1 |
|
จ. คาร์โบไฮเดรต |
|
เนื่องจากอินนูลินเป็นสายโพลิเมอร์ของน้ำตาลฟรักโทส
|
สารสกัดอินนูลิน
โครงการวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเบื้องต้นเพื่อค้นหาพืชสมุนไพรที่มีศักยภาพในการสกัดอินนูลินเพื่อ ใช้เป็นวัตถุเติมในอาหารสัตว์ โดยการทำงานวิจัยในครั้งนี้ครอบคลุมตั้งแต่การเก็บตัวอย่างพืช พัฒนาวิธี คัดกรองพืชในเบื้องต้น พัฒนาวิธีวิเคราะห์ปริมาณอินนูลินที่มีในพืช การทดสอบผลของสารสกัดอินนูลิน จากพืชในแง่ของการเป็นสารพรีไบโอติก รวมทั้งการหาสภาวะที่เหมาะสมในการเตรียมสารสกัดจากพืช เพื่อให้ได้ปริมาณอินนูลินที่ดีที่สุด ซึ่งข้อมูลที่ได้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นข้อมูลในเบื้องต้นเพื่อใช้เป็นแนวทาง ในการเลือกพืชที่มีศักยภาพในประเทศไทยในการเป็นแหล่งของสารพรีไบโอติกอินนูลิน ซึ่งจะเป็น ประโยชน์สำหรับภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมต่อไป ในการวิจัยนี้ได้ทำการคัดกรองพืชสมุนไพร 17 ชนิดในเบื้องต้นด้วยเทคนิคการตรวจลักษณะ สารอินนูลินด้วยกล้องจุลทรรศน์โดยการย้อมเซลล์พืชด้วย α-napthol ในเอธานอลแล้วตามด้วยกรดซัล ฟูริก และการใช้เทคนิค TLC ในการตรวจสอบน้ำตาลฟรุกโตสในสารสกัดพืชก่อนและหลังไฮโดรไลส์ ด้วยเอนไซม์อินนูลินเนส นักวิจัย : วีณา นุกูลการ
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
2 |
|
ง. 2 และ 3 |
|
อินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่ตับอ่อนสร้างขึ้น และมีหน้าที่สำคัญคือนำน้ำตาลในเลือดไปยังเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกายเพื่อสร้างเป็นพลังงาน แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้เป็นพลังงานได้เต็มที่ เนื่องจากขาดฮอร์โมนอินซูลินมีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น มีหน้าที่ในการนำกลูโคสเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อ เพื่อลดการสลายโปรตีนในกล้ามเนื้อ เพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด
|
งานวิจัยที่อ้างอิง ผลของโปรแกรมส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนต่อความสามารถในการใช้ยาฉีดอินซูลิน ชนิดปากกาในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2: การทดลองเชิงสุ่มที่มีกลุ่มควบคุมผปู้่วยโรคเบาหวานทใ่ีชย้า ฉีดอินซูลิน โดยอาจใช้รูปแบบการแทรกแซงดังเช่นใน การศกึษาน้ีไดแ้ก่1)การคน้หาปัญหาและหาแนวทางแกไ้ข ปัญหาจากการใช้IPI2)การใหผ้ปู้่วยชมตน้แบบจากผปู้่วย ท่ใี ช้ยาฉีดได้ถูกต้องโดยใช้ส่อื วดี ทิ ศั น์ 3) การให้ผู้ป่วยฝึก ปฏบิ ตั กิ ารใชย้ าฉีดจรงิ และ 4) การพูดใหก้ าลงั ใจแก่ผปู้ ่วย การศกึ ษาในอนาคตควรจดั ทาแนวทางในการค้นหาปัญหา และแกไ้ขปัญหาจากการใช้IPIใหเ้ป็นระบบมากขน้ึ และใน การแทรกแซงหากผดู้แูลของผปู้่วยมสีว่นร่วมดว้ยอาจช่วย ใหผ้ปู้่วยใชย้าฉีดอนิซูลนิทถ่ีูกต้องมากขน้ึและมกีารควบคุม ระดบัน้าตาลในเลอืดทด่ีขีน้
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
3 |
|
ข. เอนไซม์เป็นสารประเภทโปรตีน |
|
