1 |
ข้อใดต่อไปนี้อธิบายแนวคิด การรับรู้จังหวะ (Beat Perception) ได้ดีที่สุดเนื่องจากเกี่ยวข้องกับความสามารถในการได้ยินของทารกแรกเกิด
|
การแยกจังหวะที่สม่ำเสมอจากลำดับเสียง |
|
แนวคิดเรื่อง “การรับรู้จังหวะ (Beat Perception)” หมายถึงความสามารถในการแยกแยะและรับรู้จังหวะที่สม่ำเสมอจากลำดับของเสียง เช่น การได้ยินจังหวะตบมือ เคาะ หรือเสียงดนตรีที่มีความถี่ต่อเนื่องเป็นระยะ ๆ ความสามารถนี้เป็นพื้นฐานสำคัญของการรับรู้ดนตรี และยังเกี่ยวข้องกับพัฒนาการด้านภาษาและการเคลื่อนไหวของมนุษย์อีกด้วย งานวิจัยในด้านประสาทวิทยาศาสตร์พบว่า ทารกแรกเกิดสามารถรับรู้จังหวะได้แม้ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการฟังดนตรีมาก่อน แสดงให้เห็นว่า การรับรู้จังหวะเป็นความสามารถที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้เพียงอย่างเดียว ดังนั้น คำอธิบายที่ตรงกับแนวคิดของการรับรู้จังหวะมากที่สุดคือ “การแยกจังหวะที่สม่ำเสมอจากลำดับเสียง” เนื่องจากเป็นการอธิบายถึงกระบวนการที่สมองสามารถจับรูปแบบเวลาและความสม่ำเสมอในเสียงได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของ Beat Perception ตั้งแต่วัยทารก
|
หนึ่งในทฤษฎีหลักที่ใช้อธิบายการรับรู้จังหวะได้คือ ทฤษฎีการคาดการณ์ของสมอง (Predictive Coding Theory) ซึ่งอธิบายว่าสมองของมนุษย์มีความสามารถในการคาดเดาว่าเสียงถัดไปจะเกิดขึ้นเมื่อใดจากรูปแบบของเสียงที่ได้ยินมาก่อน โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการเรียนรู้มาก่อน ความสามารถนี้ทำให้ทารกสามารถรับรู้จังหวะของเสียงหรือดนตรีที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ได้ นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยของ Winkler และคณะ (2009) ที่ใช้คลื่นสมอง (EEG) ตรวจสอบการตอบสนองของทารกแรกเกิดต่อเสียงดนตรี พบว่าทารกสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของจังหวะในลำดับเสียงได้อย่างมีนัยสำคัญ แสดงให้เห็นว่า การรับรู้จังหวะเป็นความสามารถที่มีมาแต่กำเนิด อีกทฤษฎีหนึ่งที่เกี่ยวข้องคือ ทฤษฎีความสนใจแบบพลวัต (Dynamic Attending Theory) ซึ่งเสนอว่าจิตใจของมนุษย์สามารถปรับการให้ความสนใจให้สอดคล้องกับจังหวะของเสียงที่ได้ยิน เช่น เสียงเคาะหรือจังหวะดนตรี ทำให้สามารถรับรู้รูปแบบที่สม่ำเสมอได้โดยอัตโนมัติ จากหลักฐานทางทฤษฎีและงานวิจัยเหล่านี้ สรุปได้ว่า “การแยกจังหวะที่สม่ำเสมอจากลำดับเสียง” เป็นคำอธิบายที่ชัดเจนและตรงที่สุดของแนวคิดการรับรู้จังหวะ (Beat Perception) โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงความสามารถที่ปรากฏได้ตั้งแต่ในวัยทารกแรกเกิด
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
2 |
จากการวิจัย ทารกแรกเกิดใช้วิธีทดลองตามข้อใดในการแยกแยะการรับรู้จังหวะจากการเรียนรู้ทางสถิติในทารกแรกเกิด
|
การติดตามการทำงานของสมองโดยใช้ EEG ในระหว่างการกระตุ้นการได้ยิน |
|
