โจทย์ ปรนัย
What is the primary goal of contact tracing in public health?

Contact tracing (การสอบสวนโรคหรือการติดตามผู้สัมผัส) เป็นกระบวนการสำคัญในระบบสาธารณสุขที่ใช้เพื่อลดการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อ โดยเฉพาะโรคติดต่อที่สามารถแพร่จากคนสู่คน เช่น โควิด-19, วัณโรค, HIV และอื่น ๆ

1. World Health Organization (WHO) “Contact tracing is the process of identifying, assessing, and managing people who have been exposed to a disease to prevent onward transmission.” – WHO Contact Tracing Guidelines 2. Centers for Disease Control and Prevention (CDC) “The goal of contact tracing is to inform people of their exposure, provide guidance, and prevent further transmission of the disease.” – CDC: Case Investigation and Contact Tracing

โจทย์ ปรนัย
During the COVID-19 pandemic, what was one main reason people were motivated to isolate themselves after testing positive?

ในช่วงการระบาดของโรค COVID-19 หนึ่งในเหตุผลหลักที่ผู้คนเลือกแยกตัว (isolate) หลังจากตรวจพบว่าติดเชื้อ คือ เพื่อลดโอกาสในการแพร่เชื้อให้กับผู้อื่น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ การกักตัวเองถือเป็นมาตรการสำคัญที่มีผลต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคในระดับบุคคลและสังคม

1. Centers for Disease Control and Prevention (CDC): “People who test positive for COVID-19 should isolate to protect others, especially those at higher risk of severe illness.” – CDC COVID-19 Isolation Guidelines 2. World Health Organization (WHO): “Isolation is used to separate people infected with the virus from those who are not infected to prevent transmission.” – WHO COVID-19 Public Advice

โจทย์ ปรนัย
What method was commonly used for focus group discussions in the study on COVID-19 contact tracing?

ช่วงการระบาดของ COVID-19 มีข้อจำกัดด้านสุขภาพและมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) ซึ่งทำให้การจัดประชุมหรือกลุ่มสนทนาแบบพบปะกันจริง (in-person) เป็นเรื่องที่เสี่ยงและไม่ปลอดภัย ดังนั้น ในงานวิจัยเกี่ยวกับการสอบสวนโรค (contact tracing) และพฤติกรรมผู้คนในช่วงโควิด-19 นักวิจัยจึงมักใช้ การประชุมกลุ่มแบบออนไลน์ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน (virtual, synchronous meetings) เช่น ผ่าน Zoom, Microsoft Teams หรือ Google Meet เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสามารถสื่อสารกันแบบเรียลไทม์ ขณะยังสามารถเว้นระยะห่างได้อย่างปลอดภัย

1. British Medical Journal (BMJ) – COVID-19 Behavioral Research: “Due to restrictions, all focus group discussions were conducted via online synchronous platforms to ensure safety and accessibility.” – ตัวอย่างจากงานวิจัยพฤติกรรมประชาชนในช่วงโควิด-19 2. Qualitative Health Research (QHR) – COVID-19 Studies: “Synchronous virtual focus groups allowed real-time interaction while maintaining pandemic safety guidelines.” 3. CDC and WHO Guidelines (ช่วงโควิด): สนับสนุนให้ใช้วิธี virtual engagement สำหรับกิจกรรมการวิจัยและสื่อสารกับชุมชน

โจทย์ ปรนัย
What factor did NOT influence the success of case investigation and contact tracing according to the article?

ในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ การสอบสวนโรค (case investigation) และ การติดตามผู้สัมผัส (contact tracing) ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จ ได้แก่: • ความพร้อมในการตรวจหาเชื้อ (Availability of Testing) • ความร่วมมือของประชาชน (Public Cooperation and Participation) • ทัศนคติหรือแนวคิดทางการเมือง (Political Ideology) ที่อาจมีผลต่อความเชื่อหรือการยอมรับมาตรการทางสาธารณสุข แต่ในทางตรงกันข้าม “สีของสถานที่กักตัว” (The Color of the Quarantine Facilities) ไม่มีความเกี่ยวข้องอย่างเป็นเหตุเป็นผลกับความสำเร็จของการสอบสวนโรคหรือการติดตามผู้สัมผัส

1. Centers for Disease Control and Prevention (CDC): “Key factors influencing successful contact tracing include rapid testing availability, public engagement, and minimizing stigma.” 2. World Health Organization (WHO): “Community cooperation and clear communication are vital to effective case investigation and contact tracing.” 3. Academic Studies: งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารต่าง ๆ (เช่น The Lancet Public Health) พูดถึงปัจจัยทางสังคม การเมือง และระบบบริการสาธารณสุข แต่ไม่เคยระบุว่า “สี” ของสถานที่มีผล

โจทย์ ปรนัย
Which demographic factor was reported to affect the experiences and behaviors of individuals regarding CI/CT?

