ตรวจข้อสอบ > ศุภณัฐ นิธิคุณากร > การแข่งขันและทดสอบความถนัดทางการแพทย์ | ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย > Part 1 > ตรวจ

ใช้เวลาสอบ 45 นาที

Back

# คำถาม คำตอบ ถูก / ผิด สาเหตุ/ขยายความ ทฤษฎีหลักคิด/อ้างอิงในการตอบ คะแนนเต็ม ให้คะแนน
1


ข้อใดต่อไปนี้อธิบายแนวคิด การรับรู้จังหวะ (Beat Perception) ได้ดีที่สุดเนื่องจากเกี่ยวข้องกับความสามารถในการได้ยินของทารกแรกเกิด

ความสามารถในการแยกแยะเครื่องดนตรีประเภทต่างๆ

ผมเลือกข้อนี้เพราะว่า จังหวะ หรือที่เรียกว่า Beat คือสิ่งที่ทำให้ดนตรีมีรูปแบบ มีความต่อเนื่อง และฟังแล้วรู้สึกสนุกขึ้น จังหวะเป็นเสียงที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เราเคาะเท้า หรือขยับตัวตามได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งมันไม่ใช่แค่เรื่องของเสียงนะครับ แต่มันคือการที่สมองเรารับรู้จังหวะของเวลาได้ด้วย หลังจากที่ผมอ่านบทความ ผมเข้าใจว่าแม้แต่ ทารกแรกเกิด ซึ่งยังไม่เคยมีประสบการณ์ทางดนตรี ก็ยังสามารถรับรู้จังหวะได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกมาก เพราะถ้าเขายังไม่เคยเรียนรู้มาก่อน แล้วรับรู้ได้ แสดงว่ามันไม่ใช่แค่การเรียนรู้จากการฟังซ้ำ ๆ แต่มันอาจจะฝังอยู่ในสมองเรามาตั้งแต่เกิด จากตรงนี้ผมเลยคิดว่า ข้อที่บอกว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของดนตรีประเภทต่าง ๆ ตรงกับความหมายของจังหวะมากที่สุด เพราะไม่ว่าเพลงจะเป็นแนวไหน จังหวะก็เป็นแกนหลักที่ทำให้ทุกคนรู้สึกตามดนตรีได้ครับ

แนวคิด Beat Perception อธิบายถึงความสามารถของสมองมนุษย์ในการตรวจจับและคาดการณ์จังหวะของเสียงที่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลาสม่ำเสมอ ซึ่งเรียกว่า isochronous beats โดยมีความเชื่อมโยงกับการทำงานของระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับ temporal prediction จากบทความวิจัยโดย Háden et al. (2024) พบว่า แม้ทารกแรกเกิดที่ยังไม่มีประสบการณ์ทางดนตรี ก็สามารถตอบสนองต่อ beat ได้โดยแสดงความแตกต่างของ MMR ระหว่างตำแหน่ง beat และ off‑beat นี่แสดงให้เห็นว่า beat perception ไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้เพียงอย่างเดียว แต่เป็นกลไกพื้นฐานของสมองที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการรับรู้ดนตรี หลักการทางประสาทวิทยาศาสตร์ยังสนับสนุนว่า การรับรู้จังหวะมีรากฐานในวงจรประสาทของ auditory–motor system ซึ่งมีบทบาทในการประสานระหว่างการได้ยินและการเคลื่อนไหว เป็นเหตุผลว่าทำไมจังหวะจึงเป็น สิ่งสำคัญที่สุดของดนตรีประเภทต่างๆ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

2


จากการวิจัย ทารกแรกเกิดใช้วิธีทดลองตามข้อใดในการแยกแยะการรับรู้จังหวะจากการเรียนรู้ทางสถิติในทารกแรกเกิด

การติดตามการทำงานของสมองโดยใช้ EEG ในระหว่างการกระตุ้นการได้ยิน

ผมเลือกข้อนี้ เพราะในบทความเขาบอกว่า นักวิจัยอยากรู้ว่าเด็กทารกสามารถรับรู้ จังหวะ ได้โดยไม่ต้องเรียนรู้จากลำดับเสียงหรือไม่ เขาเลยใช้ เครื่อง EEG เพื่อวัดการตอบสนองของสมองในตอนที่เด็กฟังเสียงแบบมีจังหวะสม่ำเสมอ กับเสียงที่ไม่มีจังหวะเลย ถ้าเด็กแค่เรียนรู้จากลำดับเสียงตามสถิติ สมองก็ควรตอบสนองเหมือนกันในทั้งสองแบบ แต่ผลกลับไม่เป็นแบบนั้น เด็กมีคลื่นสมองชัดเจนเฉพาะเวลาฟังเสียงที่มาตรงจังหวะ ซึ่งแสดงว่าเขารับรู้จังหวะได้จริง ๆ ดังนั้นวิธีการทดลองนี้มันเกี่ยวโดยตรงกับการ ฟังเสียง แล้วดู คลื่นสมองจาก EEG เลยครับ ทำให้ผมมั่นใจว่าข้อนี้ถูกต้องที่สุด