จากการวิจัยเกี่ยวกับการรับรู้จังหวะ (Beat Perception) ในทารกแรกเกิด นักวิจัยต้องการแยกแยะว่า ความสามารถของทารกในการรับรู้จังหวะนั้นเกิดจาก "สัญชาตญาณ" หรือ "การเรียนรู้ทางสถิติ" ซึ่งเป็นกระบวนการที่สมองเรียนรู้จากความถี่ของเสียงและรูปแบบที่ปรากฏบ่อย ในการศึกษานี้ นักวิจัยใช้ วิธีการติดตามการทำงานของสมองโดยใช้ EEG (Electroencephalography) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าในสมองของทารกระหว่างที่ฟังเสียงดนตรีหรือเสียงที่มีจังหวะต่าง ๆ โดยเฉพาะเสียงที่มีการแทรกความผิดปกติของจังหวะอย่างตั้งใจ เช่น เสียงที่มาเร็วเกินไปหรือช้ากว่าปกติ การที่สมองของทารกแสดงสัญญาณตอบสนองต่อจังหวะที่ผิดปกติอย่างชัดเจน แสดงให้เห็นว่า ทารกสามารถตรวจจับรูปแบบของจังหวะได้โดยไม่จำเป็นต้องมีการเรียนรู้ล่วงหน้า หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นความสามารถที่มีมาแต่กำเนิด (innate ability) ไม่ได้เกิดจากการจำความถี่ของเสียง (statistical learning) การใช้ EEG จึงเป็นวิธีที่มีความแม่นยำและชัดเจนที่สุดในการแยกแยะระหว่างการรับรู้จังหวะโดยธรรมชาติกับการเรียนรู้ทางสถิติ เพราะสามารถจับการตอบสนองของสมองที่เกิดขึ้นทันทีโดยไม่ต้องอาศัยพฤติกรรมที่สังเกตได้จากภายนอก ซึ่งเหมาะกับการศึกษาทารกที่ยังไม่สามารถพูดหรือแสดงพฤติกรรมตอบสนองที่ชัดเจนได้ ด้วยเหตุนี้ จึงสรุปได้ว่า การติดตามการทำงานของสมองโดยใช้ EEG ระหว่างการกระตุ้นทางการได้ยิน เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดและได้รับการใช้อย่างแพร่หลายในงานวิจัยที่ต้องการพิสูจน์ว่า ทารกแรกเกิดสามารถรับรู้จังหวะได้ตั้งแต่กำเนิด โดยไม่ต้องอาศัยประสบการณ์หรือการเรียนรู้
|
ในการศึกษาความสามารถของทารกแรกเกิดในการรับรู้จังหวะ นักวิจัยได้พัฒนาวิธีการทดลองเพื่อแยกแยะว่า ความสามารถนี้เกิดจากการเรียนรู้ทางสถิติของเสียง หรือเป็นความสามารถที่มีมาโดยกำเนิด (innate ability) หนึ่งในวิธีที่ใช้ได้อย่างแม่นยำคือ การติดตามการทำงานของสมองด้วยคลื่นไฟฟ้าสมอง หรือ EEG (Electroencephalography) ซึ่งสามารถตรวจจับสัญญาณทางประสาทที่เกิดขึ้นในสมองขณะทารกรับฟังเสียงที่มีรูปแบบจังหวะต่างกัน
แนวคิดพื้นฐานของการวิจัยนี้อ้างอิงจาก ทฤษฎีการคาดการณ์ของสมอง (Predictive Coding Theory) ซึ่งอธิบายว่าสมองของมนุษย์มีความสามารถในการคาดการณ์ล่วงหน้าว่าเสียงถัดไปจะเกิดขึ้นเมื่อใด หากรูปแบบของเสียงเป็นจังหวะที่สม่ำเสมอ สมองจะสร้างแบบจำลองไว้ล่วงหน้า เมื่อเสียงเกิดขึ้นผิดจังหวะ สมองจะตอบสนองทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถวัดได้ผ่าน EEG โดยไม่ต้องอาศัยพฤติกรรมภายนอกของทารก
หนึ่งในงานวิจัยสำคัญที่ใช้วิธีนี้คือของ Winkler และคณะ (2009) ซึ่งพบว่า แม้ทารกแรกเกิดที่อายุเพียงไม่กี่วัน ยังไม่มีประสบการณ์ฟังดนตรีหรือภาษา ก็สามารถแสดงคลื่นสมองตอบสนองต่อจังหวะที่ผิดปกติได้อย่างชัดเจน แสดงให้เห็นว่า ทารกมีความสามารถในการรับรู้จังหวะโดยไม่ต้องอาศัยการเรียนรู้จากความถี่ของเสียงหรือประสบการณ์ ซึ่งแตกต่างจากกระบวนการเรียนรู้ทางสถิติที่ต้องอาศัยการฟังเสียงซ้ำบ่อย ๆ เพื่อจดจำรูปแบบ
