ตรวจข้อสอบ > ศรัณย์รัชต์ สมร้อน > ชีววิทยาเชิงวิทยาศาสตร์การแพทย์ | Biology in Medical Science > Part 1 > ตรวจ

ใช้เวลาสอบ 12 นาที

Back

# คำถาม คำตอบ ถูก / ผิด สาเหตุ/ขยายความ ทฤษฎีหลักคิด/อ้างอิงในการตอบ คะแนนเต็ม ให้คะแนน
1


What is the primary goal of contact tracing in public health?

To stop the spread of diseases by identifying and informing contacts

Contact tracing หรือ "การติดตามผู้สัมผัส" เป็นกระบวนการสำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค โดยเฉพาะโรคติดต่อ เช่น COVID-19, วัณโรค, หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป้าหมายหลักคือการระบุบุคคลที่อาจได้รับเชื้อจากผู้ติดเชื้อ และแจ้งเตือนเพื่อให้สามารถกักตัว ตรวจเชื้อ หรือรับคำแนะนำทางการแพทย์ได้อย่างทันท่วงที ซึ่งช่วย ลดการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น

องค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐฯ (CDC) ระบุว่า Contact Tracing เป็นกลยุทธ์หลักในการควบคุมโรคติดเชื้อ เช่น COVID-19, วัณโรค, อีโบลา และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดด้าน การควบคุมการแพร่ระบาด และ การคุ้มครองสุขภาพของชุมชน (community health protection)

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

2


During the COVID-19 pandemic, what was one main reason people were motivated to isolate themselves after testing positive?

To avoid infecting others, particularly vulnerable populations

การแยกตัว (isolation) เป็นมาตรการสำคัญที่ใช้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ความรับผิดชอบต่อสังคมและความตระหนักในผลกระทบต่อผู้อื่นจึงเป็นแรงจูงใจหลักในการแยกตัวหลังจากตรวจพบเชื้อ

CDC และ WHO แนะนำให้ผู้ติดเชื้อ COVID-19 แยกตัวอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ โดยเน้นความสำคัญของการปกป้องกลุ่มเปราะบางในชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ “community protection” และ public health ethics

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

3


What method was commonly used for focus group discussions in the study on COVID-19 contact tracing?

Virtual, synchronous meetings

ในช่วงการระบาดของโควิด-19 การรวมกลุ่มแบบพบหน้ากันถูกจำกัดอย่างเข้มงวดเพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่เชื้อ ดังนั้นการใช้ การประชุมออนไลน์แบบซิงโครนัส (synchronous virtual meetings) เช่น ผ่าน Zoom หรือ Microsoft Teams จึงเป็นวิธีที่นิยมในการเก็บข้อมูลจากกลุ่มสนทนา (Focus Groups) เพราะสามารถโต้ตอบกันได้ทันทีแบบเรียลไทม์ และยังปลอดภัยต่อผู้เข้าร่วม

แนวทางของงานวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) ระบุว่าการจัด focus group discussions ต้องเน้นความสามารถในการโต้ตอบ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสังเกตปฏิกิริยา ซึ่งการใช้ การประชุมออนไลน์แบบซิงโครนัส ช่วยตอบโจทย์นี้ได้ในบริบทของโควิด-19 ตัวอย่างอ้างอิง: Gray et al. (2021) รายงานว่าโครงการวิจัยเกี่ยวกับการติดตามผู้สัมผัสในช่วง COVID-19 หันมาใช้ virtual focus groups อย่างแพร่หลาย เนื่องจากความปลอดภัยและความสะดวก WHO และสถาบันวิจัยด้านสาธารณสุขหลายแห่ง เช่น CDC แนะนำให้ใช้ virtual engagement methods เพื่อทดแทนการพบปะโดยตรง

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

4


What factor did NOT influence the success of case investigation and contact tracing according to the article?