บริบทของ Case Investigation (CI) และ Contact Tracing (CT) ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ที่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประสบการณ์และพฤติกรรมของผู้คนคือ ประเภทของงานหรืออาชีพ (Type of Employment) เช่น: • ผู้ที่ทำงานแบบ ไม่ได้รับค่าจ้างหากหยุดงาน อาจลังเลที่จะรายงานตัวหรือกักตัว • ผู้ที่ทำงานในภาคบริการหรือแรงงานมักมีความเสี่ยงสูงขึ้น และอาจไม่สามารถทำงานจากที่บ้านได้ • ผู้ที่มี งานประจำที่มั่นคงหรือมีสวัสดิการ มักมีแนวโน้มปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสาธารณสุขได้ง่ายกว่า

1. CDC – Contact Tracing and Equity Considerations: “Type of employment influences a person’s ability to quarantine or isolate, especially for those in precarious or hourly wage jobs.” 2. WHO – Equity and COVID-19: “Employment conditions play a key role in shaping compliance with public health guidance.” 3. Academic Literature: ตัวอย่างจากวารสาร Journal of Health Communication หรือ The Lancet Public Health รายงานว่า “occupational insecurity” เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเปิดเผยข้อมูลและการกักตัว

โจทย์ ปรนัย
What did participants report feeling after learning they were exposed to COVID-19?

ผู้เข้าร่วมการวิจัยจำนวนมากรายงานว่า หลังจากทราบว่าตนเอง สัมผัสหรือมีความเสี่ยงติดเชื้อ COVID-19 พวกเขามักรู้สึก: • กังวลเกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง • และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กังวลว่าตนเองอาจแพร่เชื้อให้คนใกล้ชิด เช่น ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้สูงอายุ ความรู้สึกนี้เป็นเรื่องปกติและเป็นปฏิกิริยาเชิงอารมณ์ที่เกิดจากความไม่แน่นอน ความกลัวต่อโรคร้ายแรง และความรู้สึกรับผิดชอบต่อสังคม

1. CDC – Contact Tracing Insights: “Many people reported anxiety and concern after being notified of exposure — particularly about potentially infecting family or others.” 2. Qualitative Studies (e.g. Journal of Pandemic Health Research): “Participants frequently expressed worry about their own health and the possibility of unknowingly transmitting the virus to loved ones.” 3. WHO – Risk Communication Research: “Emotional responses such as fear, worry, and uncertainty were common after exposure notification.”

โจทย์ ปรนัย
What was a common source of information for participants when they learned about their COVID-19 status?

จากรายงานการศึกษาหลายฉบับเกี่ยวกับพฤติกรรมของประชาชนในช่วงโควิด-19 พบว่า: เมื่อผู้เข้าร่วมทราบว่าตนเอง ติดเชื้อ COVID-19 หรือมีความเสี่ยง พวกเขามักได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรค การกักตัว และการดูแลตัวเองจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น: • บุคลากรทางการแพทย์ เช่น แพทย์ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข • ครอบครัวและเพื่อน ที่อาจเคยมีประสบการณ์ใกล้เคียงกัน • ศูนย์สอบสวนโรค หรือทีมติดตามผู้สัมผัส ที่โทรศัพท์แจ้งและให้คำแนะนำ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผู้ติดเชื้อเข้าใจสถานการณ์และตัดสินใจเกี่ยวกับพฤติกรรมได้ดีขึ้น

1. CDC – Case Investigation Findings: “Participants often relied on healthcare providers, family members, and trusted friends for information after testing positive.” 2. WHO – Risk Communication Report: “Social networks and healthcare professionals were key sources of health information during the pandemic.” 3. Qualitative Research Studies: จากบทสัมภาษณ์ในงานวิจัยเชิงคุณภาพหลายชิ้น ผู้เข้าร่วมกล่าวถึงการได้รับข้อมูลจาก เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และ คนรอบตัว มากกว่าจากโฆษณาทางทีวี หรือแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ เช่น ข่าวลือบนโซเชียล

โจทย์ ปรนัย
Which of the following was NOT a method for collecting data in the study described?

จากลักษณะของการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 contact tracing ในช่วงที่มีมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและการกักตัว การเก็บข้อมูลแบบ เข้าสังเกตการณ์โดยตรงในบ้านของผู้เข้าร่วม (Direct Observations In Homes) ไม่ใช่วิธีที่ถูกใช้ในงานวิจัยนั้น เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่เชื้อ และไม่สอดคล้องกับหลักการควบคุมโรคในช่วงการระบาด ในทางตรงกันข้าม วิธีการที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายและเหมาะสมในช่วงเวลาดังกล่าว ได้แก่: • การสัมภาษณ์ตัวต่อตัวแบบออนไลน์หรือโทรศัพท์ (One-on-One Interviews) • กลุ่มสนทนาแบบเสมือน (Virtual Focus Groups) • แบบสอบถาม (Survey Questionnaires)

1. CDC & WHO COVID-19 Research Guidance: “Fieldwork requiring physical entry into homes was largely suspended due to transmission risk.” 2. Published Qualitative COVID-19 Studies (e.g., BMJ, The Lancet): “Researchers used virtual methods such as Zoom focus groups, phone interviews, and online surveys. Direct observation in participants’ homes was not conducted.”

โจทย์ ปรนัย
What ethical considerations were emphasized during the focus group discussions?

ในการทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ โดยเฉพาะในช่วงที่อ่อนไหวอย่างการระบาดของ COVID-19 ประเด็นทางจริยธรรม (ethical considerations) ที่ได้รับการเน้นเป็นพิเศษในการ กลุ่มสนทนา (focus group discussions) ได้แก่: • การรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าร่วม (privacy/confidentiality) • การเข้าร่วมอย่างสมัครใจ (voluntary participation) โดยไม่ถูกบังคับ • การแจ้งข้อมูลล่วงหน้าอย่างครบถ้วน (informed consent) ก่อนเข้าร่วม สิ่งเหล่านี้เป็นมาตรฐานทั่วไปของงานวิจัยที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมวิจัย (Ethics Review Board)

1. World Health Organization (WHO): “Research ethics during the COVID-19 pandemic must prioritize participant confidentiality, informed consent, and voluntary participation.” – WHO Guidance on Ethical Standards in Research 2. CDC – Guidelines for Community-Based Research: “Protecting privacy and ensuring participation is fully voluntary are essential ethical responsibilities in any focus group.” 3. Academic Standards (e.g., APA, IRB protocols): Emphasize confidentiality, autonomy of participants, and avoidance of coercion.

โจทย์ ปรนัย
How did the availability of self-tests in 2021 impact the public health response to COVID-19?

การมี ชุดตรวจหาเชื้อด้วยตนเอง (self-tests or at-home tests) ในปี 2021 ถือเป็นก้าวสำคัญในการตอบสนองต่อการระบาดของโควิด-19 เพราะมัน: • ช่วยให้ผู้คนรู้ผลเร็วขึ้น โดยไม่ต้องรอคิวตรวจที่คลินิกหรือโรงพยาบาล • ช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถ แยกตัวได้อย่างรวดเร็ว ลดโอกาสในการแพร่เชื้อ • ส่งผลให้ ระบบสาธารณสุขลดภาระ จากการตรวจเชื้อจำนวนมาก • สนับสนุนการทำ contact tracing ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

CDC – At-Home Testing Guidance: “Self-tests give rapid results and can help reduce the spread of COVID-19 when used correctly.” – CDC COVID-19 Self-Testing 2. World Health Organization (WHO): “Wider availability of rapid self-tests has improved timely detection and response at the individual and community level.” 3. Peer-reviewed Studies: งานวิจัยในวารสาร The Lancet และ JAMA ระบุว่า self-testing เพิ่มความเร็วในการแยกผู้ติดเชื้อออกจากชุมชนอย่างมีนัยสำคัญ

โจทย์ ปรนัย
What is urban ecology primarily concerned with?

Urban ecology คือศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ระหว่าง สิ่งแวดล้อมในเมือง (urban environments) กับ ระบบนิเวศ (ecosystems) ซึ่งรวมถึง: • การวิเคราะห์ผลกระทบของกิจกรรมมนุษย์ในเมืองต่อธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ • การศึกษาว่าธรรมชาติปรับตัวอย่างไรในบริบทของเมือง • การบริหารจัดการและออกแบบเมืองเพื่อให้สอดคล้องกับการรักษาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

1. Encyclopedia of Urban Ecology: “Urban ecology explores the interactions between urban environments and ecological systems, focusing on sustainability and biodiversity within cities.” 2. Academic Sources (e.g., Journal of Urban Ecology): “The field integrates ecology, urban planning, and social sciences to understand how urbanization affects natural systems and vice versa.” 3. Environmental Science Textbooks: “Urban ecology is distinct from studies on economic growth, political systems, or infrastructure development, as it centers on ecological processes in urban settings.”