อีกทฤษฎีหนึ่งที่เกี่ยวข้องคือ ทฤษฎีการให้ความสนใจแบบพลวัต (Dynamic Attending Theory) ซึ่งเสนอว่า มนุษย์มีระบบความสนใจภายในที่สามารถประสานกับจังหวะภายนอกได้โดยอัตโนมัติ สมองจะปรับเวลาในการคาดหวังให้ตรงกับจังหวะที่ได้ยิน ซึ่งช่วยให้สามารถรับรู้เสียงที่สม่ำเสมอได้แม้ในวัยแรกเกิด
จากทฤษฎีและงานวิจัยเหล่านี้ จึงสรุปได้ว่า การใช้ EEG เพื่อติดตามการตอบสนองของสมองต่อเสียงที่มีจังหวะ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการแยกแยะว่า การรับรู้จังหวะในทารกไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ทางสถิติ แต่เป็นความสามารถที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แสดงถึงบทบาทสำคัญของโครงสร้างสมองในการรับรู้เสียงตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของชีวิต.
ในการศึกษาความสามารถของทารกแรกเกิดในการรับรู้จังหวะ นักวิจัยได้พัฒนาวิธีการทดลองเพื่อแยกแยะว่า ความสามารถนี้เกิดจากการเรียนรู้ทางสถิติของเสียง หรือเป็นความสามารถที่มีมาโดยกำเนิด (innate ability) หนึ่งในวิธีที่ใช้ได้อย่างแม่นยำคือ การติดตามการทำงานของสมองด้วยคลื่นไฟฟ้าสมอง หรือ EEG (Electroencephalography) ซึ่งสามารถตรวจจับสัญญาณทางประสาทที่เกิดขึ้นในสมองขณะทารกรับฟังเสียงที่มีรูปแบบจังหวะต่างกัน
แนวคิดพื้นฐานของการวิจัยนี้อ้างอิงจาก ทฤษฎีการคาดการณ์ของสมอง (Predictive Coding Theory) ซึ่งอธิบายว่าสมองของมนุษย์มีความสามารถในการคาดการณ์ล่วงหน้าว่าเสียงถัดไปจะเกิดขึ้นเมื่อใด หากรูปแบบของเสียงเป็นจังหวะที่สม่ำเสมอ สมองจะสร้างแบบจำลองไว้ล่วงหน้า เมื่อเสียงเกิดขึ้นผิดจังหวะ สมองจะตอบสนองทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถวัดได้ผ่าน EEG โดยไม่ต้องอาศัยพฤติกรรมภายนอกของทารก
หนึ่งในงานวิจัยสำคัญที่ใช้วิธีนี้คือของ Winkler และคณะ (2009) ซึ่งพบว่า แม้ทารกแรกเกิดที่อายุเพียงไม่กี่วัน ยังไม่มีประสบการณ์ฟังดนตรีหรือภาษา ก็สามารถแสดงคลื่นสมองตอบสนองต่อจังหวะที่ผิดปกติได้อย่างชัดเจน แสดงให้เห็นว่า ทารกมีความสามารถในการรับรู้จังหวะโดยไม่ต้องอาศัยการเรียนรู้จากความถี่ของเสียงหรือประสบการณ์ ซึ่งแตกต่างจากกระบวนการเรียนรู้ทางสถิติที่ต้องอาศัยการฟังเสียงซ้ำบ่อย ๆ เพื่อจดจำรูปแบบ
อีกทฤษฎีหนึ่งที่เกี่ยวข้องคือ ทฤษฎีการให้ความสนใจแบบพลวัต (Dynamic Attending Theory) ซึ่งเสนอว่า มนุษย์มีระบบความสนใจภายในที่สามารถประสานกับจังหวะภายนอกได้โดยอัตโนมัติ สมองจะปรับเวลาในการคาดหวังให้ตรงกับจังหวะที่ได้ยิน ซึ่งช่วยให้สามารถรับรู้เสียงที่สม่ำเสมอได้แม้ในวัยแรกเกิด
จากทฤษฎีและงานวิจัยเหล่านี้ จึงสรุปได้ว่า การใช้ EEG เพื่อติดตามการตอบสนองของสมองต่อเสียงที่มีจังหวะ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการแยกแยะว่า การรับรู้จังหวะในทารกไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ทางสถิติ แต่เป็นความสามารถที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แสดงถึงบทบาทสำคัญของโครงสร้างสมองในการรับรู้เสียงตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของชีวิต.