The color of the quarantine facilities

สีของสถานที่กักตัวไม่มีความเกี่ยวข้องหรืออิทธิพลต่อความสำเร็จของการสอบสวนโรค (case investigation) และการติดตามผู้สัมผัส (contact tracing) แต่อย่างใด ปัจจัยที่มีผลจริงจะเกี่ยวข้องกับโครงสร้าง ระบบ และพฤติกรรมของประชาชน เช่น ความพร้อมของการตรวจหาเชื้อ (testing), การมีข้อมูลที่เชื่อถือได้, ความร่วมมือของประชาชน และในบางกรณีอาจรวมถึงปัจจัยทางการเมืองหรือทัศนคติของผู้คน

จากบทความและงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการควบคุมโรคระบาด เช่นจาก WHO, CDC และวารสารทางวิชาการ พบว่าองค์ประกอบหลักที่มีผลต่อความสำเร็จของการสอบสวนโรคและการติดตามผู้สัมผัส ได้แก่ 1. การเข้าถึงการตรวจหาเชื้อที่รวดเร็วและแม่นยำ 2. การให้ข้อมูลที่ชัดเจนและเชื่อถือได้แก่ประชาชน 3. ความร่วมมือและความไว้ใจของประชาชน 4. โครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

5


Which demographic factor was reported to affect the experiences and behaviors of individuals regarding CI/CT?

Type of employment

ประเภทของการจ้างงาน (เช่น ทำงานประจำ รับจ้างรายวัน ทำงานอิสระ หรือไม่มีรายได้ประจำ) มีผลต่อพฤติกรรมและประสบการณ์ของบุคคลเกี่ยวกับการสอบสวนโรค (Case Investigation: CI) และการติดตามผู้สัมผัส (Contact Tracing: CT) โดยเฉพาะในด้านของ ความสามารถในการกักตัว หรือ การเข้าถึงข้อมูลและการสนับสนุน คนที่มีงานประจำหรือสามารถทำงานจากที่บ้านมักจะปฏิบัติตามคำแนะนำได้ง่ายกว่า ในขณะที่คนที่ทำงานรับจ้างรายวัน หรือไม่มีรายได้แน่นอน อาจรู้สึกลำบากใจที่จะหยุดงาน หรือกักตัว เพราะหมายถึงขาดรายได้

งานวิจัยเกี่ยวกับ CI/CT (เช่น จากหน่วยงาน CDC หรือบทความด้านสาธารณสุขในช่วงโควิด-19) รายงานว่า “socioeconomic factors” โดยเฉพาะ การจ้างงานและรายได้ เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการยอมรับมาตรการสาธารณสุข เช่น การกักตัว การเปิดเผยข้อมูลผู้สัมผัส และการเข้าร่วมสอบสวนโรค ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเรื่อง social determinants of health

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

6


What did participants report feeling after learning they were exposed to COVID-19?

Worry about their health and that of their contacts

เข้าร่วมการวิจัยรายงานว่าเมื่อทราบว่าตนเองเคยสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ COVID-19 พวกเขารู้สึก "วิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของตนเองและของคนรอบข้าง" ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติเนื่องจาก COVID-19 เป็นโรคที่สามารถแพร่กระจายได้ง่ายและมีความเสี่ยงในระดับต่าง ๆ ต่อผู้ที่มีสุขภาพแตกต่างกัน

งานวิจัยและรายงานจากศูนย์ควบคุมโรค (CDC) และงานวิชาการต่าง ๆ ชี้ให้เห็นว่าเมื่อบุคคลได้รับแจ้งว่าอาจได้รับเชื้อ COVID-19 พวกเขามักจะแสดงความวิตกกังวล (anxiety) และความกังวลเกี่ยวกับการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น เช่น ครอบครัว เพื่อน หรือเพื่อนร่วมงาน ซึ่งสอดคล้องกับคำตอบนี้

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

7


What was a common source of information for participants when they learned about their COVID-19 status?

