1 |
|
จ. คาร์โบไฮเดรต |
|
เพราะโมเลกุลของอินนูลิน เป็นเฮเทอโรพอลิแซ็กคาไรด์ ( heteropolysaccharide) กล่าวคือ มีโมเลกุลของน้ำตาลมากกว่า 1 ชนิดมาเชื่อมต่อกัน โดยเป็นพอลิเมอร์ของน้ำตาลฟรักโทส (fructose) 10-60 โมเลกุล จึงอาจเรียกว่า ฟรักแทน (fructans) แต่มีโมเลกุลที่ปลายสุดด้านหนึ่งเป็นน้ำตาลกลูโคส (glucose) ซึ่งน้ำตาลจัดเป็นสารชีวโมเลกุลประเภทคาร์โบไฮเดรต
|
เพราะโมเลกุลของอินนูลิน เป็นเฮเทอโรพอลิแซ็กคาไรด์ ( heteropolysaccharide) กล่าวคือ มีโมเลกุลของน้ำตาลมากกว่า 1 ชนิดมาเชื่อมต่อกัน โดยเป็นพอลิเมอร์ของน้ำตาลฟรักโทส (fructose) 10-60 โมเลกุล จึงอาจเรียกว่า ฟรักแทน (fructans) แต่มีโมเลกุลที่ปลายสุดด้านหนึ่งเป็นน้ำตาลกลูโคส (glucose) ซึ่งน้ำตาลจัดเป็นสารชีวโมเลกุลประเภทคาร์โบไฮเดรต
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
2 |
|
ง. 2 และ 3 |
|
ข้อ 2 และ 3 ถูกต้อง แต่ข้อ 1 ผิด เพราะคนที่เป็นเบาหวานมีปริมาณอินซูลินในร่างกายไม่เพียงพอต่อความต้องการ และข้อ 4 ผิด เพราะการฉีดอินซูลินมีจุดประสงค์เพื่อให้อินซูลินดังกล่าวสามารถนำน้ำตาลในเลือดเข้าสู่เซลล์ใช้เป็นพลังงานต่อไป
|
ข้อ 2 และ 3 ถูกต้อง แต่ข้อ 1 ผิด เพราะคนที่เป็นเบาหวานมีปริมาณอินซูลินในร่างกายไม่เพียงพอต่อความต้องการ และข้อ 4 ผิด เพราะการฉีดอินซูลินมีจุดประสงค์เพื่อให้อินซูลินดังกล่าวสามารถนำน้ำตาลในเลือดเข้าสู่เซลล์ใช้เป็นพลังงานต่อไป
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
3 |
|
ข. เอนไซม์เป็นสารประเภทโปรตีน |
|
เอนไซม์มีโครงสร้างทางเคมีเป็นโปรตีน ซึ่งประกอบไปด้วยพอลิเปปไทด์ (Polypeptide) เพียงสาย เดียวหรือหลายสายที่ม้วนกันเป็นก้อนกลม มีโครงรูปที่จำเพาะ และถูกกำหนดมาโดยลำดับการเรียงตัวของ กรดอะมิโน และยังมีเอนไซม์อีกจำนวนมากที่มีสารประกอบอื่นที่ไม่ใช่โปรตีนรวมอยู่ด้วย
|
เอนไซม์ (Enzyme) คือ กลุ่มของโปรตีนที่มีหน้าที่พิเศษแตกต่างจากโปรตีนอื่นๆ ทั่วไป กล่าวคือ มี ความสามารถในการเร่งปฏิกิริยาทางชีวเคมีที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง เพื่อใช้ ในการสังเคราะห์องค์ประกอบภายในเซลล์ และระบบการย่อยอาหาร เป็นต้น โดยเอนไซม์จะมีความจำเพาะ ต่อสารที่ทำปฏิกิริยาที่เรียกว่า “ซับสเตรต” (Substrate) และสามารถเร่งปฏิกิริยาโดยไม่ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์อื่น ตลอดทั้งเอนไซม์จะเพิ่มอัตราเร็วของปฏิกิริยาโดยลดพลังงานกระตุ้นของปฏิกิริยาได้
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
4 |
|
ก. เพปไทด์ที่เกิดจากกรดXและกรดYทําปฏิกิริยากับCuSO4ในสภาวะเบสให้สารสีม่วง |
|
ข้อ 2 ถูก เนื่องจากการเกิดปฏิกิริยากับ CuSO4 ในเบสนั้น คือ การทดสอบไบยูเร็ต ซึ่งจะเกิดปฏิกิริยาบริเวณพันธะเพปไทด์ของสารไตรเพปไทด์ขึ้นไป
|
ข้อ 2 ถูก เนื่องจากการเกิดปฏิกิริยากับ CuSO4 ในเบสนั้น คือ การทดสอบไบยูเร็ต ซึ่งจะเกิดปฏิกิริยาบริเวณพันธะเพปไทด์ของสารไตรเพปไทด์ขึ้นไป
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
5 |
|
ข. |
|