ในการศึกษาความสามารถของทารกแรกเกิดในการรับรู้จังหวะ นักวิจัยได้พัฒนาวิธีการทดลองเพื่อแยกแยะว่า ความสามารถนี้เกิดจากการเรียนรู้ทางสถิติของเสียง หรือเป็นความสามารถที่มีมาโดยกำเนิด (innate ability) หนึ่งในวิธีที่ใช้ได้อย่างแม่นยำคือ การติดตามการทำงานของสมองด้วยคลื่นไฟฟ้าสมอง หรือ EEG (Electroencephalography) ซึ่งสามารถตรวจจับสัญญาณทางประสาทที่เกิดขึ้นในสมองขณะทารกรับฟังเสียงที่มีรูปแบบจังหวะต่างกัน แนวคิดพื้นฐานของการวิจัยนี้อ้างอิงจาก ทฤษฎีการคาดการณ์ของสมอง (Predictive Coding Theory) ซึ่งอธิบายว่าสมองของมนุษย์มีความสามารถในการคาดการณ์ล่วงหน้าว่าเสียงถัดไปจะเกิดขึ้นเมื่อใด หากรูปแบบของเสียงเป็นจังหวะที่สม่ำเสมอ สมองจะสร้างแบบจำลองไว้ล่วงหน้า เมื่อเสียงเกิดขึ้นผิดจังหวะ สมองจะตอบสนองทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถวัดได้ผ่าน EEG โดยไม่ต้องอาศัยพฤติกรรมภายนอกของทารก หนึ่งในงานวิจัยสำคัญที่ใช้วิธีนี้คือของ Winkler และคณะ (2009) ซึ่งพบว่า แม้ทารกแรกเกิดที่อายุเพียงไม่กี่วัน ยังไม่มีประสบการณ์ฟังดนตรีหรือภาษา ก็สามารถแสดงคลื่นสมองตอบสนองต่อจังหวะที่ผิดปกติได้อย่างชัดเจน แสดงให้เห็นว่า ทารกมีความสามารถในการรับรู้จังหวะโดยไม่ต้องอาศัยการเรียนรู้จากความถี่ของเสียงหรือประสบการณ์ ซึ่งแตกต่างจากกระบวนการเรียนรู้ทางสถิติที่ต้องอาศัยการฟังเสียงซ้ำบ่อย ๆ เพื่อจดจำรูปแบบ อีกทฤษฎีหนึ่งที่เกี่ยวข้องคือ ทฤษฎีการให้ความสนใจแบบพลวัต (Dynamic Attending Theory) ซึ่งเสนอว่า มนุษย์มีระบบความสนใจภายในที่สามารถประสานกับจังหวะภายนอกได้โดยอัตโนมัติ สมองจะปรับเวลาในการคาดหวังให้ตรงกับจังหวะที่ได้ยิน ซึ่งช่วยให้สามารถรับรู้เสียงที่สม่ำเสมอได้แม้ในวัยแรกเกิด จากทฤษฎีและงานวิจัยเหล่านี้ จึงสรุปได้ว่า การใช้ EEG เพื่อติดตามการตอบสนองของสมองต่อเสียงที่มีจังหวะ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการแยกแยะว่า การรับรู้จังหวะในทารกไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ทางสถิติ แต่เป็นความสามารถที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แสดงถึงบทบาทสำคัญของโครงสร้างสมองในการรับรู้เสียงตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของชีวิต
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
3 |
การตอบสนองที่ไม่ตรงกัน (MMR) ในการศึกษา EEG บ่งชี้อะไรเกี่ยวกับการประมวลผลการได้ยินของทารกแรกเกิด
|
ความไวต่อการละเมิดความสม่ำเสมอในลำดับเสียง |
|