Family, friends, and healthcare providers

ผู้เข้าร่วมการศึกษามักได้รับข้อมูลเกี่ยวกับสถานะการติดเชื้อ COVID-19 ผ่านทางบุคคลใกล้ชิด เช่น ครอบครัวและเพื่อน หรือจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เช่น แพทย์ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่หน่วยตรวจเชื้อ ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่พวกเขาเชื่อถือและเข้าถึงได้ง่าย การที่ผู้คนหันไปพึ่งคนใกล้ตัวและบุคลากรทางการแพทย์ เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในช่วงการระบาด เพราะพวกเขามักต้องการคำแนะนำที่ถูกต้อง ปลอดภัย และทันเหตุการณ์ ทั้งในด้านสุขภาพร่างกายและด้านจิตใจ เช่น การกักตัว การรับวัคซีน หรือการดูแลรักษาตนเองเบื้องต้น

แนวคิดนี้สอดคล้องกับหลักการของ Health Communication Theory ที่กล่าวว่า "แหล่งข้อมูลที่ผู้คนไว้ใจมากที่สุดในสถานการณ์วิกฤติ มักมาจากบุคคลใกล้ตัวและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง" อีกทั้งยังอ้างอิงจากการศึกษาหลายชิ้น เช่น CDC (2020-2021): รายงานว่า บุคลากรทางการแพทย์เป็นหนึ่งในแหล่งข้อมูลที่ประชาชนเชื่อถือมากที่สุดเกี่ยวกับ COVID-19 World Health Organization (WHO): แนะนำให้รัฐบาลและหน่วยงานสุขภาพใช้ช่องทางผู้ให้บริการด้านสุขภาพและชุมชนในการสื่อสารข้อมูลที่สำคัญ เพราะจะได้รับการยอมรับจากประชาชนมากกว่าโฆษณาหรือข่าวลือ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

8


Which of the following was NOT a method for collecting data in the study described?

Direct observations in homes

ในการศึกษาเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้คนที่รับรู้ว่าตนเองอาจติดเชื้อหรือสัมผัส COVID-19 นักวิจัยใช้วิธีการเก็บข้อมูลที่ เน้นการสื่อสารทางไกลหรือปลอดภัยต่อสุขภาพ เช่น การสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว (One-on-one interviews) การจัดกลุ่มสนทนาออนไลน์ (Virtual focus groups) แบบสอบถามสำรวจ (Survey questionnaires) แต่ไม่ได้มีการลงพื้นที่หรือสังเกตพฤติกรรมในบ้านของผู้เข้าร่วม เนื่องจากข้อจำกัดด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และมาตรการควบคุมโรคระบาด

การศึกษาทางสังคมในช่วงการระบาดของโควิด-19 มักหลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่ส่วนบุคคลเพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อ โดยอ้างอิงแนวทางจาก: Institutional Review Board (IRB) และจรรยาบรรณวิจัยในช่วงโรคระบาด งานวิจัยของมหาวิทยาลัยและสถาบันสาธารณสุข เช่น Harvard, WHO, และ CDC ที่ใช้วิธี remote data collection (การเก็บข้อมูลทางไกล) เป็นหลัก

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

9


What ethical considerations were emphasized during the focus group discussions?

Ensuring privacy and voluntary participation

ในการอภิปรายกลุ่ม (focus group) ซึ่งเป็นวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ การรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าร่วมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อสร้างความไว้วางใจและให้ผู้เข้าร่วมสามารถแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระโดยไม่ต้องกังวลว่าข้อมูลของตนจะถูกเปิดเผยโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมต้องเป็นไปโดยสมัครใจ ผู้เข้าร่วมต้องได้รับข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการวิจัยและสามารถถอนตัวได้ทุกเมื่อโดยไม่มีผลกระทบใด ๆ สาเหตุนี้จึงเป็นประเด็นจริยธรรมหลักที่เน้นย้ำในงานวิจัย เพื่อคุ้มครองสิทธิและความปลอดภัยของผู้เข้าร่วม ทั้งนี้เพื่อให้การวิจัยมีความน่าเชื่อถือและเป็นไปตามมาตรฐานจริยธรรมสากล

Belmont Report (1979): เน้นหลักการ Respect for Persons (เคารพสิทธิบุคคล) โดยให้ความสำคัญกับการได้รับความยินยอมอย่างสมัครใจและการรักษาความลับ Declaration of Helsinki: กำหนดหลักการด้านจริยธรรมการวิจัยกับมนุษย์ เน้นเรื่องความสมัครใจและความเป็นส่วนตัว Israel & Hay (2006): กล่าวถึงความสำคัญของการรักษาความลับและการเข้าร่วมโดยสมัครใจในงานวิจัยเชิงคุณภาพและการอภิปรายกลุ่ม

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

10


How did the availability of self-tests in 2021 impact the public health response to COVID-19?