เกลียวแอลฟา หรือ แอลฟาเฮลิกซ์ (a-helix) เป็นโครงสร้างที่มีลักษณะเป็นแท่ง เกิดจากการหดตัวกันของสายพอลิเพปไทด์เป็นเกลียวหรือเฮลิกซ์ได้ทั้งแบบเวียนขวาและเวียนซ้าย ในธรรมชาติมักพบโครงสร้างที่เป็นเกลียวเวียนขวา โครงสร้างที่เป็นเกลียวนั้นเกิดจากการสร้างพันธะไฮโดรเจนระหว่างอะตอมของไฮโดรเจน (H) ที่อยู่ในหมู่อะมิโน (-NH2) ของกรดอะมิโนตัวหนึ่งกับออกซิเจน (O) ที่อยู่ในหมู่คาร์บอกซิล (-COOH) ของกรดอะมิโน ที่อยู่ถัดไป 4 ตำแหน่งบนสายพอลิเพปไทด์เดียวกัน
|
เกลียวแอลฟา หรือ แอลฟาเฮลิกซ์ (a-helix) เป็นโครงสร้างที่มีลักษณะเป็นแท่ง เกิดจากการหดตัวกันของสายพอลิเพปไทด์เป็นเกลียวหรือเฮลิกซ์ได้ทั้งแบบเวียนขวาและเวียนซ้าย ในธรรมชาติมักพบโครงสร้างที่เป็นเกลียวเวียนขวา โครงสร้างที่เป็นเกลียวนั้นเกิดจากการสร้างพันธะไฮโดรเจนระหว่างอะตอมของไฮโดรเจน (H) ที่อยู่ในหมู่อะมิโน (-NH2) ของกรดอะมิโนตัวหนึ่งกับออกซิเจน (O) ที่อยู่ในหมู่คาร์บอกซิล (-COOH) ของกรดอะมิโน ที่อยู่ถัดไป 4 ตำแหน่งบนสายพอลิเพปไทด์เดียวกัน ทำให้เกิดการบิดเป็นเกลียว โดยเกลียวแต่ละเกลียวจะมีจำนวนกรดอะมิโน 3.6 หน่วยต่อรอบ ระยะห่างระหว่างกรดอะมิโนแต่ละตัวเท่ากับ 1.5 อังสตรอม (0A) มีระยะห่างระหว่างเกลียว 0.54 นาโนเมตร (5.4 อังสตรอม ) และหมู่แขนงข้างของกรดอะมิโนจะชี้ออกด้านข้าง ปี ค.ศ.1950 ได้มีการศึกษาโครงสร้างแบบเฮลิกซ์ครั้งแรกในโปรตีนที่ชื่อ เคราติน (keratin) ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบในเส้นผม
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
6 |
|
A คือ กลีเซอรอล
B คือ กรดไขมัน
C คือ ไขมันและน้ำมัน |
|
เพราะไขมัน หรือน้ำมัน เกิดจาก กลีเซอรอลรวมกับกรดไขมัน 3 โมเลกุล แล้วใช้กรดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาซึ่งจะได้ผลิตภัณฑ์เป็น ไขมัน/น้ำมัน และน้ำ 3 โมเลกุล
|
ไลปิดซึ่งแบ่งเป็นไขมันและน้ำมันนั้นอาศัยสถานะเป็นเกณฑ์ ไขมันจะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้อง ในขณะที่น้ำมันจะเป็นของเหลว ทั้งไขมันและน้ำมันมีโครงสร้างอย่างเดียวกัน คือ เป็นเอสเทอร์ที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างกลีเซอรอล กับกรดไขมัน
กลีเซอรอล (glycerol ) เป็นสารประเภทแอลกอฮอล์
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
7 |
|
จ. |
|
เพราะน้ำมันที่ทำให้มีโอกาสเป็นหัวใจขาดเลือดมากที่สุด คือ น้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวเป็นองค์ประกอบมากที่สุด โดยน้ำมันประเภทนี้ควรใช้ประกอบอาหารโดยการใช้ไฟอ่อนๆ การทดสอบน้ำมันจากโจทยาเป็นการทดสอบความไม่อิ่มตัวของกรดไขมันองค์ประกอบ โดยไอโอดีนที่หยดลงไปจะเข้าทำปฏิกิริยาการเติมที่พันธะคู่ของกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวทำให้เกิดการฟอกจางสีของไอโอดีน ดังนั้น ยิ่งต้องใช้จำนวนหยดของไอโอดีนมากขึ้นเท่าใรจำนวนของพันธะคู่หรือความไม่อิ่มตัวของกรดไขมันที่ทดสอบก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น จากผลการทดสอบจึงสรุปได้ว่าความไม่อิ่มตัวของน้ำมันแต่ละชนิดจึงเป็นดังนี้ W
|