การตอบสนองที่ไม่ตรงกัน (Mismatch Response: MMR หรือ Mismatch Negativity: MMN) เป็นสัญญาณทางไฟฟ้าในสมองที่ตรวจพบได้ด้วย EEG ซึ่งแสดงออกเมื่อสมองของทารกตรวจพบว่า เสียงที่ได้ยินไม่สอดคล้องกับรูปแบบที่ได้ยินมาก่อน ตัวอย่างเช่น ถ้าได้ยินเสียง "บี๊บ บี๊บ บี๊บ บู้บ" เสียงสุดท้ายจะกระตุ้นคลื่น MMN เพราะ "บู้บ" ผิดไปจากเสียงที่สมองคาดหวังไว้ ในทารกแรกเกิด การเกิด MMN เป็นสัญญาณว่าพวกเขาสามารถ ตรวจจับการละเมิดจังหวะ ความสูงของเสียง หรือรูปแบบทางเสียง ได้แม้ยังไม่สามารถพูดหรือแสดงพฤติกรรมตอบสนองใด ๆ ได้ ซึ่งหมายถึงการ รับรู้และประมวลผลการได้ยินในระดับอัตโนมัติ
|
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องคือ Predictive Coding Theory ซึ่งเสนอว่าสมองทำงานโดยคาดเดา (predict) สิ่งที่จะเกิดขึ้นในลำดับถัดไปจากรูปแบบที่เคยได้ยินมาก่อน และ MMN เกิดขึ้นเมื่อสิ่งที่ได้ยิน ผิดจากความคาดหวังของสมอง อ้างอิงงานวิจัย
Winkler, I., & Kushnerenko, E. (2009). Newborn infants detect the beat in music. PNAS, 106(7), 2468–2471.
Näätänen, R., Paavilainen, P., Rinne, T., & Alho, K. (2007). The mismatch negativity (MMN) in basic research of central auditory processing: A review. Clinical Neurophysiology.
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
4 |
คำว่า "การเรียนรู้ทางสถิติ (Statistical Learning)" หมายถึงอะไรในบริบทของการประมวลผลการได้ยินในทารกแรกเกิด?
|
การจดจำความถี่และระยะเวลาของเสียง |
|
“การเรียนรู้ทางสถิติ (Statistical Learning)” หมายถึงกระบวนการที่สมองของทารกสามารถ ตรวจจับรูปแบบที่เกิดซ้ำในสิ่งเร้าทางการได้ยิน เช่น เสียงบางชนิดมักจะเกิดขึ้นบ่อยกว่าเสียงอื่น หรือมักจะตามหลังเสียงอื่นเป็นประจำ โดยไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งสอนหรือการตอบรับอย่างชัดเจนจากทารก ตัวอย่างเช่น ถ้าทารกได้ยินเสียง "ba da ba da ba da", สมองจะเริ่มคาดการณ์ว่าหลัง "ba" มักจะเป็น "da" ได้ โดยอาศัยความถี่ (frequency) และระยะเวลา (duration) ของเสียงที่ได้ยินเป็นประจำ
|
แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากทฤษฎี Statistical Learning Theory ที่อธิบายว่าสมองของมนุษย์สามารถเรียนรู้ได้จาก ความถี่ของการเกิดร่วมกันของเสียง (transitional probabilities) โดยไม่ต้องอาศัยการเสริมแรงหรือคำสั่งจากภายนอก
อ้างอิงงานวิจัย: Saffran, J. R., Aslin, R. N., & Newport, E. L. (1996). Statistical learning by 8-month-old infants. Science, 274(5294), 1926–1928.Thiessen, E. D., & Saffran, J. R. (2003). When cues collide: Use of statistical and stress cues to word boundaries by 7- to 9-month-old infants. Developmental Psychology, 39(4), 706–716.