แนวคิดที่สำคัญในบทความนี้คือ การแยกแยะระหว่างการเรียนรู้ทางสถิติ (Statistical Learning) กับ การรับรู้จังหวะ (Beat Perception) โดยใช้ EEG เป็นเครื่องมือหลักในการตรวจสอบ ซึ่งสอดคล้องกับคำตอบข้อนี้ Statistical Learning คือ การที่สมองเรียนรู้จาก ความน่าจะเป็นในการเกิดลำดับเสียง เช่น A มักตามด้วย B เด็กก็จะจำว่า B จะมา แต่ในกรณีนี้ นักวิจัยไม่ได้สนใจแค่ลำดับเสียง แต่ต้องการรู้ว่า สมองรู้จัก เวลา หรือ จังหวะ ที่เสียงมาตรงกันหรือเปล่า เพื่อทดสอบเรื่องนี้ เขาใช้ EEG ตรวจจับคลื่นสมองขณะเด็กฟังเสียง ถ้าเด็กจับจังหวะได้ สมองจะมี Mismatch Response (MMR) เวลามีเสียงที่ ผิดจังหวะเกิดขึ้น ซึ่ง MMR ถือเป็นหลักฐานทางประสาทวิทยาศาสตร์ที่สำคัญ ผลการทดลองพบว่า MMR เกิดเฉพาะในกลุ่มเสียงที่มีจังหวะเท่านั้น แปลว่า สมองของเด็กไม่ได้แค่เรียนรู้จากลำดับเสียง แต่ มีระบบที่ประมวลผลเวลาและจังหวะอยู่แล้วตั้งแต่แรกเกิด ดังนั้น ข้อนี้ที่พูดถึง EEG และ การฟัง จึงสะท้อนวิธีการและแนวคิดของงานวิจัยนี้ได้ตรงที่สุดครับ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

3


การตอบสนองที่ไม่ตรงกัน (MMR) ในการศึกษา EEG บ่งชี้อะไรเกี่ยวกับการประมวลผลการได้ยินของทารกแรกเกิด

ความสามารถในการจดจำและจำลำดับการได้ยิน

ผมเลือกข้อนี้ เพราะว่าในบทความพูดถึงการที่สมองของทารกแรกเกิดสามารถรับรู้ว่าเสียงที่ได้ยินมันมาตรง จังหวะ หรือ ผิดจังหวะ ได้ ซึ่งแปลว่า สมองจำสิ่งที่เคยได้ยินไว้ก่อนหน้า แล้วเปรียบเทียบกับสิ่งที่ได้ยินตอนนี้ เพื่อดูว่าเหมือนหรือต่าง มันแสดงให้เห็นว่าสมองไม่ได้แค่ฟังเสียงผ่าน ๆ ไป แต่มีการ จำไว้ในระบบ และ จับความผิดปกติ ได้ นี่แหละครับที่เชื่อมกับคำตอบข้อนี้ คือ การได้ยินเกี่ยวข้องกับการจดจำ และไม่ลืมสิ่งที่เคยได้ยินไปก่อนหน้า

ในทางประสาทวิทยาศาสตร์ การที่สมองสามารถตรวจจับความผิดปกติของเสียงได้ เรียกว่า Mismatch Response (MMR) MMR เป็นสัญญาณจากสมองที่เกิดขึ้นเมื่อสิ่งเร้าที่ได้รับในปัจจุบัน ไม่ตรง กับสิ่งที่สมองคาดหวังหรือจำไว้ก่อนหน้า ซึ่ง MMR แสดงให้เห็นว่าสมองมีระบบ Auditory Working Memory หรือ ความจำชั่วคราวด้านการได้ยิน ระบบนี้จะเก็บข้อมูลเสียงที่เพิ่งได้ยินไว้ในสมองระยะสั้น แล้วเปรียบเทียบกับเสียงใหม่ ถ้าเสียงใหม่ ผิดจังหวะ จะทำให้สมองตอบสนองโดยการปล่อยสัญญาณ MMR ออกมา ในบทความ นักวิจัยใช้ EEG เพื่อตรวจสอบว่าเด็กตอบสนองต่อความ ผิดจังหวะ ได้หรือไม่ ซึ่งพบว่า MMR เกิดเฉพาะตอนฟังเสียงที่มีโครงสร้างจังหวะชัดเจน แปลว่าสมองเด็ก ไม่ลืม จังหวะก่อนหน้า และ จำ ไว้เพื่อเปรียบเทียบเสียงถัดไป ดังนั้นแนวคิดเรื่อง MMR จึงเชื่อมกับคำตอบข้อนี้ว่า การได้ยินเกี่ยวข้องกับความสามารถในการจำเสียง และเปรียบเทียบกับเสียงที่เพิ่งได้ยินก่อนหน้า นี่คือพื้นฐานสำคัญที่ทำให้คนเราสามารถเข้าใจดนตรี ภาษา หรือแม้แต่เสียงพูดได้ครับ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

4


คำว่า "การเรียนรู้ทางสถิติ (Statistical Learning)" หมายถึงอะไรในบริบทของการประมวลผลการได้ยินในทารกแรกเกิด?

เรียนรู้ที่จะทำนายเหตุการณ์ในอนาคตโดยอาศัยการวิเคราะห์ทางสถิติ

ผมเลือกข้อนี้ เพราะว่า “การเรียนรู้ทางสถิติ” หรือ Statistical Learning คือความสามารถที่สมองสามารถเรียนรู้ “ความน่าจะเป็น” ของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยอิงจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งในกรณีของทารกก็คือ การฟังเสียงหลาย ๆ ครั้ง แล้วจับได้ว่าเสียงอะไร “มัก” จะตามหลังเสียงอะไร ในบทความ นักวิจัยใช้เสียงหลายลำดับที่เหมือนกัน แล้วดูว่าสมองของทารกตอบสนองต่อเสียงที่มาตามหรือไม่ตาม pattern เดิมยังไง ซึ่งความสามารถนี้ช่วยให้เด็ก คาดการณ์ ได้ว่าเสียงต่อไปน่าจะเป็นอะไร ดังนั้นข้อนี้ที่พูดว่า “การที่จะเกิดขึ้นในอนาคตโดยอาศัยสถิติ” จึงตรงกับนิยามของ Statistical Learning ที่สุดครับ

