1 |
ข้อใดต่อไปนี้อธิบายแนวคิด การรับรู้จังหวะ (Beat Perception) ได้ดีที่สุดเนื่องจากเกี่ยวข้องกับความสามารถในการได้ยินของทารกแรกเกิด
|
การแยกจังหวะที่สม่ำเสมอจากลำดับเสียง |
|
การรับรู้จังหวะ คือ ความสามารถในการตรวจจับ “จังหวะที่สม่ำเสมอ” จากลำดับของเสียงที่ได้ยิน
|
งานวิจัยด้านพัฒนาการของทารกแสดงว่า แม้ทารกแรกเกิดก็สามารถแยกแยะจังหวะซ้ำ ๆ ได้ (Winkler et al., 2009)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
2 |
จากการวิจัย ทารกแรกเกิดใช้วิธีทดลองตามข้อใดในการแยกแยะการรับรู้จังหวะจากการเรียนรู้ทางสถิติในทารกแรกเกิด
|
การติดตามการทำงานของสมองโดยใช้ EEG ในระหว่างการกระตุ้นการได้ยิน |
|
ทารกสามารถแยกแยะ “จังหวะที่สม่ำเสมอ” มักใช้ EEG (Electroencephalography) เพื่อวัด กิจกรรมทางสมอง ระหว่างที่นำเสนอเสียงที่มีจังหวะสม่ำเสมอและเสียงที่ผิดจังหวะ
|
Winkler et al., 2009 ใช้ EEG กับทารกแรกเกิดเพื่อแสดงว่า ทารกสามารถรับรู้จังหวะได้ แยกจากการเรียนรู้ทางสถิติของลำดับเสียง
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
3 |
การตอบสนองที่ไม่ตรงกัน (MMR) ในการศึกษา EEG บ่งชี้อะไรเกี่ยวกับการประมวลผลการได้ยินของทารกแรกเกิด
|
ความไวต่อการละเมิดความสม่ำเสมอในลำดับเสียง |
|
ศึกษาทารกแรกเกิด โดยใช้ EEG, หากตรวจพบ MMR แสดงว่า สมองของทารกสามารถตรวจจับการละเมิดรูปแบบเสียงที่สม่ำเสมอได้ เช่น จังหวะที่ผิดไป, เสียงที่เปลี่ยนไปในลำดับที่ควรจะเหมือนเดิม
|
Winkler et al., 2009 ใช้ EEG กับทารกแรกเกิดเพื่อแสดงว่า ทารกสามารถรับรู้จังหวะได้ แยกจากการเรียนรู้ทางสถิติของลำดับเสียง
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
4 |
คำว่า "การเรียนรู้ทางสถิติ (Statistical Learning)" หมายถึงอะไรในบริบทของการประมวลผลการได้ยินในทารกแรกเกิด?