เอนไซม์ (Enzyme) เปรียบเสมือนกับสิ่งที่เป็นตัวจุดประกายของชีวิตในร่างกาย หมายความว่าถ้าหากร่างกายของเราไม่มีเอนไซม์ ร่างกายก็จะไม่สามารถย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารเพื่อไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ และในที่สุดก็ตายลง ดังนั้นเอนไซม์จึงเป็นตัวช่วยเร่งปฏิกิริยาเคมี หรือตัวคะตะลิสต์ (Catalyst) ที่จำเพาะ ซึ่งจะทำง่านร่วมกับโคเอนไซม์ (Coenzymes) โดยโคเอนไซม์ในที่นี้ก็คือพวกวิตามินและแร่ธาตุจำเป็นต่อร่างกาย และวิตามินและแร่ธาตุนั้นจะไม่สามารถกระตุ้นให้ทำงานได้หากไม่ได้ทำงานร่วมกับเอนไซม์
|
ดร.เอ็ดเวิร์ด เฮาเวลล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเป็นบุคคลแรกที่ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเอนไซม์ ในช่วงปี พ.ศ.2476 - 2486 และเขาได้กล่าวว่า "ร่างกายของเรามีแหล่งพลังงานจากเอนไซม์มาตั้งแต่แรกเกิด เปรียบเสมือนกับแบตเตอรี่ก้อนใหม่ ที่เมื่อใช้ไปในระยะหนึ่งแล้ว แบตเตอร์รี่ดังกล่าวก็จะหมดอายุหรือหมดพลังไป ร่างกายของเราก็เช่นกัน เมื่อใช้แหล่งพลังงานเหล่านั้นจากเอนไซม์ไปมากเท่าไหร่ ชีวิตของเราก็สั้นมากขึ้นเท่านั้น"
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
4 |
|
ค. เพปไทด์ที่เกิดจากกรดXกรดYและกรดZเป็นไตรเพปไทด์ที่มีจํานวนพันธะเพปไทด์3พันธะ |
|
ดร.เอ็ดเวิร์ด เฮาเวลล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเป็นบุคคลแรกที่ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเอนไซม์ ในช่วงปี พ.ศ.2476 - 2486 และเขาได้กล่าวว่า "ร่างกายของเรามีแหล่งพลังงานจากเอนไซม์มาตั้งแต่แรกเกิด เปรียบเสมือนกับแบตเตอรี่ก้อนใหม่ ที่เมื่อใช้ไปในระยะหนึ่งแล้ว แบตเตอร์รี่ดังกล่าวก็จะหมดอายุหรือหมดพลังไป ร่างกายของเราก็เช่นกัน เมื่อใช้แหล่งพลังงานเหล่านั้นจากเอนไซม์ไปมากเท่าไหร่ ชีวิตของเราก็สั้นมากขึ้นเท่านั้น"
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
5 |
|
ข.โครงสร้างแบบทุติยภูมิของโปรตีนแบบเกลียวแอลา เกิดจากการสร้างพันธะไฮโดรเจนระหว่าง C=O ของกรดอะมิโนหนึ่ง N-H ของกรดอะมิโนระหว่างโพลิเพปไทด์ที่อยู่คู่กัน |
|
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
6 |
|
|
|
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
7 |
|
้ข้อ ค. |
|
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
8 |
|
ข้อ ข. |
|
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
9 |
|
ข. น้ำมันมะกอกเท่านั้นที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว จึงทำปฏิกิริยาฟอกจางสีโบรมีนได้ |
|
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
10 |
|
ค. น้ำตาลทราย , ไข่ขาว , เอทิลแอซิเตต |
|
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
11 |
|
ข. ข้อ 1 และ ข้อ 2 ถูก |
|
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
12 |
|
ก. มีข้อถูกเพียงข้อเดียว |
|
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
13 |
|
X =
Y=
Z= |
|
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
14 |
|
4 ชนิด |
|
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
15 |
|
ข. มีข้อถูก 2 ข้อ |
|
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
16 |
|
ข. กรดอะมิโน น้ำตาลทราย ไข่ขาว |
|