It increased the speed at which people could learn their infection status

ในปี 2021 การมีชุดตรวจโควิด-19 แบบตรวจเองที่บ้าน (self-tests) ช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการตรวจและรับรู้ผลการติดเชื้อโดยไม่ต้องรอการนัดหมายหรือการตรวจในสถานพยาบาล ชุดตรวจเหล่านี้ทำให้ประชาชนสามารถตรวจหาเชื้อได้ด้วยตนเองอย่างรวดเร็วเมื่อสงสัยว่าติดเชื้อ ช่วยลดระยะเวลาระหว่างการติดเชื้อกับการรู้ผล ส่งผลให้สามารถแยกตัวและควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีขึ้น แม้ว่าชุดตรวจเหล่านี้อาจมีข้อจำกัดเรื่องความแม่นยำเมื่อเทียบกับการตรวจในห้องปฏิบัติการ (PCR) แต่ความรวดเร็วและความสะดวกทำให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการตอบสนองทางสาธารณสุขในสถานการณ์ระบาดใหญ่

1. หลักการทางสาธารณสุข: การตรวจจับผู้ติดเชื้อเร็วขึ้น (early detection) เป็นกุญแจสำคัญในการลดการแพร่ระบาด (source control) 2. งานวิจัยและรายงานจาก WHO และ CDC: ชุดตรวจแบบ self-test ช่วยเพิ่มความครอบคลุมและความรวดเร็วในการตรวจหาเชื้อ COVID-19 แม้อาจมีข้อจำกัดเรื่องความไว (sensitivity) แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในภาวะฉุกเฉิน 3. หลักคิดทางระบาดวิทยา: การลดเวลา "diagnostic delay" ช่วยลดจำนวนการแพร่เชื้อ (R0) ได้ 4. วารสารวิชาการ เช่น Journal of Clinical Microbiology และ The Lancet Infectious Diseases รายงานประสิทธิภาพและประโยชน์ของการตรวจ self-test ในช่วงการระบาดใหญ่

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

11


What is urban ecology primarily concerned with?

The interactions between urban environments and ecosystems

Urban ecology คือ สาขาหนึ่งของนิเวศวิทยาที่ศึกษา ความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เมือง และธรรมชาติ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการขยายตัวของเมือง เช่น การใช้ที่ดิน การลดพื้นที่สีเขียว มลภาวะ และผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตทั้งมนุษย์และสัตว์ จุดเน้นหลักของสาขานี้ไม่ใช่การพัฒนาเศรษฐกิจ การเมือง หรือชนบท แต่คือ การวิเคราะห์ว่าระบบเมือง (urban systems) มีผลต่อระบบนิเวศอย่างไร และในทางกลับกัน ระบบนิเวศมีบทบาทต่อเมืองอย่างไร เช่น ต้นไม้ช่วยดูดซับคาร์บอน ลดอุณหภูมิ ลดมลพิษ หรือการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ในเมือง

Urban Ecology Theory: เป็นแนวคิดที่พัฒนาโดยนักนิเวศวิทยาและนักวางผังเมือง เช่น Alberti (2008), Grimm et al. (2000) ซึ่งเน้นว่าเมืองไม่ใช่แค่สิ่งปลูกสร้างหรือโครงสร้างพื้นฐาน แต่คือระบบนิเวศแบบหนึ่งที่มนุษย์มีบทบาทเป็นศูนย์กลาง Socio-ecological Systems (SES): แนวคิดที่รวมระบบสังคมกับระบบนิเวศเข้าด้วยกัน เน้นการศึกษาการเชื่อมโยงของเมืองกับทรัพยากรธรรมชาติ น้ำ อากาศ และสิ่งมีชีวิต บทความ “Status of urban ecology in Africa: A systematic review” ก็ระบุชัดว่า งานวิจัยในสาขานี้เน้นเรื่องการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศที่เกิดจากกระบวนการสร้างเมืองและการขยายตัวของเมือง

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

12


Which continent is noted as rapidly urbanizing within the study?