|
เรียนรู้ที่จะทำนายเหตุการณ์ในอนาคตโดยอาศัยการวิเคราะห์ทางสถิติ |
|
ความสามารถของทารกในการ เรียนรู้รูปแบบซ้ำ ๆ ในเสียง จากสิ่งที่ได้ยิน
จะใช้รูปแบบเหล่านี้ในการ คาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
|
Infant Statistical Learning Review (Infant Statistical Learning, Annual Reviews)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
5 |
สภาวะใดในการศึกษา EEG ไม่ได้ส่งผลให้เกิดความแตกต่างระหว่างการตอบสนองแบบจังหวะและการตอบสนองที่ผิดปกติในทารกแรกเกิด
|
สภาพกระวนกระวายใจ |
|
ศึกษา EEG เกี่ยวกับ การรับรู้จังหวะ ในทารกแรกเกิดการเปรียบเทียบการตอบสนองสมอง มักจะทำภายใต้เงื่อนไขที่ควบคุมแล้ว แต่คำว่า “สภาพกระวนกระวายใจ” (restless condition) ไม่ใช่เงื่อนไขที่ใช้ในการควบคุมการศึกษาด้าน EEG เหล่านี้ และ ไม่มีผลโดยตรง
|
งานของ Háden et al. (2023) เปรียบเทียบ:
Isochronous (จังหวะคงที่)
Jittered (จังหวะสุ่ม)
โดยดูความแตกต่างของ EEG MMR เพื่อแยกความสามารถของทารกในการตรวจจับ beat-based vs statistical learning
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
6 |
กลไกทางประสาทใดที่คิดว่ารองรับการเคลื่อนไหวให้ตรงกันกับจังหวะ
|
การเปิดใช้งานกระจกเซลล์ประสาท |
|
ระบบเซลล์ประสาทกระจก
เป็นกลุ่มเซลล์ประสาทที่ ถูกกระตุ้นทั้งเมื่อเรากระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และเมื่อเราสังเกตเห็นคนอื่นกระทำสิ่งนั้นมีบทบาทใน:
การเลียนแบบ (imitation) การเรียนรู้โดยสังเกตการเคลื่อนไหวประสานกับสิ่งกระตุ้นจากภายนอก เช่น เสียงจังหวะดนตรี
|
Mirror Neuron Theoryแนวคิด ระบบ Mirror Neuron System (MNS) คือกลุ่มของเซลล์ประสาทที่ถูกกระตุ้นทั้งเมื่อเรากระทำ และเมื่อเราสังเกตผู้อื่นกระทำ
มีบทบาทสำคัญในการ จับคู่ระหว่างสิ่งเร้าทางเสียงกับการเคลื่อนไหว เชื่อมโยงกับการ "เคลื่อนไหวตามจังหวะ":
การได้ยินจังหวะ → กระตุ้น auditory cortex → ส่งสัญญาณต่อไปยัง motor/premotor areas → กระตุ้น mirror neurons → ทำให้ร่างกายขยับตามจังหวะโดยอัตโนมัติ
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
7 |
การรับรู้จังหวะในทารกแรกเกิดสัมพันธ์กับความสามารถทางดนตรีในภายหลังอย่างไร
|
เป็นพื้นฐานในการพัฒนาการประสานงานจังหวะและเวลา |
|
การรับรู้จังหวะ ในทารกแรกเกิด ถือเป็นกลไกเริ่มต้นที่สำคัญของ ความสามารถด้านการประสานงานทางเวลา ซึ่งเป็น พื้นฐานสำคัญของทักษะทางดนตรี
|
Winkler, I., Háden, G. P., Ladinig, O., Sziller, I., & Honing, H. (2009). Newborn infants detect the beat in music. PNAS. การที่ทารกสามารถจับ “จังหวะที่สม่ำเสมอ” ได้ตั้งแต่แรกเกิด เป็นการบ่งชี้ว่า สมองมีความไวต่อโครงสร้างของเสียง
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
8 |
ภาวะที่ไม่ต่อเนื่องในการศึกษาทางการได้ยินมักเกี่ยวข้องกับอะไร?
