์ไวน์ใช้วิธีทางเคมีเช่น methylation เพื่อศึกษาโครงสร้างโมเลกุลของอินนูลิน และเขาได้ออกแบบวิธีการแยกสำหรับแอนไฮโดรฟรุกโตสชนิดใหม่นี้ ในระหว่างการศึกษาท่อไตในช่วงทศวรรษที่ 1930 นักวิจัยได้ค้นหาสารที่สามารถทำหน้าที่เป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพที่ไม่ดูดซึมกลับคืนมาหรือหลั่งออกมาหลังจากนำเข้าสู่ท่อ ริชาร์ดส์แนะนำอินนูลินเนื่องจากมีน้ำหนักโมเลกุลสูงและต้านทานต่อเอนไซม์ อินนูลินถูกนำมาใช้ในการกำหนดอัตราการกรองของไตของไต
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
2 |
|
ง. 2 และ 3 |
|
อินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่ตับอ่อนสร้างขึ้น และมีหน้าที่ที่สำคัญคือ นำน้ำตาลในเลือดไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกายเพื่อสร้างเป็นพลังงาน แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้เป็นพลังงานได้เต็มที่ เนื่องจากขาดฮอร์โมนอินซูลิน มีผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการปวดปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย เช่น โรคติดเชื้อเป็นแผลหายยาก โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตและตา เป็นต้น หากมีน้ำตาลมากเกินไป insulinจากตับอ่อนจะเปลี่ยนน้ำตาลเป็นไกลโคเจนไปเก็บไว้ในตับ หากต้องการจะใช้ จะมีhormoneที่ชื่อว่า glucagonมาสลายไกลโคเจนให้เป็นน้ำตาลออกจากcellตับ
|
อินซูลินได้ชื่อว่าเป็นโปรตีนของศตวรรษที่ 20 เป็นโปรตีนตัวแรกที่สามารถสกัดให้บริสุทธิ์ได้ มีความพยายามในการที่จะค้นหาอินซูลินเพื่อนำมารักษาเบาหวาน
เบาหวานเป็นโรคที่รู้จักกันมาเป็นพันปีแล้ว คำว่า Diabetes ได้จากแพทย์ชาวกรีก ชื่อ อะรีทรีอัส ซึ่งมีการบันทึกเมื่อ 1500 ปีก่อนคริสตกาล โดยบรรยายว่า ‘Passing too much urine’ ซึ่งหมายถึงการถ่ายปัสสาวะออกมามาก จึงตั้งชื่อว่า ไดอะบิทิส ซึ่งแปลว่า กาลักน้ำ หมายถึงผ่านตลอด (Siphon: Pass Through)
ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 4 แพทย์ชาวฮินดูได้พบว่า ปัสสาวะของคนที่เป็นเบาหวานมีรสชาติหวาน ในหลายศตวรรษต่อมาได้มีการเติมคำละตินว่า Mellitus เพื่ออธิบายถึง รสชาติที่หวานของปัสสาวะ
ค.ศ. 1869 นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ พอล แลงเกอร์ฮานส์ ได้ใช้กล้องจุลทรรศน์ค้นพบว่า ที่ตับอ่อนมีบริเวณเนื้อเยื่อที่แตกต่างไปจากเนื้อเยื่อส่วนใหญ่ของตับอ่อน มีหลอดเลือดมาเลี้ยงมาก ใน ค.ศ. 1893 จึงมีการตั้งชื่อเนื้อเยื่อนี้เป็นเกียรติแก่ท่านว่า ไอเลตส์ออฟแลงเกอร์ฮานส์ (Islet: ออกเสียงว่า ไอเลต แปลว่า เกาะเล็กๆ)
และใน ค.ศ. 1889 ออสการ์ มินคอฟสกิ ด้วยความช่วยเหลือของ โยฮันน์ วอน เมอริง ศึกษาพบว่า ถ้าตัดเอาตับอ่อนของสุนัขออก ต่อมาจะมีมดขึ้นที่ปัสสาวะของสุนัข และเมื่อนำปัสสาวะไปตรวจ พบว่ามีน้ำตาลในปัสสาวะ ทำให้เป็นครั้งแรกที่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างตับอ่อนและเบาหวาน โดยคิดว่าน่าจะมีบทบาทในการย่อยอาหาร