เพราะน้ำมันที่ทำให้มีโอกาสเป็นหัวใจขาดเลือดมากที่สุด คือ น้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวเป็นองค์ประกอบมากที่สุด โดยน้ำมันประเภทนี้ควรใช้ประกอบอาหารโดยการใช้ไฟอ่อนๆ การทดสอบน้ำมันจากโจทยาเป็นการทดสอบความไม่อิ่มตัวของกรดไขมันองค์ประกอบ โดยไอโอดีนที่หยดลงไปจะเข้าทำปฏิกิริยาการเติมที่พันธะคู่ของกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวทำให้เกิดการฟอกจางสีของไอโอดีน ดังนั้น ยิ่งต้องใช้จำนวนหยดของไอโอดีนมากขึ้นเท่าใรจำนวนของพันธะคู่หรือความไม่อิ่มตัวของกรดไขมันที่ทดสอบก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น จากผลการทดสอบจึงสรุปได้ว่าความไม่อิ่มตัวของน้ำมันแต่ละชนิดจึงเป็นดังนี้ W
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
8 |
|
ข. |
|
เพราะ น้ำมันที่แข็งตัวง่ายจะมีจุดหลอมเหลวที่สูง มีกรดไขมันอิ่มตัวมากและเหม็นหืนได้ยาก ส่วนน้ำมันที่แข็งตัวได้ยากนั้นเป็นน้ำมันที่ยังไม่อิ่มตัวจะมีจุดหลอมเหลวที่ต่ำจึงยังคงทำให้เป็นของเหลวอยู่เกิดการเหม็นหืนได้ง่ายเนื่องจากไวต่อการทำปฏิกิริยากับอากาศ
|
เพราะ น้ำมันที่แข็งตัวง่ายจะมีจุดหลอมเหลวที่สูง มีกรดไขมันอิ่มตัวมากและเหม็นหืนได้ยาก ส่วนน้ำมันที่แข็งตัวได้ยากนั้นเป็นน้ำมันที่ยังไม่อิ่มตัวจะมีจุดหลอมเหลวที่ต่ำจึงยังคงทำให้เป็นของเหลวอยู่เกิดการเหม็นหืนได้ง่ายเนื่องจากไวต่อการทำปฏิกิริยากับอากาศ
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
9 |
|
ก. น้ำมันหมูประกอบด้วยกรดไขมันอิ่มตัวน้อยกว่าไขวัว |
|
เพราะ น้ำมันหมูประกอบด้วยกรดไขมันอิ่มตัวมากกว่าไขวัว
|
เพราะ น้ำมันหมูประกอบด้วยกรดไขมันอิ่มตัวมากกว่าไขวัว
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
10 |
|
ก. ไข่ขาว , น้ำตาลทราย , เอทิลแอซิเตต |
|
เพราะ การทดลองแรก เป็นการทดสอบโปรตีนหรือเพปไตด์ การทดลองที่สอง เป็นการทดสอบน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว และการทดลองที่สาม เป็นการทดสอบแอลกอฮอล์
|
เพราะ การทดลองแรก เป็นการทดสอบโปรตีนหรือเพปไตด์ การทดลองที่สอง เป็นการทดสอบน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว และการทดลองที่สาม เป็นการทดสอบแอลกอฮอล์
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
11 |
|
ข. ข้อ 1 และ ข้อ 2 ถูก |
|
ข้อ 3 ผิด เพราะ เซลลูโลส เชื่อมต่อกันด้วยพันธะไกลโคซิดิก แบบ β-1,4-glycosidic bond
|
โครงสร้างของเซลลูโลสประกอบด้วยโมเลกุลของกลูโลส (Glucose) ที่มีหมู่ไฮดรอกซิล (Hydroxyl group) เป็นหมู่หลัก มาเรียงต่อกันด้วยพันธะไกลโคไซด์ (Glycosidic bond) ที่ต้าแหน่งบีต้า-1,4 (β (1-4 glycosidic bond)) ได้เป็นสายยาวที่ประกอบด้วยโมเลกุลของกลูโคสกว่า 1,000 - 10,000 โมเลกุล ที่มีการจัดเรียงตัว กันอย่างเป็นระเบียบ
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
12 |
|
ข. มีข้อถูก 2 ข้อ |
|
ข้อ 4 ผิด เพราะไขมันทำหน้าที่เป็นตัวทำละลายวิตามินได้บางชนิดเท่านั้น คือ A, D, E และ K
|
วิตามินกลุ่มที่ละลายในไขมัน เป็นกลุ่มวิตามินที่หากรับมากเกินไป สามารถสะสมในร่างกายและมีผลต่อตับกับสมองได้ ซึ่งวิตามินกลุ่มนี้ ได้แก่ วิตามินเอ ดี อี และเค วิตามินเอ
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
13 |
|
การสลายสารชีวโมเลกุล |
|