|
ช่วงเวลาสุ่มระหว่างเสียง |
|
ภาวะที่ไม่ต่อเนื่อง ในการศึกษาการได้ยิน โดยเฉพาะในการศึกษาการรับรู้จังหวะ , คำว่า “ภาวะที่ไม่ต่อเนื่อง” หรือ “” มักหมายถึง: ลำดับของเสียงที่ มีช่วงเวลาระหว่างเสียงแต่ละอันแตกต่างกันแบบสุ่ม ทำให้ไม่สามารถคาดเดาจังหวะสม่ำเสมอได้
|
Beat Induction Theory – Honing & Merchant (2014)
สมองมีระบบประมวลผลพิเศษสำหรับการตรวจจับจังหวะจากสัญญาณเสียงสม่ำเสมอ
แต่ ล้มเหลวในการสร้าง beat เมื่อเสียงถูกจัดวางแบบ ไม่สม่ำเสมอ
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
9 |
จุดประสงค์หลักของการใช้ EEG ในการศึกษาการประมวลผลการได้ยินในทารกแรกเกิดคืออะไร
|
บันทึกการตอบสนองของสมองต่อเสียง |
|
บันทึกคลื่นไฟฟ้าสมอง เพื่อตรวจสอบว่า สมองของทารกตอบสนองต่อสิ่งเร้าทางเสียงอย่างไร
โดยเฉพาะในบริบทของ “การประมวลผลการได้ยิน” และ “การรับรู้จังหวะ”
EEG ช่วยให้สามารถตรวจพบความเปลี่ยนแปลงทางไฟฟ้าของสมองแบบ real-time ได้แม้ในทารกที่ยังพูดหรือเคลื่อนไหวไม่ได้
|
Neural Entrainment and Predictive Coding
สมองของมนุษย์สามารถ “entrain” หรือประสานกับจังหวะของเสียง
ระบบสมองทำงานแบบ predictive คือคาดเดาเสียงถัดไปจากรูปแบบที่ได้รับ
EEG ช่วยวัดการเปลี่ยนแปลงในสมองเมื่อรูปแบบเสียง ผิดไปจากที่คาด ซึ่งบ่งชี้การเรียนรู้หรือรับรู้ของทารก
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
10 |
คุณลักษณะการได้ยินใดที่ไม่ได้รับการศึกษาโดยตรงในการวิจัยการประมวลผลการได้ยินของทารกแรกเกิด
|
ความเข้าใจภาษา |
|
“ความเข้าใจภาษา (Language comprehension)” เป็นความสามารถระดับสูง ซึ่งต้องอาศัยการพัฒนาทางสมองและภาษาร่วมกันในระดับที่ทารกแรกเกิด ยังไม่สามารถแสดงออกหรือประเมินได้โดยตรง
|
Háden et al. (2023): Beat processing in newborns cannot be explained by statistical learning alone.
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
11 |
คำใดที่ใช้อธิบายลักษณะที่ปรากฏของความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ซึ่งใช้ในการตลาดการบำบัดด้วยเซลล์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์
|
สัญลักษณ์แห่งความชอบธรรมทางวิทยาศาสตร์ |
|
สัญลักษณ์แห่งความชอบธรรมทางวิทยาศาสตร์”
หมายถึง การใช้ภาพลักษณ์ คำศัพท์ หรือสื่อที่ดูเหมือน “วิทยาศาสตร์” เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ในสิ่งที่ ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ อย่างแท้จริง
|
STS (Science and Technology Studies)
สาขานี้ศึกษาว่า ความน่าเชื่อถือของวิทยาศาสตร์ ถูกสร้างขึ้นในสังคมอย่างไร และวิธีที่ การตลาดและวาทกรรม สร้าง “ภาพลักษณ์ของวิทยาศาสตร์” แม้สิ่งนั้นจะยังไม่มีหลักฐานรองรับ
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
12 |
จากบทความ ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่กลไกการรายงานที่ได้รับการยอมรับสำหรับผลข้างเคียงจากการบำบัดด้วยเซลล์และยีน
|
หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค |
|
สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค
→ มีหน้าที่ในการรับเรื่องร้องเรียนทั่วไป เช่น โฆษณาเกินจริง, ความไม่ปลอดภัยในการใช้ผลิตภัณฑ์
→ ไม่ใช่ช่องทางรายงานผลข้างเคียงทางชีวการแพทย์โดยตรง
|
TGA Safety Reporting: https://www.tga.gov.au/reporting-problems
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
13 |