Statistical Learning Theory คือทฤษฎีที่อธิบายว่า สมองของมนุษย์สามารถเรียนรู้โครงสร้างของข้อมูลจาก ความถี่ และ ความสัมพันธ์ ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในสิ่งเร้า ซึ่งในกรณีนี้ คือการเรียนรู้ความน่าจะเป็นของเสียงที่ได้ยินตามลำดับ เช่น - ถ้าเสียง A มักจะตามด้วยเสียง B → เด็กก็จะเริ่ม คาดหวัง ว่าเสียง B จะกำลังมา - ถ้าได้ยินเสียงอื่นแทน B → สมองอาจมีปฏิกิริยาแปลกใจหรือผิดคาด (ซึ่งวัดได้ด้วย EEG) ในบทความนี้ นักวิจัยอธิบายว่าแม้เด็กจะได้ยินเสียงที่มี transition แบบเดียวกัน (คือใช้โครงสร้างสถิติเหมือนกัน) แต่การตอบสนองทางสมองจะต่างกันขึ้นอยู่กับ จังหวะ ด้วย แปลว่า การเรียนรู้ทางสถิติเพียงอย่างเดียวไม่สามารถอธิบายการรับรู้จังหวะได้ทั้งหมด แต่ถ้าพูดเฉพาะว่า Statistical Learning คืออะไร ก็ยังคงหมายถึง การใช้ข้อมูลที่เคยได้ยินเพื่อทำนายสิ่งที่จะได้ยินต่อไป ดังนั้นคำตอบที่ตรงทฤษฎีที่สุดและสอดคล้องกับบทความคือข้อนี้ครับ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

5


สภาวะใดในการศึกษา EEG ไม่ได้ส่งผลให้เกิดความแตกต่างระหว่างการตอบสนองแบบจังหวะและการตอบสนองที่ผิดปกติในทารกแรกเกิด

ภาวะไอโซโครนัส

ผมเลือกข้อนี้ เพราะในการทดลอง นักวิจัยต้องการตรวจสอบว่าเด็กทารกสามารถรับรู้ “จังหวะ” ได้จริงหรือไม่ โดยที่ไม่ใช่แค่การเรียนรู้ความน่าจะเป็นของเสียงตามลำดับ เพื่อแยกความแตกต่างนี้ เขาจึงเปรียบเทียบ สองเงื่อนไข ได้แก่: • Isochronous (ไอโซโครนัส) คือ เสียงแต่ละเสียงมีจังหวะที่ “สม่ำเสมอ” และมาในช่วงเวลาที่เท่ากัน เช่น ทุก ๆ 200 ms • Jittered (กระจัดกระจาย) คือ เสียงมาช้าเร็วไม่เท่ากัน ไม่มีจังหวะที่แน่นอน ผลการวัด EEG พบว่าเด็กมี Mismatch Response (MMR) เฉพาะตอนที่ฟังเสียงในสภาวะไอโซโครนัส แสดงว่าสมองตอบสนองต่อ “จังหวะ” จริง ๆ และไม่ใช่แค่จำลำดับเสียงจากความถี่ ดังนั้น ภาวะไอโซโครนัสจึงเป็นเงื่อนไขที่แยกความสามารถในการรับรู้จังหวะออกจากการเรียนรู้ทางสถิติได้ดีที่สุด

1. Beat Perception Theory เป็นทฤษฎีที่อธิบายว่า มนุษย์มีระบบในสมองที่สามารถจับ “จังหวะเวลา” หรือ temporal regularity ได้ เช่น การฟังเสียงที่มาตามจังหวะสม่ำเสมอ โดยไม่จำเป็นต้องมีความหมายทางภาษา 2. Mismatch Negativity (MMN) / MMR MMR เป็นสัญญาณทางสมองที่วัดได้จาก EEG เมื่อมี “เสียงที่ผิดจากสิ่งที่สมองคาดไว้” มักใช้ในการศึกษาเด็กที่ยังพูดไม่ได้ ในบริบทนี้ ถ้าเด็กจับจังหวะได้ พอได้ยินเสียงที่ “ผิดจังหวะ” สมองก็จะแสดง MMR ออกมา 3. Isochronous vs. Jittered Timing Paradigm การทดลองในบทความใช้สองสภาวะนี้เพื่อแยกว่า MMR เกิดจากการ “จำลำดับเสียง” (ซึ่งเหมือนกันทั้ง 2 แบบ) หรือเกิดจาก “การจับจังหวะ” (ซึ่งมีเฉพาะในไอโซโครนัส) ผลลัพธ์แสดงว่า MMR เกิดขึ้นเฉพาะใน Isochronous condition จึงยืนยันว่าเด็กมีการรับรู้จังหวะจริง ๆ และไม่ใช่แค่การเรียนรู้ทางสถิติ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