เฟรเดอริก แบนติง นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดา ได้อ่านงานของมินคอฟสกี และศึกษาร่วมกับนักศึกษาแพทย์ชื่อ ชาร์ลส์ เอช. เบสต์ แห่งมหาวิทยาลัยโทรอนโต ได้ทดลองโดยมัดท่อที่ผลิตน้ำย่อยของตับอ่อนของสุนัข ผลปรากฏว่าตับอ่อนไม่สามารถสร้างเอนไซม์ได้อีก แต่เซลล์ไอเลตส์ออฟแลงเกอร์ฮานสยังทำงานได้เป็นปกติ ทั้งสองท่านได้แยกของเหลวที่อยู่ที่ไอเลตส์ออฟแลงเกอร์ฮานส์ออกมา ท่านเรียกว่า ไอเลตทิน และฉีดเข้าไปในสุนัขที่ทำให้เป็นเบาหวาน พบว่าสามารถทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของสุนัขปกติ ต่อมามีการนำมาใช้ในคนได้สำเร็จ และการรักษาด้วยวิธีนี้ได้แพร่หลายออกไป ทั้งสองท่านได้ร่วมทำงานกับ จอห์น แมคเคลาด์ และ เจ.บี. คอลลิป จนได้รับรางวัลโนเบลใน ค.ศ. 1923
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
3 |
|
ค. เอนไซม์ทํางานได้ภายในช่วง pH ที่จํากัด |
|
จากการทดลองจะเห็นได้ว่าในช่วงpH7ที่ไม่มีการเติมenzymeเจลาตินเเข็งตัวได้ภายใน5นาที เเต่หากเราเติมใชenzymeเข้าไปจะทำให้เจลาตินเเข็งตัวช้าลง เเต่ในpH5,10 Enzymeกับทำงานได้ปกติ นั้นเเสดงให้เห็นว่าenzymeจะทำงานได้ดีกับPHที่เหมาะสม เช่นpepsinชอบpHต่ำ ทริปซินชอบpHสูง
|
เอนไซม์แต่ละตัวจะมีค่า pH ที่ทำงานได้ดีที่สุด ค่า pH นี้เรียกว่า optimum pH
และส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง pH 5 ถึง pH 9 แต่เอนไซม์บางตัวอาจมีค่า pH ที่ทำงาน
ได้ดีที่สุด ต่ำมากหรือสูงมากก็ได้ เช่น pH 2 สำหรับเอนไซม์เปปซิน (pepsin) และ
pH 10 สำหรับอัลคาไลน์ฟอสฟาเตส (alkaline phosphatase) เป็นต้น นั่นเป็นเพราะว่า
ความสามารถของเอนไซม์ในการจับกับตัวเข้าทำปฏิกิริยาและในการเร่งปฏิกิริยาอาจขึ้นอยู่
กับความสมดุลของประจุของหมู่ต่างๆ ในบริเวณเร่งและบริเวณจับของเอนไซม์ รวมทั้ง
ประจุของตัวเข้าทำปฏิกิริยาเองด้วย ที่ pH ต่ำหรือสูงเกินไปมักทำให้ประจุเปลี่ยนไปจน
ไม่เหมาะสมที่จะทำปฏิกิริยากัน นอกจากนี้ที่ pH สูงมากหรือต่ำมาก อาจทำให้โครงสร้าง
ของเอนไซม์เสียสภาพธรรมชาติไปด้วย
อ้างอิงจากเว็บไซด์คณะเเพทยศาสตร์ศิริราช
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
4 |
|
ก. เพปไทด์ที่เกิดจากกรดXและกรดYทําปฏิกิริยากับCuSO4ในสภาวะเบสให้สารสีม่วง |
|
ปฏิกิริยาไบยูเรต (Biuret reaction)
กรดอะมิโนxคือvalineเเละyคือleucine เป็นโปรตีนทั้งคู่การทดสอบโปรตีนสามารถทดสอบได้ด้วยปฏิกิริยาไบยูเรต โดยให้โปรตีนทำปฏิกิริยากับสารละลาย CuSO4ในสารละลายเบส NaOH หรือ KOH จะได้สารสีน้ำเงินม่วง โดยปฏิกิริยา CuSO4ในสารละลายเบสจะทำปฏิกิริยากับองค์ประกอบย่อยของโปรตีนคือ กรดอะมิโน ได้สารสีน้ำเงินม่วง ซึ่งเป็นสารประกอบเชิงซ้อนระหว่าง Cu2+กับไนโตรเจนในสารที่มีพันธะเพปไทด์ตั้งแต่ 2 พันธะขึ้นไป
|