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
17 |
|
|
|
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
18 |
|
ข. W, X และ Z |
|
สารละลายเบเนดิกต์ มีสีน้ำเงินใช้ในการทดสอบน้ำตาลกลูโคส ทดสอบโดยใช้สารละลายเบเนดิกต์ เติมลงในสารที่ต้องการทดสอบ นำไปต้ม ถ้าเป็น กลูโคส จะเปลี่ยนสี จากสีฟ้าเป็นตะกอนสีส้มอิฐ กลูโคสทำปฏิกิริยากับสารละลายเบเนดิกต์ได้เร็วกว่าจึงใช้ในการทดสอบน้ำตาลกับสารละลายเบเนดิกต์ ใช้สื่อการสอนวิชาวิทยาศาสตร์การค้นหาสารอาหารจากพืชชนิดต่างที่มีน้ำตาลจะเปลี่ยนสีเบเนดิกต์สีอิฐ
|
น้ำตาลเชิงเดี่ยว ( Mono saccharide ) เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีขนาดโมเลกุลเล็กคาร์โบไฮเดรตแต่ละชนิดมีสมบัติ
แตกต่างกัน คือ กลูโคสทำปฏิกิริยากับสารละลายเบเนดิกต์ได้เร็วกว่า ซูโครส แป้งไม่ทำปฏิกิริยากับสาร
ละลายเบเนดิกต์ แต่ทำปฏิกิริยากับสารละลายไอโอดีน ส่วยเซลลูโลสไม่ทำปฏิกิริยากับสารละลายทั้งสองชนิดนี้
อาหารที่นำมาทดสอบจะให้ผล ดังนี้
- เส้นก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง วุ้นเส้น กล้วยน้ำว้า ทดสอบโดยใช้สารละลายไอโอดีน ให้สีน้ำเงินแสดงว่า มีแป้ง
- น้ำผึ้ง น้ำตาลกรวด กล้วยน้ำว้า ขนมปัง ( ถ้ามีรสหวาน ) ทดสอบโดยใช้สารละลายเบเนดิกต์ ถ้าเปลี่ยนสีของ
สารละลายจากฟ้าเป็นเขียว แล้วเหลืองในที่สุด ได้ตะกอนสีแดงส้ม แสดงว่ามีน้ำตาล
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
19 |
|
จ. กรดอะมิโน |
|
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
20 |
|
2. พืชไม่สามารถใช้ ADP และ NADP+ ได้ตามปกติ |
|
|
|
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
21 |
|
3. มีสารพันธุกรรมเช่นเดียวกับเชื้อก่อโรค Influenza , AIDS |
|
Antibody (แอนติบอดี) คือ สารจำพวกไกลโคโปรตีนที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองการกระตุ้นของแอนติเจน แอนติบอดีพบได้ในเลือด น้ำเหลือง และสารคัดหลั่งต่าง ๆ ในร่างกาย มีหน้าที่จับสิ่งแปลกปลอม (Antigen) ต่าง ๆ ที่เข้ามาในร่างกาย เช่น แบคทีเรีย ไวรัส หรือสารพิษต่าง ๆ แอนติบอดีจะมีความจำเพาะเจาะจงกับแอนติเจนมาก เพราะจะทำปฏิกิริยากับแอนติเจนที่กระตุ้นให้ถูกสร้างขึ้นเท่านั้น เมื่อสิ่งแปลกปลอมถูกแอนติบอดีจับแล้ว จะถูกทำลายความเป็นพิษ (Neutralize) หรือถูกนำไปทำลายต่อด้วยระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายต่อไป โดยการทำปฏิกิริยาของแอนติเจนกับแอนติบอดีนี้คล้ายกับตัวต่อจิ๊กซอว์ ซึ่งนอกจากร่องและเดือยจะเข้ากันได้พอดีแล้ว สีและลายบนตัวต่อจิ๊กซอว์ต้องตรงกันด้วย ด้วยเหตุนี้ เวลามีเชื้อโรคเข้ามาในร่างกาย แอนติบอดีจึงทำลายเชื้อโรคเหล่านั้นได้
|
Monoclonal antibody คือ แอนติบอดีที่สร้างจากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ออกแบบมาให้มีความจำเพาะต่อความต้องการโมโนโคลนอลแอนติบอดีที่ใช้รักษาโควิด-19 มีทั้งแบบผสมและไม่ผสม
ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)อนุมัติการใช้ยาแอนติบอดีแบบผสมรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แบบมีเงื่อนไขภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศ
โดยยาแอนติบอดีแบบผสม เป็นแอนติบอดีชนิดโมโนโคลนอล 2 ชนิด คือ แอนติบอดีที่สกัดจากหนูซึ่งถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้มีระบบภูมิคุ้มกันอย่างมนุษย์ และแอนติบอดีที่สกัดจากผู้ที่หายป่วยจากโรคโควิด-19
เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำให้ไวรัสอ่อนกำลังลง และยับยั้งการติดเชื้อภายในร่างกายผู้ป่วยลงได้
ผลการวิจัยพบว่า ช่วยลดจำนวนเชื้อไวรัสในร่างกายของผู้ป่วย ลดระยะเวลาการรักษาในโรงพยาบาล และลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตได้ต้องให้เร็วตั้งแต่ระยะแรกในการป่วย
ใช้ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงจะมีอาการรุนแรง ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน เป็นต้น
ยังไม่มีผลการศึกษาในมนุษย์ถึงการรักษาการติดเชื้อจากสายพันธุ์ต่าง ๆ เช่น เบตา แอลฟา แกมมา และเดลตา
|
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
22 |
ไม่ถูกต้อง เกี่ยวกับอะไมโลสและอะไมเลส
|
ค. อะไมโลส เปลี่ยนสีสารละลายไอโอดีนเป็นสีน้ำเงิน |
|
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
23 |
|
1. Glucose เป็นแหล่งพลังงานของเซลล์ |
|
น้ำตาลกลูโคส (glucose) เป็น คาร์โบไฮเดรต (carbohydrate) ประเภท น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (monosaccharide) มีคาร์บอน 6 อะตอม (hexose) ชนิดแอลโดส (aldose) น้ำตาลกลูโคสที่พบอยู่ในรูป D-glucose ซึ่งเป็นน้ำตาลรีดิวซ์ (reducing sugar) น้ำตาลกลูโคส อาจเรียกว่า dextrose (หมายถึง D-glucose)
|
น้ำตาลกลูโคส (glucose) เป็น คาร์โบไฮเดรต (carbohydrate) ประเภท น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (monosaccharide) มีคาร์บอน 6 อะตอม (hexose) ชนิดแอลโดส (aldose) น้ำตาลกลูโคสที่พบอยู่ในรูป D-glucose ซึ่งเป็นน้ำตาลรีดิวซ์ (reducing sugar) น้ำตาลกลูโคส อาจเรียกว่า dextrose (หมายถึง D-glucose)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
24 |
|
3. DNA polymerase |
|
ไม่ปรากฎในวีดีโอ
|
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
25 |
|
5. Glucose |
|
Lac operon ของ E. coli เป็นการควบคุมการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการย่อยสลายน้ำตาลแลกโตส ประกอบด้วยยีน 3 ชนิดคือ Lac Z ควบคุมการสร้างเอนไซม์ เบตากาแลกโตซิเดส Lac Y ควบคุมการสร้างเอนไซม์ เบตากาแลกโตซิเดส เพอร์เมส มีหน้าที่นำแลกโตสเข้าสู่เซลล์ Lac A ควบคุมการสร้างเอนไซม์ ทรานอะซิลเลส เติมหมู่เอซิลให้กับแลกโตส
|
โอเปอรอนของแบคทีเรียคือการถอดเสียงโพลีซิสทรอนิกส์ ที่สามารถสร้างโปรตีนหลายชนิดจากการถอดเสียงmRNAหนึ่งรายการ ในกรณีนี้เมื่อแลคโตสจะต้องเป็นน้ำตาลแหล่งสำหรับแบคทีเรียสามยีนของครั่ง operon สามารถแสดงและโปรตีนที่มาของพวกเขาแปล: lacZ , ลูกไม้ลายฉลุและLaca ผลิตภัณฑ์ยีนlacZเป็นβ-galactosidaseซึ่งแข็งกระด้างแลคโตสซึ่งเป็นไดแซ็กคาไรด์ลงกลูโคสและกาแลคโต lacYเข้ารหัสBeta-galactoside permeaseซึ่งเป็นโปรตีนเมมเบรนซึ่งจะฝังตัวอยู่ในเยื่อหุ้มไซโทพลาสซึมเพื่อให้สามารถลำเลียงแลคโตสเข้าสู่เซลล์ได้ สุดท้ายLaca encodes galactoside acetyltransferase
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|