6


กลไกทางประสาทใดที่คิดว่ารองรับการเคลื่อนไหวให้ตรงกันกับจังหวะ

การตอบรับโดปามีน

ผมเลือกข้อนี้ เพราะในบทความมีการพูดถึงว่า การรับรู้จังหวะ (Beat Perception) ไม่ใช่แค่เรื่องของการฟังเสียงเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับ ระบบควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย (Motor System) และ ระบบให้รางวัลในสมอง (Reward System) ด้วย โดยเฉพาะ สารโดปามีน (Dopamine) ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยปรับจังหวะให้สมองสามารถคาดเดาและตอบสนองต่อจังหวะที่คงที่ได้ดีขึ้น และยังมีบทบาทในความรู้สึก “อยากจะขยับร่างกาย” ตามจังหวะด้วย ระบบนี้จึงเป็นเหมือนตัวกลางที่ช่วยให้ “จังหวะ” กับ “การเคลื่อนไหว” ประสานกันอย่างแม่นยำ เช่น เวลาคนฟังเพลงแล้วอยากเต้นตามจังหวะโดยอัตโนมัติ บทความบอกว่าแม้เด็กทารกยังไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวได้ดีเหมือนผู้ใหญ่ แต่ก็มีการทำงานของสมองบางส่วนที่แสดงถึง “การคาดการณ์จังหวะ” ซึ่งสอดคล้องกับการทำงานของระบบที่ใช้ โดปามีนเป็นตัวส่งสัญญาณ

1. Dopaminergic System & Beat Perception ทฤษฎีด้านประสาทวิทยาศาสตร์หลายงานอธิบายว่า การประมวลผลจังหวะเกี่ยวข้องกับการทำงานของวงจรประสาทที่ใช้โดปามีน เช่น วงจร basal ganglia ซึ่งเกี่ยวข้องกับทั้งการเคลื่อนไหวและการรับรู้เวลา ดังนั้น Dopamine จึงมีบทบาทสำคัญในการ คาดการณ์จังหวะ และ การให้รางวัล เมื่อตอบสนองต่อจังหวะได้ถูกต้อง 2. Predictive Timing Theory ทฤษฎีนี้อธิบายว่า สมองจะใช้ระบบประสาทที่มีโดปามีนเพื่อคาดเดาว่า “เสียงถัดไปจะมาเมื่อไร” โดยเฉพาะเมื่อเสียงมาอย่างสม่ำเสมอ สมองจะ “ตั้งนาฬิกาภายใน” ที่แม่นยำขึ้น ซึ่งต้องอาศัยการทำงานร่วมของระบบประสาทที่ใช้ dopamine 3. Neural Entrainment คือการที่กิจกรรมของสมองซิงก์กับจังหวะเสียงที่ได้ยิน เช่น beat จากดนตรี ทำให้การซิงก์นี้เกิดจากการควบคุมจังหวะผ่าน motor system ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของ dopamine circuits เช่นกัน ในบทความ ผู้เขียนระบุว่า ระบบนี้น่าจะมีอยู่ตั้งแต่ในวัยทารก แม้จะยังไม่สมบูรณ์เหมือนผู้ใหญ่ แต่ก็มีสัญญาณว่า ระบบการให้รางวัลและการคาดเดาจังหวะเริ่มทำงานแล้ว จึงสรุปได้ว่า “การตอบรับโดปามีน” เป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการควบคุมจังหวะในสมองครับ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

7


การรับรู้จังหวะในทารกแรกเกิดสัมพันธ์กับความสามารถทางดนตรีในภายหลังอย่างไร

เป็นพื้นฐานในการพัฒนาการประสานงานจังหวะและเวลา

ผมเลือกข้อนีิเพราะในบทความได้อธิบายไว้ว่า ความสามารถในการรับรู้จังหวะ (beat perception) คือ หนึ่งในองค์ประกอบหลักของความสามารถทางดนตรี (musical aptitude) โดยเฉพาะด้านการ ประสานการเคลื่อนไหวกับเสียงดนตรี เช่น การตีจังหวะให้ตรงกับเพลง การเล่นดนตรีเป็นวง หรือการเต้น การที่เด็กสามารถรับรู้จังหวะได้ตั้งแต่ยังเป็นทารก แสดงให้เห็นว่าระบบการประมวลผลทางเวลาในสมอง (temporal processing system) เริ่มพัฒนาแล้ว และระบบนี้จะกลายเป็นพื้นฐานที่ต่อยอดไปยังความสามารถทางดนตรีอื่น ๆ ในอนาคต เช่น การจับจังหวะของโน้ต การเปลี่ยนคอร์ด หรือการประสานเสียง ดังนั้น “จังหวะ” จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการฟังเสียงเท่านั้น แต่ยังเป็น “หลักการพื้นฐาน” ที่เชื่อมโยงกับการทำงานของสมองหลายด้าน ซึ่งมีความสำคัญต่อความสามารถทางดนตรีโดยรวมครับ

1. Beat Perception as a Core of Musical Aptitude ในบทความระบุชัดเจนว่า beat perception เป็นองค์ประกอบสำคัญของความสามารถทางดนตรี และมีความสัมพันธ์กับระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมจังหวะ การเคลื่อนไหว และการคาดการณ์เวลา 2. Sensorimotor Synchronization Theory ทฤษฎีนี้อธิบายว่า การตอบสนองของร่างกายต่อเสียงจังหวะ เช่น การเคาะเท้าหรือตบมือให้ตรงจังหวะ เป็นผลจากการทำงานร่วมกันของระบบประสาทรับเสียง (auditory) และระบบการเคลื่อนไหว (motor system) ซึ่งอยู่เบื้องหลังการเล่นดนตรีหรือการเต้น 3. Neural Entrainment & Musical Development ระบบสมองสามารถปรับคลื่นไฟฟ้าให้ตรงกับจังหวะของเสียงที่ได้ยิน (entrainment) ซึ่งกระบวนการนี้เป็นพื้นฐานของการฝึกดนตรีในระยะยาว เช่น การจับจังหวะให้แม่นในดนตรีคลาสสิกหรือดนตรีแจ๊ส ดังนั้น การรับรู้จังหวะไม่ใช่เพียงความสามารถเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง แต่เป็น “แกนกลาง” ที่ช่วย ประสานงานของระบบประสาทต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการเล่นและเข้าใจดนตรีอย่างลึกซึ้งครับ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

8


ภาวะที่ไม่ต่อเนื่องในการศึกษาทางการได้ยินมักเกี่ยวข้องกับอะไร?