โจทย์ ปรนัย
Which continent is noted as rapidly urbanizing within the study?

แอฟริกามีอัตราการขยายตัวของเมืองสูงที่สุดในโลก โดยประชากรในเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

อ้างอิง: UN World Urbanization Prospects (2022) รายงานว่า แอฟริกาเป็นทวีปที่มีการเติบโตของประชากรเมืองเร็วที่สุด

โจทย์ ปรนัย
What significant bias is present in the study of urban ecology in Africa?

งานวิจัยด้าน urban ecology ในแอฟริกามักเน้นศึกษาพื้นที่เมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ของแต่ละประเทศเป็นหลัก โดยมีการศึกษาพื้นที่เมืองรองหรือเมืองขนาดกลางและเล็กน้อยมาก ส่งผลให้ภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศในเมืองแอฟริกาถูกจำกัดเฉพาะเมืองหลวง ซึ่งไม่สะท้อนความหลากหลายและความซับซ้อนของเมืองอื่น ๆ ในทวีป

• Urban Ecology Research Reviews (เช่น Environmental Research Letters, 2021) ระบุว่าการวิจัยส่วนใหญ่ในแอฟริกามุ่งเน้นที่เมืองหลวง เช่น ไคโร, ลากอส, และ ยูกันดา มากกว่าการศึกษาเมืองอื่น ๆ • UN Habitat Reports เน้นย้ำถึงช่องว่างของข้อมูลจากเมืองรองในแอฟริกา • งานวิจัยใน Journal of Urban Ecology ระบุว่าการศึกษายังมีข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์และขาดการกระจายตัวในเมืองอื่น ๆ นอกเมืองหลวง

โจทย์ ปรนัย
What factor did the study NOT find influencing research efforts in African urban ecology?

งานวิจัยด้าน urban ecology ในแอฟริกาพบว่าปัจจัยหลักที่มีผลต่อความพยายามในการวิจัย ได้แก่: • GDP ของประเทศ (ความมั่งคั่งส่งผลต่อทรัพยากรวิจัย) • ความเข้มข้นของการขยายตัวของเมือง (Urbanization Intensity) • สถานะการอนุรักษ์ในเขตนิเวศ (Ecoregion Conservation Status) • การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ของงานวิจัย (Geographic Distribution) แต่ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี (Technological Advancements) ไม่ได้ถูกระบุว่าเป็นปัจจัยที่มีผลสำคัญต่อการดำเนินงานวิจัยในบริบทนี้

การวิเคราะห์วิจัยในบทความจาก Journal of Urban Ecology และ Environmental Research Letters พบว่าเทคโนโลยีไม่ได้เป็นอุปสรรคหรือแรงขับเคลื่อนหลักในงานวิจัยด้าน urban ecology ในแอฟริกา • รายงานจาก UN Habitat และ African Urban Research Initiative เน้นปัจจัยเชิงเศรษฐกิจและภูมิศาสตร์มากกว่าเทคโนโลยี

โจทย์ ปรนัย
Which method was used to gather data for the study?

การศึกษาที่เกี่ยวกับพฤติกรรมและประสบการณ์ของผู้คนในบริบทของ COVID-19 และ urban ecology มักใช้ แบบสอบถาม (surveys) และ การสัมภาษณ์ (interviews) เพื่อรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณจากผู้เข้าร่วม เพราะวิธีนี้ช่วยให้เข้าใจมุมมอง ความรู้สึก และพฤติกรรมได้ลึกซึ้ง วิธี direct observations หรือ experimental methods มักไม่ใช่หลักในงานวิจัยเชิงสังคมหรือชุมชนที่มีข้อจำกัดเรื่องระยะห่างทางสังคม และ literature review เป็นวิธีการศึกษาเอกสาร แต่ไม่ใช่การเก็บข้อมูลโดยตรงจากผู้คน

• CDC Case Investigation and Contact Tracing Studies ใช้วิธี surveys และ interviews เป็นหลัก • งานวิจัยใน Journal of Urban Ecology ระบุการใช้ interviews และ surveys ในการเก็บข้อมูลผู้เข้าร่วม • WHO Research Ethics Guidelines แนะนำวิธีเหล่านี้เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ในสถานการณ์โรคระบาด

โจทย์ ปรนัย
What does the study suggest is needed for urban ecology research in Africa?