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
5 |
สภาวะใดในการศึกษา EEG ไม่ได้ส่งผลให้เกิดความแตกต่างระหว่างการตอบสนองแบบจังหวะและการตอบสนองที่ผิดปกติในทารกแรกเกิด
|
สภาพกระวนกระวายใจ |
|
ในการศึกษา EEG เพื่อวัดการตอบสนองต่อจังหวะและเสียงผิดปกติในทารกแรกเกิด สภาวะต่างๆ เช่น ภาวะไอโซโครนัส (เสียงจังหวะสม่ำเสมอ) สภาพความเงียบ หรือสภาพไพเราะ (melodic condition) สามารถกระตุ้นให้เกิดความแตกต่างของการตอบสนองในสมองได้อย่างชัดเจน แต่ในขณะที่ทารกอยู่ในสภาพกระวนกระวายใจ สมองจะมีการประมวลผลเสียงที่ไม่เสถียร ทำให้ไม่เกิดความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างการตอบสนองแบบจังหวะและเสียงผิดปกติ เพราะสภาวะนี้ส่งผลกระทบต่อการประมวลผลเสียงในสมอง ทำให้สัญญาณ EEG มีความผันผวน
|
การประมวลผลเสียงในสมองต้องการสภาวะสมาธิและการตอบสนองทางประสาทที่เสถียร การวิจัย EEG แสดงว่าสภาวะทางอารมณ์และจิตใจเช่นความเครียดหรือความกระวนกระวาย สามารถลดความไวในการตรวจจับความผิดปกติของเสียง (Näätänen et al., 2007)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
6 |
กลไกทางประสาทใดที่คิดว่ารองรับการเคลื่อนไหวให้ตรงกันกับจังหวะ
|
การเปิดใช้งานกระจกเซลล์ประสาท |
|
กลไกประสาทที่ช่วยให้การเคลื่อนไหวสอดคล้องกับจังหวะเสียงเชื่อมโยงกับระบบเซลล์ประสาทกระจก (mirror neurons) ซึ่งจะทำงานเมื่อเราสังเกตหรือเคลื่อนไหวตามจังหวะ ทำให้เกิดการประสานกันระหว่างการได้ยินและการเคลื่อนไหว จึงช่วยให้การเคลื่อนไหวสอดคล้องกับจังหวะเพลงหรือเสียงที่ได้ยิน
|
งานวิจัยชี้ว่าเซลล์ประสาทกระจกมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงการรับรู้เสียงกับการเคลื่อนไหว (Rizzolatti & Craighero, 2004; Patel et al., 2008)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
7 |
การรับรู้จังหวะในทารกแรกเกิดสัมพันธ์กับความสามารถทางดนตรีในภายหลังอย่างไร
|
เป็นพื้นฐานในการพัฒนาการประสานงานจังหวะและเวลา |
|
การรับรู้จังหวะตั้งแต่วัยทารกเป็นตัวชี้วัดความสามารถทางดนตรีในระยะยาว โดยเฉพาะการประสานงานระหว่างการได้ยินและการเคลื่อนไหว (sensorimotor synchronization) ซึ่งสำคัญต่อการเรียนรู้การเล่นดนตรี และการควบคุมจังหวะในกิจกรรมต่างๆ
|
การศึกษาทางพัฒนาการชี้ว่าการรับรู้จังหวะตั้งแต่เด็กเล็กสัมพันธ์กับทักษะดนตรีและการเคลื่อนไหวในอนาคต (Zentner & Eerola, 2010)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
8 |
ภาวะที่ไม่ต่อเนื่องในการศึกษาทางการได้ยินมักเกี่ยวข้องกับอะไร?