ช่วงเวลาระหว่างเสียงที่สม่ำเสมอ

ผมตอบข้อนี้ เพราะในบทความมีการอธิบายว่า ถ้าเสียงไม่ถูกจัดเรียงแบบสม่ำเสมอหรือไม่มีจังหวะที่แน่นอน สมองจะไม่สามารถสร้างการรับรู้แบบเป็นจังหวะได้ ซึ่งหมายความว่าในสถานการณ์นั้น สมองจะเหลือแค่การฟังเสียงแบบแยก ๆ โดยมองเป็นแค่ “ระยะเวลาระหว่างเสียง” เท่านั้น ภาวะแบบนี้คือสิ่งที่บทความเรียกว่า “ไม่เป็นทางการ” ซึ่งตรงข้ามกับแบบที่มีจังหวะชัดเจน เช่น แบบ isochronous ที่เสียงมาเป็นช่วงเวลาคงที่ ทำให้สมองสร้างจังหวะได้ แต่ถ้าไม่มีความสม่ำเสมอเลย อย่างในเงื่อนไข jittered ที่เสียงมาเร็วบ้างช้าบ้าง ระบบประมวลผลของสมองจะรับแค่ช่วงห่างระหว่างเสียง ไม่สามารถเชื่อมโยงเป็นโครงสร้างจังหวะได้

1. Temporal Structure Theory ทฤษฎีนี้อธิบายว่า สมองสามารถจับจังหวะได้ก็ต่อเมื่อเสียงที่ได้ยินมีโครงสร้างของเวลาแบบคงที่ เช่น เสียงเกิดขึ้นทุก 200 มิลลิวินาที ถ้าไม่มีความสม่ำเสมอ สมองจะไม่สามารถพยากรณ์เวลาได้ ทำให้ไม่สามารถสร้างจังหวะขึ้นมาได้ 2. Jittered Timing Paradigm เป็นวิธีการในงานวิจัยที่ใช้เปรียบเทียบกับการฟังเสียงแบบมีจังหวะชัดเจน (isochronous) โดยในเงื่อนไข jittered เด็กทารกไม่สามารถสร้างการตอบสนองทางสมองแบบ MMR ได้ แสดงว่าเสียงที่ไม่สม่ำเสมอทำให้สมองไม่สามารถประมวลผลเป็นจังหวะได้จริง ๆ จึงวิเคราะห์ได้แค่เรื่องของ “ระยะเวลาระหว่างเสียง” เท่านั้น 3. Beat Perception in Infants จากบทความนี้ นักวิจัยพยายามแสดงให้เห็นว่า เด็กทารกสามารถรับรู้จังหวะได้ก็ต่อเมื่อมีโครงสร้างของเวลาแบบชัดเจน ถ้าไม่มีโครงสร้างนั้น เด็กจะไม่แสดงการตอบสนองในระดับสมองเลย ซึ่งแปลว่าสมองจะพึ่งพาเพียงข้อมูลพื้นฐานอย่างระยะห่างของเสียง ไม่สามารถสร้างแบบแผนหรือคาดเดาจังหวะได้

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

9


จุดประสงค์หลักของการใช้ EEG ในการศึกษาการประมวลผลการได้ยินในทารกแรกเกิดคืออะไร

บันทึกการตอบสนองของสมองต่อเสียง

ผมตอบข้อนี้ เพราะ EEG (Electroencephalography) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้วัดสัญญาณไฟฟ้าจากสมองโดยตรง เพื่อบันทึกกิจกรรมของสมองในช่วงเวลาต่าง ๆ ในบทความที่อ่านกล่าวถึงการใช้ EEG เพื่อสังเกตและวัดการตอบสนองของสมองต่อเสียงและจังหวะต่าง ๆ ในทารกแรกเกิด การบันทึกสัญญาณ EEG ทำให้เราเห็นภาพรวมของการประมวลผลเสียงในสมอง ซึ่งช่วยตรวจสอบว่าเด็กสามารถรับรู้จังหวะหรือรูปแบบเสียงต่าง ๆ ได้หรือไม่ ดังนั้น EEG จึงทำหน้าที่เหมือนเครื่องบันทึกกิจกรรมสมองต่อเสียง ทำให้เราสามารถศึกษาพฤติกรรมการประมวลผลเสียงในสมองโดยไม่รุกล้ำ หรือไม่ต้องพึ่งพาการตอบสนองจากพฤติกรรมภายนอก

1. EEG as a Neural Recording Tool EEG เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้ในงานวิจัยทางประสาทวิทยาศาสตร์เพื่อบันทึกกิจกรรมไฟฟ้าของสมองที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ โดยเฉพาะเสียงและจังหวะ (auditory evoked potentials) 2. Mismatch Negativity (MMN) and Mismatch Response (MMR) ในบทความมีการพูดถึง MMR ซึ่งเป็นสัญญาณ EEG ที่แสดงถึงการตอบสนองของสมองเมื่อเสียงที่ได้รับผิดปกติหรือแตกต่างจากเสียงที่สมองคาดหวัง การบันทึก MMR ผ่าน EEG ช่วยให้ทราบว่าเด็กสามารถรับรู้รูปแบบเสียงได้หรือไม่ 3. Non-invasive Neural Measurement EEG เป็นวิธีการวัดที่ไม่ทำลายและไม่รุกล้ำ ทำให้นักวิจัยสามารถศึกษาการประมวลผลเสียงในสมองของทารกแรกเกิดได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