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
14 |
|
4 ชนิด |
|
เพราะประกอบตัว กรดอะมิโน 4 โมเลกุล
|
เพราะประกอบตัว กรดอะมิโน 4 โมเลกุล
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
15 |
|
ค. มีข้อถูก 3 ข้อ |
|
ข้อ 3 ผิด
|
ไกลโคซิดิก ไม่ใช่มอนอแซกคาไรด์ 2 ตัว มาต่อกัน
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
16 |
|
ง. นมถั่วเหลือง กลูโคส น้ำตาลทราย |
|
เพราะ การทดลองแรก เป็นการทดสอบโปรตีนหรือเพปไตด์ การทดลองที่สอง เป็นการทดสอบน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว และการทดลองที่สาม เป็นการทดสอบแป้ง
|
การทดลองที่ 1 และ 2 ผลเป็นไปตามสมบัติของสาร แต่การทดลองที่สาม ไม่เปลี่ยนแปลงเพราะ น้ำตาลทรายคือซูโครส แต่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นสีน้ำเงินเมื่อทำการทดสอบกับแป้ง
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
17 |
|
ง. ไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัว แอลกอฮอล์ กรดไขมันไม่อิ่มตัว กลูโคส |
|
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
18 |
|
ข. W, X และ Z |
|
สารทุกตัว ยกเว้นสาร Y สามารถทดสอบด้วยเบเนดิกต์แล้วเกิดตะกอนสีแดงอิฐได้
|
สารทุกตัว ยกเว้นสาร Y สามารถทดสอบด้วยเบเนดิกต์แล้วเกิดตะกอนสีแดงอิฐได้ เพราะเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
19 |
|
จ. กรดอะมิโน |
|
โปรตีนเป็นบัฟเฟอร์ ซึ่งกรดอะมิโนเป็นหน่อยย่อยของโปรตีน
|
ระบบบัฟเฟอร์ในสิ่งมีชีวิต ได้แก่ฟอสเฟต ไบคาร์บอเนตและโปรตีน
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
20 |
|
4. ระบบแสง I (PSI) และ ระบบแสง II (PSII) ถูกกระตุ้นการทำงานมากขึ้น ทำให้มีการหลุดของอิเล็กตรอน ในระบบแสงเพิ่มมากขึ้น |
|
เพราะสารทั้ง 2 มีผลต่อระบบแสงโดยตรง
|
เพราะสารทั้ง 2 มีผลต่อระบบแสงโดยตรง
|
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
21 |
|
5. จัดเป็นสิ่งมีชีวิตประเภท Prokaryotic cell |
|
ไวรัสจัดเป็นสิ่งมีชีวิตประเภท Prokaryotic Cell
|
Prokaryote คือ พวกที่เซลล์ของมันไม่มีห้องกั้นระหว่างอวัยวะต่าง ๆ เหมือนเข้าไปในบ้านแล้วไม่มีห้องแยก ทั้งเตา, โต๊ะทำงาน, โถส้วม, เตียงนอน อยู่ห้องเดียวกันหมด ที่สำคัญคือไม่มีเนื้อเยื่อหุ้มสายโครโมโซมไว้ในห้องสำคัญที่เรียกว่า "นิวเคลียส" (Nucleus) จุลชีพในกลุ่มนี้ได้แก่พวกไวรัส คลาไมเดีย ริกเค็ทเซีย มัยโคพลาสมา และแบคทีเรีย
|
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
22 |
ข้อใด ไม่ถูกต้อง เกี่ยวกับอะไมโลสและอะไมเลส
|
ข. อะไมเลส จัดเป็นพอลิแซ็กคาไรด์แบบโซ่กิ่ง ที่ไม่สามารละลายน้ำได้ |
|
อะไมเลส จัดเป็นพอลิแซ็กคาไรด์แบบโซ่กิ่ง ที่สามารถละลายน้ำได้
|
|
6 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
23 |
|
2. Lac operon เกี่ยวข้องกับกระบวนการ breakdown ของ lactose |
|
|
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
24 |
|
2. Operon |
|
|
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
25 |
|
4. Repressor |
|
|
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|