|
ช่วงเวลาสุ่มระหว่างเสียง |
|
ภาวะที่ไม่ต่อเนื่อง (irregularity) ในการได้ยินมักเกิดจากการที่ระยะเวลาระหว่างเสียงมีความไม่แน่นอนหรือสุ่ม ซึ่งส่งผลต่อการรับรู้จังหวะและความสม่ำเสมอของเสียง ในงานวิจัย EEG พบว่าการเปลี่ยนแปลงแบบสุ่มนี้ทำให้สมองมีการตอบสนองที่แตกต่างจากเสียงที่มีจังหวะสม่ำเสมอ
|
หลักการทางดนตรีและจิตวิทยาการรับรู้เสียงชี้ว่า ความไม่แน่นอนในช่วงเวลาระหว่างเสียงมีผลต่อการรับรู้จังหวะ (Large & Jones, 1999)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
9 |
จุดประสงค์หลักของการใช้ EEG ในการศึกษาการประมวลผลการได้ยินในทารกแรกเกิดคืออะไร
|
บันทึกการตอบสนองของสมองต่อเสียง |
|
EEG ใช้วัดสัญญาณไฟฟ้าที่สมองสร้างขึ้นเมื่อได้รับเสียงหรือสิ่งเร้าทางเสียง เพื่อวิเคราะห์ว่า สมองตอบสนองอย่างไรต่อจังหวะหรือความผิดปกติของเสียงโดยไม่ต้องพึ่งพาการแสดงพฤติกรรมจากทารกที่ยังพูดไม่ได้
|
EEG เป็นเครื่องมือสำคัญในการศึกษาการประมวลผลเสียงและการรับรู้ของสมองในทารก (Winkler et al., 2009)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
10 |
คุณลักษณะการได้ยินใดที่ไม่ได้รับการศึกษาโดยตรงในการวิจัยการประมวลผลการได้ยินของทารกแรกเกิด
|
ความเข้าใจภาษา |
|
งานวิจัยการประมวลผลการได้ยินของทารกแรกเกิดมักเน้นศึกษาความสามารถพื้นฐาน เช่น การรับรู้จังหวะ การเรียนรู้ทางสถิติ หรือการจดจำทำนอง แต่ยังไม่ได้ศึกษาโดยตรงถึงความเข้าใจภาษาที่เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและพัฒนาขึ้นในระยะเวลาหลังจากทารกเติบโตมากขึ้น
|
ความเข้าใจภาษาเกี่ยวข้องกับกระบวนการพัฒนาภาษาที่ซับซ้อนและต้องอาศัยประสบการณ์มากกว่าการรับรู้เสียงพื้นฐาน (Kuhl, 2004)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
11 |
คำใดที่ใช้อธิบายลักษณะที่ปรากฏของความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ซึ่งใช้ในการตลาดการบำบัดด้วยเซลล์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์
|
สัญลักษณ์แห่งความชอบธรรมทางวิทยาศาสตร์ |
|
สัญลักษณ์แห่งความชอบธรรมทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Legitimacy) หมายถึงเครื่องหมายหรือคำอธิบายที่ทำให้ผลิตภัณฑ์หรือการรักษาดูเหมือนว่ามีความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ แม้ในบางกรณีอาจไม่มีหลักฐานรองรับจริง มักถูกใช้ในการตลาดเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค
|
แนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์การสื่อสารทางวิทยาศาสตร์และการตลาดที่มุ่งเน้นการสร้างความน่าเชื่อถือแบบเทียม (Müller, 2016)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
12 |
จากบทความ ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่กลไกการรายงานที่ได้รับการยอมรับสำหรับผลข้างเคียงจากการบำบัดด้วยเซลล์และยีน
|
หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค |
|
หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคไม่ใช่กลไกรายงานผลข้างเคียงที่ได้รับการยอมรับโดยตรงสำหรับการบำบัดด้วยเซลล์และยีน ต่างจาก ClinicalTrials.gov, MedWatch, EudraVigilance และพอร์ทัลของ TGA ซึ่งเป็นระบบรายงานที่หน่วยงานกำกับดูแลใช้ตรวจสอบความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์
|
ระบบรายงานผลข้างเคียงที่ได้รับการยอมรับจะต้องเป็นระบบที่กำกับดูแลโดยหน่วยงานรัฐหรือองค์กรที่ได้รับอนุญาต (FDA, EMA) (Alonso et al., 2019)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
13 |
การพิจารณาด้านจริยธรรมประการใดที่ถูกท้าทายโดยการตลาดโดยตรงสู่ผู้บริโภคสำหรับการบำบัดด้วยเซลล์และยีนที่ไม่ได้รับการพิสูจน์
|
กระบวนการแจ้งความยินยอม |
|
การตลาดโดยตรงถึงผู้บริโภค (Direct-to-Consumer Marketing) ของการบำบัดด้วยเซลล์และยีนที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ มักละเลยหรือท้าทายกระบวนการแจ้งความยินยอมที่ชัดเจนและครบถ้วน ซึ่งเป็นหลักจริยธรรมสำคัญในการรักษาทางการแพทย์
|
หลักจริยธรรมทางการแพทย์เน้นความสำคัญของการแจ้งความยินยอมอย่างชัดเจน (Beauchamp & Childress, 2013)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
14 |
คุณลักษณะหลักใดที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการพิสูจน์ตามมาตรฐานกฎระเบียบ
|
การอนุญาตก่อนการตลาดโดยหน่วยงานกำกับดูแล |