10


คุณลักษณะการได้ยินใดที่ไม่ได้รับการศึกษาโดยตรงในการวิจัยการประมวลผลการได้ยินของทารกแรกเกิด

การเรียนรู้ทางสถิติ

ผมตอบข้อ B. การเรียนรู้ทางสถิติ เพราะในบทความชี้ให้เห็นชัดเจนว่า วัตถุประสงค์หลักของงานวิจัยนี้ คือการศึกษาว่าเด็กทารกมีความสามารถในการรับรู้จังหวะ (beat perception) ได้ตั้งแต่แรกเกิด โดยที่ความสามารถนี้ไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ทางสถิติแบบค่อยเป็นค่อยไป ในการทดลอง นักวิจัยใช้เสียงในลักษณะต่างๆ (ทั้งแบบมีจังหวะคงที่ และแบบสุ่ม) เพื่อเปรียบเทียบว่า เด็กตอบสนองกับจังหวะอย่างไร ผลคือ เด็กตอบสนองได้แม้ในครั้งแรกที่ได้ยิน ซึ่งแสดงว่า ความสามารถในการรับรู้จังหวะเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัว ไม่ได้เรียนรู้จากการสะสมข้อมูลเชิงสถิติทีละน้อย ดังนั้น “การเรียนรู้ทางสถิติ” จึงเป็น ประเด็นที่ถูกท้าทาย โดยบทความนี้ และถือเป็น “ความคิดเห็นเดิมที่ถูกศึกษาโดยตรง” เพื่อตั้งคำถามว่า ยังอธิบายการรับรู้จังหวะได้จริงหรือไม่

1. Statistical Learning Theory เป็นทฤษฎีที่อธิบายว่า มนุษย์เรียนรู้รูปแบบต่าง ๆ ได้จากการสะสมข้อมูลซ้ำ ๆ เช่น การเดาว่าเสียงใดจะมาหลังจากเสียงหนึ่ง โดยอิงจากความน่าจะเป็น (transition probabilities) 2. Beat Perception vs. Statistical Learning (หัวใจของบทความ) บทความชี้ให้เห็นว่า แม้จะมีความน่าจะเป็นของการเปลี่ยนเสียง แต่เด็กทารกสามารถตอบสนองต่อจังหวะที่เกิดขึ้นได้ในทันทีโดยไม่ต้องอาศัยการเรียนรู้แบบสะสมข้อมูล จึงสรุปว่า “statistical learning อย่างเดียว ไม่สามารถอธิบายความสามารถในการรับรู้จังหวะได้ทั้งหมด” 3. Mismatch Response (MMR) in EEG Studies MMR เป็นค่าที่ใช้วัดการตอบสนองของสมองต่อสิ่งผิดคาด หากเด็กไม่มีการเรียนรู้มาก่อน แต่ยังตอบสนองได้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจังหวะ แสดงว่าการรับรู้จังหวะมีรากฐานมาจากระบบประสาทตั้งแต่ต้น

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

11


คำใดที่ใช้อธิบายลักษณะที่ปรากฏของความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ซึ่งใช้ในการตลาดการบำบัดด้วยเซลล์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์

การสนับสนุนทางคลินิก

ผมคิดว่า “การควบคุมดูแล” คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะมันช่วยให้ตลาดหรือคนที่ใช้ผลิตภัณฑ์บำบัดด้วยเซลล์และยีนมั่นใจได้ว่าของที่ใช้ปลอดภัยและมีคุณภาพจริง ไม่ใช่แค่ขายโดยไม่มีการตรวจสอบก่อน ในบทความบอกว่า การที่มีกฎเกณฑ์และการควบคุมดูแลที่ชัดเจน จะช่วยป้องกันไม่ให้มีสินค้าหรือวิธีรักษาที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มากระจายออกไปในตลาด ซึ่งถ้าไม่มีการควบคุม คนอาจจะได้รับผลกระทบแย่ ๆ จากของที่ไม่ปลอดภัยหรือไม่ได้ผล

ทฤษฎี “Regulatory Science” หรือวิทยาศาสตร์การควบคุมดูแล เป็นแนวคิดที่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนากฎเกณฑ์และมาตรฐานในการประเมินความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์สุขภาพ ทฤษฎีนี้ช่วยให้มั่นใจว่าการรักษาด้วยเซลล์และยีนต้องผ่านกระบวนการทดสอบอย่างเข้มงวดก่อนออกสู่ตลาด เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพ บทความนี้ใช้หลักคิดนี้เพื่อสนับสนุนความสำคัญของการควบคุมดูแลที่เข้มงวดในตลาดบำบัดด้วยเซลล์และยีน

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

12


จากบทความ ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่กลไกการรายงานที่ได้รับการยอมรับสำหรับผลข้างเคียงจากการบำบัดด้วยเซลล์และยีน

MedWatch โดย อย. (FDA)

ผมคิดว่า MedWatch เป็นระบบที่สำคัญ เพราะมันช่วยเก็บข้อมูลจริง ๆ จากคนที่ใช้ยา หรือผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ ว่ามีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ไม่ใช่แค่ฟังข่าวลือหรือชื่อเสียงอย่างเดียว บางทีผลิตภัณฑ์อาจดูดีแต่จริง ๆ อาจมีปัญหา เราต้องการข้อมูลที่แน่นอนและเชื่อถือได้เพื่อให้แพทย์หรือคนผลิตปรับปรุงหรือเตือนคนใช้ เพื่อให้ปลอดภัยจริง ๆ บทความก็เน้นว่าไม่ควรเชื่อแค่ชื่อเสียง ต้องดูข้อมูลจริงแบบนี้