Africa

งานวิจัยเรื่อง "Status of urban ecology in Africa: A systematic review" ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Urban Forestry & Urban Greening ได้สรุปว่าทวีปแอฟริกาเป็นทวีปที่มีการเติบโตของเมืองอย่างรวดเร็ว งานวิจัยด้านนิเวศวิทยาในเมืองของแอฟริกาถูกศึกษาในหลายประเทศ สะท้อนถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของเมืองในภูมิภาคนี้ และความจำเป็นในการนำหลักนิเวศวิทยาเข้าไปใช้ในแผนพัฒนาเมืองเพื่อความยั่งยืน

รายงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า ทวีปแอฟริกามีอัตราการขยายตัวของเมืองเร็วที่สุดในโลก ทฤษฎีการเปลี่ยนผ่านเมือง (urban transition theory) อธิบายถึงกระบวนการเติบโตของเมืองในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งแอฟริกาเป็นตัวอย่างสำคัญ งานวิจัยด้านนิเวศวิทยาเมืองเน้นความสำคัญของการผสมผสานระหว่างการพัฒนาเมืองและการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการเติบโตของเมืองอย่างรวดเร็ว

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

13


What significant bias is present in the study of urban ecology in Africa?

Limited to capital cities

จากบทความ “Status of urban ecology in Africa: A systematic review” พบว่าการวิจัยด้านนิเวศวิทยาเมืองในแอฟริกาส่วนใหญ่ถูกจำกัดไว้เฉพาะในเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ เช่น กรุงแอดดิสอาบาบา ลากอส หรือไคโร ซึ่งหมายความว่างานวิจัยยังขาดการครอบคลุมเมืองรอง เมืองขนาดเล็ก หรือชุมชนเมืองอื่นๆ ที่มีบริบทแตกต่างกันไป ทำให้ภาพรวมของนิเวศวิทยาเมืองในแอฟริกาไม่ครบถ้วน และอาจบิดเบือนไปจากความเป็นจริงในหลายพื้นที่ การโฟกัสเฉพาะเมืองหลวงนี้ทำให้เกิดอคติ (bias) ในการตีความข้อมูลและการวางแผนพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน

Sampling Bias: ในการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ หากกลุ่มตัวอย่างหรือพื้นที่วิจัยถูกเลือกแบบไม่หลากหลาย หรือจำกัดเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น เฉพาะเมืองหลวง จะทำให้ผลการวิจัยไม่สามารถสะท้อนภาพรวมที่แท้จริงของประชากรหรือพื้นที่ทั้งหมดได้ (Creswell, 2013) Urban Transition Theory: อธิบายการเปลี่ยนแปลงของเมืองในประเทศกำลังพัฒนา ที่เมืองหลวงและเมืองใหญ่มีลักษณะและการเติบโตแตกต่างจากเมืองรองและเมืองเล็ก งานวิจัยจากบทความนี้ชี้ให้เห็นว่าควรขยายขอบเขตการศึกษาให้ครอบคลุมเมืองในหลายระดับ เพื่อความถูกต้องและครบถ้วนของข้อมูลนิเวศวิทยาเมือง

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

14


What factor did the study NOT find influencing research efforts in African urban ecology?

GDP of countries

จากบทความ “Status of urban ecology in Africa: A systematic review” พบว่าปัจจัยที่มีผลต่อความพยายามในการวิจัยนิเวศวิทยาเมืองในแอฟริกาคือ GDP ของแต่ละประเทศ ระดับความเข้มข้นของการเป็นเมือง (urbanization intensity) สถานะการอนุรักษ์ของระบบนิเวศ (ecoregion conservation status) และการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ของงานวิจัย (geographic distribution of studies) แต่บทความไม่ได้ระบุว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความพยายามวิจัยในด้านนี้อย่างมีนัยสำคัญ โดยสรุป เทคโนโลยีอาจช่วยในการเก็บข้อมูลหรือวิเคราะห์ได้ แต่ไม่ได้เป็นตัวแปรหลักที่มีผลต่อจำนวนหรือความเข้มข้นของงานวิจัยในบริบทนี้