การพิจารณาด้านจริยธรรมประการใดที่ถูกท้าทายโดยการตลาดโดยตรงสู่ผู้บริโภคสำหรับการบำบัดด้วยเซลล์และยีนที่ไม่ได้รับการพิสูจน์
|
กระบวนการแจ้งความยินยอม |
|
การตลาดโดยตรงสู่ผู้บริโภค สำหรับการบำบัดด้วยเซลล์และยีนที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์
มีปัญหาจริยธรรมหลัก คือการ บิดเบือนข้อมูล หรือ นำเสนอข้อมูลไม่ครบถ้วนหรือเกินจริง ซึ่งส่งผลให้ผู้บริโภค:
เข้าใจผิดเกี่ยวกับความปลอดภัย ประสิทธิผล และสถานะทางกฎหมายของการบำบัด
|
Principles of Biomedical Ethics (Beauchamp & Childress)
หนึ่งใน 4 หลักจริยธรรมพื้นฐานคือ “Respect for Autonomy”
- การตัดสินใจของผู้ป่วยต้องอิงจาก ความเข้าใจที่ถูกต้อง (Informed Decision)
- ซึ่งการตลาด DTC อาจทำให้ผู้บริโภค เข้าใจผิด และละเมิดหลักนี้
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
14 |
คุณลักษณะหลักใดที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการพิสูจน์ตามมาตรฐานกฎระเบียบ
|
การอนุญาตก่อนการตลาดโดยหน่วยงานกำกับดูแล |
|
ผลิตภัณฑ์ Cell and Gene Therapy (CGT)” ที่ ผ่านการพิสูจน์ แล้วตามกฎหมาย
ต้อง ได้รับการประเมินโดยหน่วยงานกำกับดูแล
|
Regulatory Science Framework
หน่วยงานอย่าง FDA ใช้ Benefit-Risk Framework ในการประเมิน CGT:
ต้องมีข้อมูลจาก Phase 1–3 Clinical Trials
มี Post-marketing surveillance (Phase 4) ติดตามผลหลังจำหน่าย
มีมาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
15 |
ข้อใดต่อไปนี้เป็นความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ซึ่งเน้นไว้ในบทความ
|
ศักยภาพของความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ร้ายแรง |
|
บทความและงานวิจัยเกี่ยวกับ CGT (Cell and Gene Therapy) ที่ ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์หรือไม่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลเน้นย้ำถึง "ความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ร้ายแรง" ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ เช่น: ติดเชื้อ จากกระบวนการที่ไม่ปลอดเชื้อภูมิคุ้มกันตอบสนองรุนแรง เช่น การกระตุ้น cytokine storm เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์ (Insertional Mutagenesis) ซึ่งอาจนำไปสู่ มะเร็ง การปลูกถ่าย เซลล์ต้นกำเนิดที่ไม่บริสุทธิ์ อาจมีผลกระทบต่ออวัยวะอื่น
|
หลักการจาก World Health Organization (WHO) และ International Society for Cell & Gene Therapy (ISCT)
เน้นว่า:“การใช้ CGT โดยไม่มีหลักฐานการทดลองและการอนุมัติจากหน่วยงาน มีความเสี่ยงร้ายแรงต่อสุขภาพผู้ป่วย”
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
16 |
ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ลักษณะทั่วไปของผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ตามที่กล่าวไว้ในบทความ
|
การอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่สำคัญ |
|
ทำไมจึง "ไม่ใช่ลักษณะทั่วไป" ของผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์? เพราะ “การอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล” เช่น: FDA (สหรัฐอเมริกา) EMA (สหภาพยุโรป) TGA (ออสเตรเลีย)
คือสิ่งที่ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ “ไม่มี” อย่างชัดเจน
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มัก เลี่ยงระบบกฎหมาย และใช้ช่องโหว่เพื่อวางขายได้อย่างผิดจริยธรรม