หลีกคิดที่ใช้เป็นแนวคิดของ “การเฝ้าระวังหลังการวางตลาด” (Post-market Surveillance) ซึ่งหมายถึงการติดตามและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบหรือผลข้างเคียงหลังจากที่ยา หรือผลิตภัณฑ์ถูกนำมาใช้จริงในคนจริง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัยและได้ผลดีจริง ๆ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในการดูแลความปลอดภัยของผู้ป่วย และช่วยป้องกันไม่ให้มีการใช้ของที่ไม่ปลอดภัยหรือไม่มีประสิทธิภาพในตลาด

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

13


การพิจารณาด้านจริยธรรมประการใดที่ถูกท้าทายโดยการตลาดโดยตรงสู่ผู้บริโภคสำหรับการบำบัดด้วยเซลล์และยีนที่ไม่ได้รับการพิสูจน์

ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลทางพันธุกรรม

ผมคิดว่าความเป็นส่วนตัวของข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะข้อมูลเกี่ยวกับเซลล์หรือยีนเป็นข้อมูลส่วนตัวที่ละเอียดมาก ถ้าข้อมูลพวกนี้ถูกเผยแพร่ออกไปโดยไม่มีการปกป้องอย่างดี คนที่ใช้บริการตรวจหรือรักษาอาจถูกเอาข้อมูลไปใช้ในทางไม่ดี หรืออาจโดนเลือกปฏิบัติ เช่น ถูกปฏิเสธประกัน หรือโดนแยกแยะในสังคม บทความก็พูดว่า การที่ข้อมูลส่วนตัวถูกดูแลดี จะช่วยให้คนมั่นใจในการใช้เทคโนโลยีนี้และทำให้การรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง

ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องคือ “Privacy Protection Theory” หรือหลักการปกป้องความเป็นส่วนตัวทางข้อมูลสุขภาพ ซึ่งเน้นความสำคัญของการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันการรั่วไหลและการนำไปใช้ในทางที่ผิด นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับหลักการ “Ethical Data Management” ที่เน้นการใช้ข้อมูลด้วยความรับผิดชอบและคำนึงถึงสิทธิ์ของผู้ป่วย บทความนี้ย้ำว่าการรักษาความเป็นส่วนตัวเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้การตลาดและการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เป็นไปอย่างถูกต้องและได้รับความไว้วางใจจากสังคม

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

14


คุณลักษณะหลักใดที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการพิสูจน์ตามมาตรฐานกฎระเบียบ

การอนุญาตก่อนการตลาดโดยหน่วยงานกำกับดูแล

ผมคิดว่าการจัดกิจกรรมก่อนการตลาดโดยการตรวจสอบเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยแยกผลิตภัณฑ์บำบัดด้วยเซลล์และยีน (CGT) ที่ผ่านการพิสูจน์แล้วกับผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน เพราะก่อนที่ผลิตภัณฑ์จะออกสู่ตลาดจริง ๆ จะต้องมีการทดสอบและประเมินผลความปลอดภัยและประสิทธิภาพอย่างละเอียด บทความเน้นว่าการตรวจสอบเหล่านี้ทำให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายนั้นมีคุณภาพและปลอดภัยจริง ไม่ใช่แค่คำโฆษณาหรือความเชื่อ

หลักการ “Pre-market Evaluation” หรือการประเมินก่อนการวางตลาด เป็นทฤษฎีที่เน้นว่าผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดก่อนที่จะอนุญาตให้นำมาใช้ในคนจริง เพื่อป้องกันอันตรายและสร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ ซึ่งบทความก็ชี้ให้เห็นว่า การประเมินนี้ช่วยแยกแยะผลิตภัณฑ์ที่พิสูจน์แล้วกับผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่พิสูจน์

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

15


ข้อใดต่อไปนี้เป็นความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ซึ่งเน้นไว้ในบทความ

การตรวจสอบกฎระเบียบที่มากเกินไป

ผมคิดว่าบทความเน้นย้ำว่าผลิตภัณฑ์บำบัดด้วยเซลล์และยีน (CGT) ที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว ต้องได้รับการควบคุมและตรวจสอบโดยกฎระเบียบอย่างเข้มงวด เพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัยและได้ผลจริง แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่กฎระเบียบยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องผู้ป่วยจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ หรือที่อาจเป็นอันตราย บทความจึงเน้นว่าการควบคุมนี้ยังคงต้องดำเนินต่อไปเพื่อรักษามาตรฐานความปลอดภัย

หลักคิดที่เกี่ยวข้องคือ “Regulatory Oversight” หรือการกำกับดูแลโดยกฎระเบียบ ซึ่งเป็นกระบวนการที่หน่วยงานที่รับผิดชอบจะตรวจสอบและอนุมัติผลิตภัณฑ์ก่อนนำไปใช้จริงในผู้ป่วย เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ทฤษฎีนี้เน้นการปกป้องผู้บริโภคจากความเสี่ยงและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์อย่างถูกต้อง

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

16


ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ลักษณะทั่วไปของผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ตามที่กล่าวไว้ในบทความ

การตลาดตามคำรับรองของผู้ป่วย

ผมคิดว่าการตลาดตามคำรับรองนิวซีแลนด์ไม่ใช่ลักษณะทั่วไปของผลิตภัณฑ์บำบัดด้วยเซลล์และยีน (CGT) ที่ผ่านการพิสูจน์ เพราะบทความเน้นว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพิสูจน์ต้องมีข้อมูลที่ชัดเจนและผ่านการควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดจากหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้กล่าวถึงการตลาดตามคำรับรองเฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่งอย่างนิวซีแลนด์ การตลาดแบบนี้ไม่ใช่ส่วนสำคัญที่แสดงถึงความน่าเชื่อถือหรือความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์จริง