|
ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ได้รับการพิสูจน์และแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการพิสูจน์โดยมาตรฐาน จะต้องได้รับการอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแล (เช่น FDA, EMA) ก่อนที่จะวางตลาดเพื่อรับรองความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
|
มาตรฐานกฎระเบียบทางการแพทย์ระบุความจำเป็นของการทดสอบและอนุญาตก่อนการวางจำหน่าย (FDA, 2020)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
15 |
ข้อใดต่อไปนี้เป็นความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ซึ่งเน้นไว้ในบทความ
|
ศักยภาพของความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ร้ายแรง |
|
ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์มักมีความเสี่ยงสูงต่อผลข้างเคียงที่ร้ายแรงเนื่องจากขาดข้อมูลและการควบคุมที่เหมาะสม ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยได้
|
งานวิจัยเน้นความเสี่ยงของการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ขาดการทดสอบอย่างเพียงพอ (Lalu et al., 2017)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
16 |
ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ลักษณะทั่วไปของผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ตามที่กล่าวไว้ในบทความ
|
การอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่สำคัญ |
|
ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์มักขาดการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่สำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองและพิสูจน์แล้ว
|
การอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลเป็นหลักประกันความปลอดภัยและประสิทธิภาพ (EMA, FDA Guidance)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
17 |
หน่วยงานกำกับดูแล เช่น FDA และ EMA จะรับรองความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ CGT ได้อย่างไร
|
โดยต้องมีการทดลองทางคลินิกก่อนการตลาดอย่างเข้มงวด |
|
หน่วยงานกำกับดูแล เช่น FDA และ EMA ต้องการให้มีการทดลองทางคลินิกอย่างเข้มงวดและเป็นอิสระ เพื่อประเมินความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ CGT ก่อนอนุญาตให้วางจำหน่าย
|
กระบวนการอนุมัติทางคลินิกเป็นมาตรฐานสากล (ICH Guidelines, FDA Regulatory Guidance)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
18 |
เป้าหมายหลักของ ISCT ในด้านการบำบัดด้วยเซลล์และยีนตามที่กล่าวไว้ในบทความคืออะไร
|
เพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์และต่อต้านผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการพิสูจน์ |
|
ISCT มุ่งเน้นส่งเสริมการใช้การบำบัดด้วยเซลล์และยีนที่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์รองรับและต่อสู้กับผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์
|
พันธกิจของ ISCT ในการส่งเสริมมาตรฐานวิทยาศาสตร์ (ISCT Official Statements)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
19 |
อะไรคือผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นสำหรับผู้ป่วยที่ใช้ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์?
|
ความเสี่ยงต่อผลกระทบร้ายแรง |
|
ผู้ป่วยที่ใช้ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์อาจเผชิญกับความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ร้ายแรง รวมถึงผลข้างเคียงที่ไม่คาดคิดเนื่องจากขาดข้อมูลและการทดสอบอย่างเพียงพอ
|
รายงานจากองค์การอนามัยโลกและงานวิจัยด้านความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ (WHO, 2019)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
20 |
ISCT มีบทบาทอย่างไรในบริบทของการบำบัดเซลล์และยีน
|
ต่อต้านการค้าขายก่อนกำหนดของการรักษาที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ |
|
ISCT มีบทบาทในการเฝ้าระวังและต่อต้านการตลาดและการจำหน่ายการบำบัดด้วยเซลล์และยีนที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์หรืออนุมัติ เพื่อปกป้องผู้ป่วยและรักษามาตรฐานทางวิทยาศาสตร์
|
แนวทางและจริยธรรมขององค์กร ISCT ในการส่งเสริมความปลอดภัยของผู้ป่วย (ISCT Position Papers)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|