อ้างอิงจากในหนังสือ สสวท ม4 เทอม1 (เเหล่งreferenceมีค่อนข้างน้อยเลยครับ เนื่องจากคนตั้งเเต่สมัยอียิปต์ก็ใช้ไบยูเรตในการประกอบกิจกรรมต่างๆอยู่เเล้ว) เลยไม่เเน่อนว่าใครเป็นคนเริ่มใช้ การทดลองคือไบยูเรตมีสีฟ้า ถ้าเจอโปรตีนจะกลายเป็นสีม่วง
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
5 |
|
ข.โครงสร้างแบบทุติยภูมิของโปรตีนแบบเกลียวแอลา เกิดจากการสร้างพันธะไฮโดรเจนระหว่าง C=O ของกรดอะมิโนหนึ่ง N-H ของกรดอะมิโนระหว่างโพลิเพปไทด์ที่อยู่คู่กัน |
|
Amino acid จะเริ่มต้นด้วย NH2(amino gruop) ไปสิ้นสุดที่cooH( carboxyl group)เสมอ ดังนั้นพันธะเปปไทด์ที่เชื่อมทั้ง2ไว้ด้วยกันจะอยู่รหว่างcoohขอบตัวเเรก เเละNH2ของตัวหลัง ซึ่งตอนจับกันOHของ coohเเละ HของNH2เดิม จะหายไป
|
http://www.geocities.ws/nuflam_k/bio9.htm เเหล่งอ้างอิง
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
6 |
|
A=กลีเซอรอล
B=กรดไขมัน
C=ไขมันเเละน้ำมัน |
|
ไขมันและน้ำมันเป็นเอสเทอร์ชนิดหนึ่งซึ่งมีอยู่ในธรรมชาติ จัดว่าเป็นสารอินทรีย์ประเภทเดียวกับไข (Wax) รวมเรียกว่า ไลปิด (Lipid)ไลปิด เป็นเอสเทอร์ที่โมเลกุลมีขนาดใหญ่ไม่มีขั้วจึงไม่ละลายน้ำ แต่ละลายได้ในตัวทำละลายไม่มีขั้ว คือตัวทำละลายอินทรีย์ เช่น คลอโรฟอร์ม อีเทอร์ โพรพาโนน เบนซีน เป็นต้น
ไลปิดซึ่งแบ่งเป็นไขมันและน้ำมันนั้นอาศัยสถานะเป็นเกณฑ์ ไขมันจะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้อง ในขณะที่น้ำมันจะเป็นของเหลว ทั้งไขมันและน้ำมันมีโครงสร้างอย่างเดียวกัน คือ เป็นเอสเทอร์ที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างกลีเซอรอล กับกรดไขมัน
กลีเซอรอล (glycerol ) เป็นสารประเภทแอลกอฮอล์
กรดไขมัน (fatty acid) เป็นสารประเภทกรดอินทรีย์
เอสเทอร์ที่เป็นไขมัน และน้ำมัน เรียกกันทั่ว ๆ ไปว่ากลีเซอไรด์ (glyceride) หรือ กลีเซอริล เอสเทอร์ (glyceryl ester)
ปฏิกิริยาการเตรียมไขมันและน้ำมันเขียนเป็นสมการได้ดังข้างต้น
หมู่อัลคิล ( R ) ทั้ง 3 หมู่ ในไขมันหรือน้ำมัน อาจจะเป็นชนิดเดียวกัน หรือต่างกันก็ได้ อาจจะเป็นสารประเภทอิ่มตัวหรือไม่อิ่มตัวก็ได้
ไขมันและน้ำมันพบได้ทั้งในพืชและสัตว์ โดยในพืชส่วนใหญ่จะพบอยู่ในเมล็ดและในผล เช่น มะพร้าว ถั่วลิสง ถั่วเหลือง มะกอก ปาล์ม เมล็ดฝ้าย และเมล็ดทานตะวัน เป็นต้น ในสัตว์จะพบในไขมันสัตว์ ซึ่งสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อไขมัน เช่น ไขมันวัว หมู แกะ เป็นต้น
ไขมันและน้ำมันมีหน้าที่สำคัญคือ เป็นโครงสร้างที่สำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ และเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญ โดยที่การเผาผลาญน้ำมัน หรือไขมันอย่างสมบูรณ์จะทำให้เกิดพลังงานประมาณ 37.7 kJ /g (9 kcal/g) เปรียบเทียบกับคาร์โบไฮเดรต ซึ่งให้พลังงานประมาณ 16.7 kJ/g (4 kcal/g) และโปรตีนซึ่งให้พลังงาน 17.6 kJ/g (4.7 kcal/g จะเห็นได้ว่าไขมันให้พลังงานมากกว่า
|