Determinants of Research Effort: การศึกษางานวิจัยมักจะวิเคราะห์ตัวแปรต่าง ๆ ที่มีผลต่อความเข้มข้นของงานวิจัย เช่น ปัจจัยทางเศรษฐกิจ (GDP), สภาพแวดล้อมธรรมชาติ และลักษณะภูมิศาสตร์ (Ward et al., 2015) Research Bias Theory: การวิเคราะห์การกระจายตัวของงานวิจัยมักชี้ให้เห็นว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจและนิเวศวิทยามีอิทธิพลมากกว่าปัจจัยทางเทคโนโลยี งานวิจัยนี้สอดคล้องกับหลักการว่า ปัจจัยทางเศรษฐกิจและภูมิศาสตร์มีผลต่อความสนใจและทรัพยากรในการทำวิจัยมากกว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในพื้นที่ศึกษาที่หลากหลาย (อ้างอิงจากบทความใน ScienceDirect)

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

15


Which method was used to gather data for the study?

Literature review and bibliographic searches

จากบทความ “Status of urban ecology in Africa: A systematic review” ผู้วิจัยได้ใช้วิธีการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ (systematic review) โดยทำการสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลทางวิชาการ เช่น Scopus และ Web of Science เพื่อรวบรวม วิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลจากงานวิจัยที่มีอยู่เกี่ยวกับนิเวศวิทยาเมืองในทวีปแอฟริกา ไม่ได้มีการเก็บข้อมูลใหม่จากการสังเกตจริง (direct observation), การทดลอง (experimentation), แบบสอบถาม (surveys) หรือการสัมภาษณ์ (interviews) แต่อย่างใด จึงสรุปได้ว่าวิธีการหลักในการเก็บข้อมูลคือการ สืบค้นและวิเคราะห์งานวิจัยที่มีอยู่แล้ว นั่นเอง

Systematic Literature Review (SLR): เป็นวิธีการวิจัยที่ใช้ในการรวบรวม วิเคราะห์ และประเมินข้อมูลจากงานวิจัยที่ผ่านมาอย่างเป็นระบบ มีขั้นตอนที่ชัดเจนและโปร่งใส เช่น การกำหนดคำค้น การคัดกรองบทความ และการวิเคราะห์เนื้อหา (Kitchenham, 2004; Petticrew & Roberts, 2006) หลักการของ Evidence-Based Research: เชื่อว่าการทบทวนวรรณกรรมอย่างรอบด้านจะช่วยให้เข้าใจภาพรวมขององค์ความรู้ในหัวข้อนั้นๆ ได้ชัดเจนและเชื่อถือได้ อ้างอิงจากบทความโดยตรง: ผู้วิจัยระบุในส่วน “Methods” ว่าใช้การค้นหาบทความทางวิชาการและการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) ของงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

16


What does the study suggest is needed for urban ecology research in Africa?

A realignment of research priorities

บทความ “Status of urban ecology in Africa: A systematic review” ระบุว่า แม้จะมีงานวิจัยด้านนิเวศวิทยาเมืองในแอฟริกาเพิ่มขึ้น แต่ยังมีความไม่สมดุลในด้านเนื้อหา พื้นที่ศึกษา และมุมมองที่ใช้ ผู้เขียนเสนอว่าจำเป็นต้องมีการ จัดลำดับความสำคัญของงานวิจัยใหม่ (realign research priorities) เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของเมืองในแอฟริกา เช่น: การขยายขอบเขตงานวิจัยไปยังเมืองที่ไม่ใช่เมืองหลวง การเน้นเรื่องระบบนิเวศเฉพาะท้องถิ่น ไม่ใช่แค่คัดลอกกรอบแนวคิดจากต่างประเทศ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักวิจัยในท้องถิ่นและชุมชน แนวทางนี้จะช่วยให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งและเหมาะสมต่อการวางแผนและพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนในบริบทของแอฟริกา

Context-Specific Research Prioritization: แนวคิดนี้เน้นว่า การตั้งเป้าหมายวิจัยควรสอดคล้องกับความต้องการและบริบทเฉพาะของภูมิภาคนั้น ๆ ไม่ใช่ลอกแบบจากประเทศพัฒนาแล้ว (UN-Habitat, 2020) Participatory Urban Ecology: เสนอให้เกิดการมีส่วนร่วมจากนักวิจัยท้องถิ่นและชุมชน เพื่อให้การวิจัยเกิดประโยชน์สูงสุด (Alberti, 2008) จากบทความโดยตรง (ในหัวข้อ Discussion และ Conclusion): มีการกล่าวชัดเจนถึงความจำเป็นในการ “realigning research priorities to address context-relevant urban challenges”

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

17


Which country was mentioned as having the majority of the studies?

South Africa

จากบทความ “Status of urban ecology in Africa: A systematic review” ผู้เขียนได้วิเคราะห์บทความวิจัยด้านนิเวศวิทยาเมืองทั้งหมดในแอฟริกา และพบว่า ประเทศแอฟริกาใต้ (South Africa) เป็นประเทศที่มีจำนวนงานวิจัยมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในทวีป โดยมีการศึกษาหลากหลายหัวข้อ เช่น ความหลากหลายทางชีวภาพในเมือง การใช้พื้นที่สีเขียว การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และผลกระทบจากการขยายตัวของเมือง สาเหตุที่แอฟริกาใต้มีงานวิจัยมาก อาจเนื่องมาจากโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่แข็งแรง มหาวิทยาลัยที่มีงานวิจัยระดับนานาชาติ และการสนับสนุนจากภาครัฐและองค์กรระหว่างประเทศ

Capacity-Based Distribution of Research: ทฤษฎีนี้ระบุว่า ประเทศที่มีทรัพยากรพร้อมทั้งด้านบุคลากร เทคโนโลยี และเงินทุน มักจะมีปริมาณงานวิจัยสูงกว่า แม้ว่าจะไม่ใช่ประเทศที่มีปัญหาหนักที่สุดเสมอไป (Leach & Mearns, 1996) Institutional Research Capacity Theory: ประเทศที่มีสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยเข้มแข็ง เช่น แอฟริกาใต้ มักจะผลิตองค์ความรู้และตีพิมพ์ได้มากกว่า (UNESCO Science Report, 2021) บทความต้นฉบับใน ScienceDirect ได้ระบุชัดว่า South Africa มีสัดส่วนของงานวิจัยด้านนิเวศวิทยาเมืองมากที่สุดในแอฟริกา

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

18


How did the study categorize the geographic biases in research?

Unevenly distributed

ในบทความ “Status of urban ecology in Africa: A systematic review” ผู้วิจัยได้วิเคราะห์แหล่งที่มาของงานวิจัยเกี่ยวกับนิเวศวิทยาเมืองในทวีปแอฟริกา และพบว่า งานวิจัยไม่ได้กระจายตัวอย่างเท่าเทียมกันในทุกประเทศหรือทุกภูมิภาค มีบางประเทศ เช่น แอฟริกาใต้ เคนยา หรือไนจีเรีย ที่มีงานวิจัยจำนวนมาก ในขณะที่อีกหลายประเทศในแอฟริกามีงานวิจัยน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย สิ่งนี้แสดงถึงอคติทางภูมิศาสตร์ (geographic bias) ที่เกิดจากความแตกต่างด้านทรัพยากร ความสามารถทางการวิจัย หรือความสนใจเฉพาะของนักวิจัย ซึ่งส่งผลให้การทำความเข้าใจระบบนิเวศเมืองของทั้งทวีปยังไม่ครอบคลุม

Sampling Bias Theory: การเลือกพื้นที่ศึกษาแบบไม่เท่าเทียมอาจทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นตัวแทนของภาพรวมทั้งหมด (Creswell, 2013) Research Capacity Disparity: ประเทศที่มีทรัพยากรการวิจัยมากมักจะผลิตงานวิจัยได้มากกว่า ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการกระจายของข้อมูล (UNESCO Science Report, 2021) ในบทความต้นฉบับ (ส่วน Discussion) ผู้เขียนใช้คำว่า “uneven geographic distribution of studies” อย่างชัดเจน และเสนอให้มีการกระจายงานวิจัยให้ครอบคลุมภูมิภาคที่ยังขาดข้อมูล

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

19


What is a key recommendation from the study for improving urban ecology research in Africa?