หลักคิดที่ผมใช้หลักการ “Regulatory Approval and Evidence-Based Practice” เน้นว่าผลิตภัณฑ์ต้องผ่านการทดสอบและควบคุมโดยหน่วยงานกำกับดูแลที่มีมาตรฐานสูง ซึ่งจะทำให้มั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ มากกว่าการตลาดตามคำรับรองในประเทศใดประเทศหนึ่งเพียงอย่างเดียว

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

17


หน่วยงานกำกับดูแล เช่น FDA และ EMA จะรับรองความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ CGT ได้อย่างไร

โดยต้องมีการทดลองทางคลินิกก่อนการตลาดอย่างเข้มงวด

ผมคิดว่า FDA และ EMA ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ต้องมีการตรวจสอบผลิตภัณฑ์บำบัดด้วยเซลล์และยีน (CGT) อย่างละเอียดก่อนที่จะอนุมัติให้วางตลาดจริง เพราะการตรวจสอบนี้เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่แค่อนุมัติโฆษณาหรือควบคุมโซเชียลมีเดียอย่างเดียว บทความก็ชี้ชัดว่า การประเมินก่อนการตลาด (Pre-market evaluation) เป็นหลักการสำคัญที่หน่วยงานกำกับดูแลใช้เพื่อปกป้องผู้ป่วยและผู้บริโภค

หลักคิดที่เกี่ยวข้องคือ “Pre-market Regulatory Evaluation” ซึ่งหมายถึงการทดสอบและตรวจสอบผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์อย่างละเอียดก่อนที่จะอนุญาตให้นำไปใช้ในวงกว้าง เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์มีความปลอดภัยและได้ผลจริง หลักการนี้ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากผลิตภัณฑ์ที่อาจเป็นอันตรายหรือไม่มีประสิทธิภาพ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

18


เป้าหมายหลักของ ISCT ในด้านการบำบัดด้วยเซลล์และยีนตามที่กล่าวไว้ในบทความคืออะไร

เพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์และต่อต้านผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการพิสูจน์

ผมคิดว่าเป้าหมายของ ISCT (International Society for Cell & Gene Therapy) คือการส่งเสริมให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์เซลล์และยีนที่ผ่านการพิสูจน์และมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน รวมถึงคัดค้านการตลาดหรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่มีการพิสูจน์หรือหลักฐานรองรับที่น่าเชื่อถือ บทความได้เน้นถึงความสำคัญของการอิงตามหลักฐาน (evidence-based) เพื่อให้การรักษาและการพัฒนาผลิตภัณฑ์มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพจริง

หลักคิดนี้เกี่ยวข้องกับ “Evidence-Based Medicine” ซึ่งหมายถึงการใช้ข้อมูลและหลักฐานจากการวิจัยที่น่าเชื่อถือเป็นฐานในการตัดสินใจทางการแพทย์ และการควบคุมผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพผ่านการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

19


อะไรคือผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นสำหรับผู้ป่วยที่ใช้ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์?

การลดต้นทุนด้านการรักษาพยาบาล

ผมคิดว่าผลิตภัณฑ์บำบัดด้วยเซลล์และยีน (CGT) ที่ผ่านการพิสูจน์และได้รับการยอมรับอย่างถูกต้อง มักจะช่วยให้ผลลัพธ์การรักษาของผู้ป่วยดีขึ้นอย่างชัดเจน และอาจช่วยลดความจำเป็นในการรักษาหรือการใช้ยารักษาอื่นๆ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลโดยรวมได้ บทความเน้นถึงการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีหลักฐานชัดเจนและมีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยและระบบสุขภาพโดยรวม

หลักคิดที่เกี่ยวข้องคือ “Cost-effectiveness in Healthcare” ซึ่งหมายถึงการเลือกใช้วิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพและช่วยลดต้นทุนโดยรวมของระบบสุขภาพ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีผลดีต่อผู้ป่วยและประหยัดทรัพยากรของระบบสาธารณสุข

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

20


ISCT มีบทบาทอย่างไรในบริบทของการบำบัดเซลล์และยีน

ต่อต้านการค้าขายก่อนกำหนดของการรักษาที่ไม่ได้รับการพิสูจน์

ผมตอบว่าการควบคุมโดย ISCT เน้นไปที่การตรวจสอบการค้าขายของผลิตภัณฑ์เซลล์และยีน (CGT) ก่อนที่จะนำไปใช้จริงในทางการแพทย์หรือการรักษาที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว เพราะบทความชี้ให้เห็นว่า ISCT สนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการพิสูจน์อย่างถูกต้อง และต้องมีการควบคุมที่เข้มงวดก่อนการวางตลาดเพื่อป้องกันผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์หรือไม่ปลอดภัยเข้าสู่ตลาดโดยตรง ซึ่งเป็นการรักษามาตรฐานความปลอดภัยของผู้ป่วย

หลักการ “Pre-market Regulatory Control” คือการที่หน่วยงานหรือองค์กรควบคุม ต้องตรวจสอบและอนุมัติผลิตภัณฑ์ก่อนที่จะนำไปใช้จริง เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกับผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนอย่าง CGT ซึ่งเกี่ยวข้องกับเซลล์และยีนที่มีความเสี่ยงสูง

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

ผลคะแนน 59 เต็ม 140

แท๊ก หลักคิด
แท๊ก อธิบาย
แท๊ก ภาษา