อ้างอิงคำตอบจาก https://www.scimath.org/lesson-chemistry/item/7163-2017-06-04-15-11-40 เว็บไซด์ที่อ้างอิงเนื้อหาจากในหนังสือ สสวท
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
7 |
|
ข้อ ข. |
|
โรคหัวใจขาดเลือด
โรคหัวใจขาดเลือด หมายถึง โรคที่เกิดขึ้นเนื่องจากหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบหรือตัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจมีเลือดไปเลี้ยงลดลงหรือไม่มีเลย เป็นผลให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ หากรุนแรงทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ การที่หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบหรือตันนั้น ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากหลอดเลือดแข็งตัวขึ้น เนื่องจากมีไขมันสะสมในผนังด้านในของหลอดเลือด เป็นผลให้ทางที่เลือดไหลผ่านแคบลง เลือดไหลไม่สะดวก กล้ามเนื้อหัวใจจึงได้รับเลือดน้อยกว่าปกติ นอกจากนั้นยังอาจเกิดจากเกร็ดเลือดและลิ่มเลือดอุดตันอีกด้วย
มีอาการอย่างไร
อาการที่สำคัญของภาวะหัวใจขาดเลือด คือ อาการเจ็บแน่นหน้าอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะออกแรง พักแล้วดีขึ้นโดยจะรู้สึกแน่นๆ อึดอัด บริเวณกลางหน้าอก หรือค่อนมาทางซ้าย เจ็บลึกๆ หายใจไม่สะดวก อาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อแตก ใจสั่น หน้ามืด บางรายนอกจากแน่นหน้าอกแล้ว ยังอาจเจ็บร้าวไปที่หัวไหล่ แขน หรือ คอ
ใครบ้างที่มีโอกาสเกิดโรคหัวใจขาดเลือด
สาเหตุของโรคหัวใจขาดเลือด มักจะเกิดจากปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงหลายข้อก็จะมีโอกาสเกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้มากกว่าผู้อื่น และมักมีความรุนแรง ของโรคมากกว่าผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่
1. เพศชาย หรือเพศหญิงในวัยหมดประจำเดือน โดยเพศชายมีโอกาสเกิดโรคหัวใจขาดเลือด มากกว่าเพศหญิง 3-5 เท่า
2. สูบบุหรี่
3. ไขมันในเลือดสูง (โคเลสเตอรอลรวม หรือโคเลสเตอรอลแอล ดี แอล ชนิดร้าย)
4. ไขมันโคเลสเตอรอล เอช ดีแอล (ชนิดดี) ต่ำ
5. โรคความดันโลหิตสูง
6. โรคเบาหวาน
7. อ้วนและไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย
ส่วนเรื่อวความร้อนหากเราใช้เเป้งจำนวนมากในการประกอบอหารไม่ควรใช้ไฟเเรง เพราะเเป้งมีจุดเดือดจุดหลอมเหลวต่ำ
|
https://www.sikarin.com/doctor-articles/โรคหัวใจขาดเลือด
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
8 |
|
ข้อ จ. |
|
กรดไขมันอิ่มตัว หรือไขมันไม่ดี เป็นกรดไขมันที่มีพันธะระหว่างอะตอมของคาร์บอนกับคาร์บอนยึดเหนี่ยวด้วยพันธะเดี่ยวทั้งหมด มีคุณสมบัติแข็งตัวง่าย มีจุดหลอมเหลวสูง ไม่เหม็นหืน แต่มีผลเสียคือหากรับประทานเข้าไปมากจะมีการสะสมอยู่ในเซลล์ต่างๆของร่างกายทำให้เกิดโรคอ้วน นอกจากนั้นอาจทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดได้ ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของ โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง แต่อย่างไรก็ตามไขมันชนิดนี้ก็ยังจำเป็นต่อร่างกายในการเจริญเติบโตของเซลล์ต่างๆ เช่น เซลล์สมอง เซลล์กระดูก เซลล์ผิวหนัง และยังเป็นส่วนประกอบในสารที่สำคัญต่างๆของร่างกาย เช่น ฮอร์โมนต่างๆ แต่ต้องจำกัดปริมาณ กรดไขมันชนิดนี้พบมากในในไขมันสัตว์ และน้ำมันมะพร้าว