Encourage transnational collaborations

จากบทความ “Status of urban ecology in Africa: A systematic review” ผู้วิจัยเน้นว่า หนึ่งในข้อเสนอแนะหลักในการพัฒนางานวิจัยด้านนิเวศวิทยาเมืองในแอฟริกาคือการ ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือภายในทวีปแอฟริกาเอง (South–South collaboration) หรือความร่วมมือกับประเทศนอกภูมิภาค (North–South collaboration) การร่วมมือข้ามประเทศจะช่วยให้เกิดการแบ่งปันองค์ความรู้ ทรัพยากร เทคโนโลยี และแนวทางวิจัยที่หลากหลาย ซึ่งจะช่วยลดช่องว่างด้านความสามารถในการวิจัย (research capacity gaps) และทำให้งานวิจัยมีคุณภาพและครอบคลุมมากขึ้น ทั้งยังช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในบริบทที่แตกต่างกันของเมืองในทวีปแอฟริกา

Collaborative Research Theory: ทฤษฎีนี้เน้นว่าการทำงานร่วมกันระหว่างนักวิจัยจากหลากหลายประเทศช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของงานวิจัย ทำให้มีมุมมองที่กว้างขึ้น และสามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า (Wagner et al., 2015) Capacity Building in Science: การวิจัยแบบร่วมมือข้ามประเทศสามารถช่วยเพิ่มขีดความสามารถของประเทศที่มีข้อจำกัดทางทรัพยากรหรือบุคลากร (UNESCO, 2021) ในบทความฉบับนี้ ผู้เขียนเน้นย้ำว่า "building stronger intra-African and international collaborations" เป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับคุณภาพงานวิจัยนิเวศวิทยาเมืองในแอฟริกา

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

20


According to the study, what impacts the number of publications in African urban ecology?

The GDP of the countries

บทความ “Status of urban ecology in Africa: A systematic review” ระบุชัดเจนว่า GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) ของแต่ละประเทศมีผลต่อจำนวนงานวิจัยด้านนิเวศวิทยาเมืองอย่างชัดเจน โดยประเทศที่มี GDP สูงกว่า มักจะมีทรัพยากรมากกว่าในการลงทุนด้านการศึกษา การวิจัย และโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งช่วยส่งเสริมให้สามารถผลิตผลงานวิจัยได้มากและหลากหลายกว่า ตัวอย่างเช่น ประเทศแอฟริกาใต้ซึ่งมี GDP สูงและระบบการศึกษาที่แข็งแรง มีจำนวนงานวิจัยด้านนิเวศวิทยาเมืองมากที่สุดในทวีป ในขณะที่ประเทศที่มี GDP ต่ำกว่ามักมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ บุคลากร และโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้งานวิจัยมีน้อยหรือไม่มีเลยในบางพื้นที่

Resource Availability Theory: ทฤษฎีนี้ระบุว่า ประเทศที่มีทรัพยากรทางเศรษฐกิจมากกว่าจะสามารถลงทุนในงานวิจัย การศึกษา และนวัตกรรมได้มากกว่า ซึ่งนำไปสู่จำนวนและคุณภาพของผลงานวิจัยที่สูงขึ้น (UNESCO Science Report, 2021) Scientific Output and Economic Indicators: มีงานวิจัยจำนวนมากที่ยืนยันว่าระดับ GDP มีความสัมพันธ์กับความสามารถในการผลิตงานวิชาการ เช่น ดัชนีการอ้างอิงงานวิจัย (citations) และจำนวนบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ (King, 2004) บทความใน ScienceDirect ระบุไว้ชัดเจนว่า “higher GDP countries tend to produce more urban ecology studies,” ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อค้นพบหลักของการศึกษานี้

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

ผลคะแนน 126.5 เต็ม 140

แท๊ก หลักคิด
แท๊ก อธิบาย
แท๊ก ภาษา