|
หลักจริยธรรมทางการแพทย์:
“Veracity” – หลักความจริงทางข้อมูล
การโฆษณาว่าผลิตภัณฑ์ผ่านการรับรอง ทั้งที่ไม่เป็นความจริง เป็นการละเมิดจริยธรรมและสร้างความเข้าใจผิดแก่ผู้ป่วย
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
17 |
หน่วยงานกำกับดูแล เช่น FDA และ EMA จะรับรองความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ CGT ได้อย่างไร
|
โดยต้องมีการทดลองทางคลินิกก่อนการตลาดอย่างเข้มงวด |
|
หน่วยงานกำกับดูแลอย่าง FDA (สหรัฐอเมริกา) และ EMA (ยุโรป) มีหน้าที่หลักในการ คุ้มครองสุขภาพประชาชน
โดยเฉพาะในกรณีของ Cell and Gene Therapy (CGT) ซึ่งมีความซับซ้อนสูงและความเสี่ยงที่อาจก่อผลถาวรต่อผู้ป่วย
จึงจำเป็นต้องผ่านกระบวนการทดสอบที่เข้มงวดมาก ก่อนจะอนุญาตให้เข้าสู่ตลาด
|
Regulatory Science Framework
เน้นเรื่อง "Evidence-based evaluation" – หน่วยงานกำกับดูแลต้องอาศัยหลักฐานทางคลินิกจากการศึกษาแบบควบคุม (RCT) เพื่อให้การตัดสินใจปลอดภัยที่สุด
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
18 |
เป้าหมายหลักของ ISCT ในด้านการบำบัดด้วยเซลล์และยีนตามที่กล่าวไว้ในบทความคืออะไร
|
เพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์และต่อต้านผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการพิสูจน์ |
|
SCT (International Society for Cell and Gene Therapy) คือองค์กรนานาชาติที่ทำงานเพื่อส่งเสริมการวิจัย พัฒนา และใช้ การบำบัดด้วยเซลล์และยีน (CGT) อย่าง ปลอดภัย มีจริยธรรม และอิงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
|
หลักจริยธรรมทางการแพทย์:
Non-maleficence: ห้ามก่ออันตรายแก่ผู้ป่วย
Autonomy: ผู้ป่วยต้องได้รับข้อมูลอย่างถูกต้องเพื่อการตัดสินใจ
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
19 |
อะไรคือผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นสำหรับผู้ป่วยที่ใช้ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์?
|
ความเสี่ยงต่อผลกระทบร้ายแรง |
|
การใช้ ผลิตภัณฑ์ Cell and Gene Therapy (CGT) ที่ ไม่ได้รับการพิสูจน์ ผ่านการทดลองและการรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแล เช่น FDA หรือ EMA
อาจส่งผลต่อผู้ป่วยอย่าง รุนแรง และ ไม่สามารถย้อนกลับได้
|
หลักการ “Do No Harm” (Non-Maleficence) ในจริยธรรมทางการแพทย์:
ห้ามก่อความเสียหายแก่ผู้ป่วยโดยไม่มีหลักฐานรองรับ
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
20 |
ISCT มีบทบาทอย่างไรในบริบทของการบำบัดเซลล์และยีน
|
ต่อต้านการค้าขายก่อนกำหนดของการรักษาที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ |
|
ISCT (International Society for Cell & Gene Therapy) ไม่ใช่หน่วยงานกำกับดูแลหรือองค์กรพัฒนาเชิงพาณิชย์ แต่เป็น องค์กรวิชาชีพระดับนานาชาติ ที่มีบทบาทหลักคือ:
ส่งเสริมจริยธรรมและความปลอดภัย ในการวิจัยและพัฒนา CGT โดย:สนับสนุนการใช้ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ (Evidence-based CGT) คัดค้านการตลาดหรือการจำหน่าย CGT ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์
ให้คำแนะนำเชิงจริยธรรมและวิชาการกับนักวิจัย แพทย์ และหน่วยงานกำกับดูแล
|
หลักการจริยธรรมทางการแพทย์
Non-maleficence: หลีกเลี่ยงการก่ออันตราย
Autonomy: ประชาชนต้องได้รับข้อมูลอย่างถูกต้องก่อนตัดสินใจ
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|