กรดไขมันไม่อิ่มตัว หรือไขมันดี เป็นกรดไขมันที่มีพันธะระหว่างอะตอมของคาร์บอนกับคาร์บอนยึดเหนี่ยวด้วยพันธะคู่อย่างน้อย 1 พันธะ มีคุณสมบัติแข็งตัวยาก มีจุดหลอมเหลวต่ำ เกิดการเหม็นหืนได้ ในพืช จะพบกรดไขมันไม่อิ่มตัวมากกว่ากรดไขมันอิ่มตัวและไม่พบคอเลสเทอรอลสูง มีผลต่อโรคอ้วนและต่อโรคหลอดเลือดแดงแข็งน้อยกว่าไขมันอิ่มตัว เราสามารถทดสอบหากรดไขมันไม่อิ่มตัวได้ โดยวิธีการทดสอบกับไอโอดีน(I2) เนื่องจากไอโอดีนทำปฏิกิริยากับกรดไขมันไม่อิ่มตัวเกิดเป็นสารใหม่ไม่มีสี หากสารใดที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวอยู่จะสามารถฟอกจางสีของไอโอดีนให้เจือจางลงได้ยิ่งมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวมากยิ่งเจือจางได้มาก กรดไขมันชนิดนี้พบในถั่วเหลือง เต้าหู้ และน้ำมันพืช (ยกเว้นน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์ม)
|
https://sites.google.com/site/foodlivelihood/05-fat/05-3-main-idea?tmpl=%2Fsystem%2Fapp%2Ftemplates%2Fprint%2F&showPrintDialog=1
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
9 |
|
ข. น้ำมันมะกอกเท่านั้นที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว จึงทำปฏิกิริยาฟอกจางสีโบรมีนได้ |
|
ตัวอย่างกรดไขมันอิ่มตัว[แก้]
กรดบิวทิริก: CH3(CH2)2COOH
กรดลอริก (dodecanoic acid) : CH3(CH2)10COOH
กรดไมริสติก (tetradecanoic acid) : CH3(CH2)12COOH
กรดปาล์มิติก (hexadecanoic acid) : CH3(CH2)14COOH
กรดสเตียริก (octadecanoic acid) : CH3(CH2)16COOH
กรดอะราคิดิก (eicosanoic acid) : CH3(CH2)18COOH
นอกเหนือจากนี้คือไขมันไม่อิ่มตัวเห็นได้ว่าน้ำมันหมูเเละไขวัว ก็มีส่วนที่ไม่อิ่มตัวเช่นกัน
|
https://th.wikipedia.org/wiki/กรดไขมันอิ่มตัว
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
10 |
|
ก. ไข่ขาว , น้ำตาลทราย , เอทิลแอซิเตต |
|
เอทิลอะซิเตดผลิตมาจากน้ำส้มสายชู
ทดสอบโปรตีนด้วยไบยูเร็ต เปลี่ยนเป็นสีม่วง(ไข่ขาว)
ทดสอบนัำตาลด้วยเบเนดิกด์เปบี่ยนเป็นสีเเดงอิฐ
|
https://erp.mju.ac.th/openFile.aspx?id=NDYyMTM=
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
11 |
|
ข. ข้อ 1 และ ข้อ 2 ถูก |
|
Celluloseเป็นเบต้า
|
หนังสือชีวะปลาหมึกหน้า14 ของอาจารย์ศุภนัฐ ไพโรหกุล
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
12 |
|
ง. ถูกทุกข้อ |
|
ถูกหมดเลย
|
หนังสือชีวะปลาหมึก ของอาจารย์ศุภนัฐ ไพโรหกุล
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
13 |
|