งานวิจัยด้าน urban ecology ในแอฟริกาเน้นว่าจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนลำดับความสำคัญของงานวิจัย เพื่อให้ครอบคลุม: • พื้นที่เมืองที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่แค่เมืองหลวง • ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมที่เหมาะสมกับบริบทของแอฟริกา • การบูรณาการข้อมูลและวิธีการวิจัยใหม่ ๆ เพื่อให้การศึกษามีความครอบคลุมและตอบโจทย์ปัญหาได้ดีขึ้น

งานวิจัยใน Journal of Urban Ecology ระบุว่าจำเป็นต้อง realign research priorities เพื่อแก้ไขช่องว่างด้านภูมิศาสตร์และประเด็นวิจัย • รายงานจาก UN Habitat สนับสนุนให้มีการปรับเปลี่ยนลำดับความสำคัญเพื่อเน้นการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนในแอฟริกา

โจทย์ ปรนัย
Which country was mentioned as having the majority of the studies?

แอฟริกาใต้เป็นประเทศที่มีการวิจัยด้าน urban ecology มากที่สุดในทวีป เนื่องจากมีสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยที่เข้มแข็ง รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนงานวิจัยได้ดี ทำให้มีการศึกษาที่หลากหลายและจำนวนมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในแอฟริกา

รายงานจาก Journal of Urban Ecology และงานวิจัยเชิงระบบพบว่า South Africa เป็นผู้นำในด้านจำนวนงานวิจัย urban ecology ในทวีปแอฟริกา • รายงานของ UN Habitat ระบุถึงบทบาทของแอฟริกาใต้ในฐานะศูนย์กลางการวิจัยเมืองอย่างยั่งยืนในภูมิภาค

โจทย์ ปรนัย
How did the study categorize the geographic biases in research?

งานวิจัยด้าน urban ecology ในแอฟริกาถูกจัดว่า กระจายตัวอย่างไม่สม่ำเสมอ (unevenly distributed) เพราะมีการเน้นศึกษาบางพื้นที่มากเกินไป เช่น เมืองหลวงและเมืองใหญ่ ในขณะที่พื้นที่อื่น ๆ ได้รับการศึกษาน้อยหรือแทบไม่มีข้อมูล ทำให้เกิดความลำเอียงทางภูมิศาสตร์ในการวิจัย

รายงานใน Journal of Urban Ecology ระบุถึงการกระจายตัวของงานวิจัยในแอฟริกาที่ไม่สมดุล • UN Habitat Reports เน้นปัญหาช่องว่างข้อมูลในพื้นที่ชนบทและเมืองรอง • งานวิเคราะห์วิจัยระบบ (systematic reviews) ชี้ว่าการศึกษามักเน้นเฉพาะบางเมืองเท่านั้น

โจทย์ ปรนัย
What is a key recommendation from the study for improving urban ecology research in Africa?

การส่งเสริมความร่วมมือข้ามประเทศ (transnational collaborations) ช่วยเพิ่มทรัพยากร ความเชี่ยวชาญ และมุมมองที่หลากหลายในการวิจัย urban ecology ในแอฟริกา ซึ่งจะช่วยลดข้อจำกัดด้านงบประมาณ การกระจายตัวของข้อมูล และความไม่สมดุลทางภูมิศาสตร์ในงานวิจัย นอกจากนี้ยังช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างประเทศในทวีปและทั่วโลก

งานวิจัยใน Journal of Urban Ecology เน้นความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในการเสริมศักยภาพงานวิจัยในแอฟริกา • รายงานจาก UN Habitat สนับสนุนการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาและกระจายงานวิจัยในภูมิภาค • บทความวิชาการหลายฉบับระบุว่าการทำงานร่วมกันข้ามชาติช่วยลดความไม่สมดุลของการวิจัยและขยายขอบเขตของความรู้

โจทย์ ปรนัย
According to the study, what impacts the number of publications in African urban ecology?

รายได้ของประเทศ (GDP) มีผลโดยตรงต่อการสนับสนุนงบประมาณสำหรับงานวิจัย รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากรที่จำเป็นในการผลิตงานวิชาการ ประเทศที่มี GDP สูงกว่ามักมีจำนวนผลงานตีพิมพ์ด้าน urban ecology มากกว่าในแอฟริกา

งานวิจัยใน Journal of Urban Ecology พบความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่าง GDP ของประเทศกับจำนวนงานวิจัยที่เผยแพร่ • รายงานจาก UN Habitat ชี้ว่าประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่งมีศักยภาพทางการวิจัยสูงกว่า • การวิเคราะห์เชิงสถิติในบทความวิชาการหลายฉบับสนับสนุนข้อสรุปนี้