X=hydrolysis reaction
Y=dehydration reaction
Z=hydrolysis reaction |
|
การรวมกันเป็นโมเลกุลใหญ่หรือพอลิเมอร์ต้องดึงน้ำออกหรือdehrydration
เเต่ถ้าจะสลายพอลิเมอร์ให้เป็นมอนอเมอร์ ต้องเติมน้ำเข้าไปทำลสยพันธะโคเวเลนต์
|
หนังสือชีวะปลาหมึก ของอาจารย์ศุภนัฐ ไพโรหกุล
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
14 |
|
20 |
|
-
|
หนังสือชีวะปลาหมึก ของอาจารย์ศุภนัฐ ไพโรหกุล
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
15 |
|
ง. ถูกทุกข้อ |
|
ตามหลักการของหมูฟังก์ชัน
|
หนังสือชีวะปลาหมึก ของอาจารย์ศุภนัฐ ไพโรหกุล
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
16 |
|
ง. นมถั่วเหลือง กลูโคส น้ำตาลทราย |
|
นมถั่วเหลือง-โปรตีน ทำกับไบยูเรต
น้ำตาลทราย(ซูโครส)ถ้าไม่เติมกรดจะไม่ทำreaction
กลูโคสทำกับเบเนดิกด์
|
หนังสือชีวะปลาหมึก ของอาจารย์ศุภนัฐ ไพโรหกุล
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
17 |
|
ก. ไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัว ไฮโดรคาร์บอนไม่อิ่มตัว กรดไขมันอิ่มตัว กลูโคส |
|
|
หนังสือชีวะปลาหมึก ของอาจารย์ศุภนัฐ ไพโรหกุล
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
18 |
|
ง. X, Y และ Z |
|
|
หนังสือชีวะปลาหมึก ของอาจารย์ศุภนัฐ ไพโรหกุล
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
19 |
|
จ. กรดอะมิโน |
|
เพราะกรดอะมิโนเมื่อละลายนํา้แล้วหมู่–COOHจะแตกตวัให้H+ ไปโปรโตเนตหมู่–NH2 เกิดเป็นหมู่– COO- (เบส) และ –NH3+ (กรด) ทําให้มีสมบตั ิเป็นบฟั เฟอร์ ส่วนกรดไขมนั มีเฉพาะหมู่ –COOH สําหรับนํา้ ตาลโมเลกุล
เดี่ยวมีหมู่–OHและคลอเลสเตอรอลมีแตห่ มเู่อสเทอร์( OC O )
|
https://curadio.chula.ac.th/Images/Class-Onair/ch/2010/ch-2010-08-13.pdf
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
20 |
|
1. พืชไม่สามารถตรึง CO2 ใน Calvin cycle ได้ |
|
ไม่มีพลังงานไปถึงเพื่อนรึงในcalvin cycle
|
หนังสือชีวะปลาหมึก ของอาจารย์ศุภนัฐ ไพโรหกุล
|
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
21 |
|
|
|
|
|
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
22 |
ไม่ถูกต้อง เกี่ยวกับอะไมโลสและอะไมเลส
|
|
|
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
23 |
|
1. Glucose เป็นแหล่งพลังงานของเซลล์ |
|
|
หนังสือชีวะปลาหมึก ของอาจารย์ศุภนัฐ ไพโรหกุล
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
24 |
|
2. Operon |
|
มันคือการสังเคราะห์โปรตีนในระดับโมเลกุล ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับoperon
|
หนังสือชีวะปลาหมึก ของอาจารย์ศุภนัฐ ไพโรหกุล เเละตาของผมเอง
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
25 |
|
4. Repressor |
|
|
หนังสือชีวะปลาหมึก ของอาจารย์ศุภนัฐ ไพโรหกุล
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|