1 |
What type of learning is discussed in relation to newborn infants in the context of sound sequences?
|
Statistical learning |
|
Statistical Learning คือกระบวนการที่สมองสามารถตรวจจับรูปแบบหรือความถี่ของเหตุการณ์ต่าง ๆ จากสิ่งเร้าที่ได้รับอย่างต่อเนื่อง เช่น เสียง คำ หรือภาพ โดยไม่จำเป็นต้องมีการสอนโดยตรง
ในบริบทของทารกแรกเกิดและเสียงพูด งานวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นว่า:
• ทารกสามารถตรวจจับรูปแบบความถี่ของเสียง (เช่น ลำดับของพยางค์หรือคำ) ได้ตั้งแต่อายุไม่กี่เดือน
• ตัวอย่างเช่น หากทารกได้ยินลำดับของเสียงที่เกิดซ้ำอย่างสม่ำเสมอ (เช่น “ba–bi–ku” ซ้ำบ่อย ๆ) พวกเขาจะเริ่มรับรู้ว่าเสียงนั้นมีความสัมพันธ์กันและแยกออกจากเสียงอื่นที่ไม่เกิดซ้ำ
|
1. Saffran et al. (1996) – งานวิจัยคลาสสิกที่พบว่า ทารกอายุ 8 เดือนสามารถใช้ statistical learning เพื่อแยกคำจากกระแสคำพูดต่อเนื่องได้
2. Connectionist theories of learning – สนับสนุนแนวคิดที่ว่า สมองสามารถคำนวณความน่าจะเป็นร่วมของหน่วยเสียงต่าง ๆ ได้โดยไม่รู้ตัว
3. Implicit learning – เป็นพื้นฐานที่สำคัญของ statistical learning ซึ่งเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องมีการเสริมแรง (reinforcement)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
2 |
What experimental method was used to study the infants?
|
Behavioral observation |
|
เมื่อศึกษาการเรียนรู้ของทารกเกี่ยวกับลำดับของเสียง (เช่น ในการศึกษาเรื่อง Statistical Learning) นักวิจัยมักใช้ การสังเกตพฤติกรรม เพื่อวัดการรับรู้และการเรียนรู้ของทารก เนื่องจากพวกเขายังไม่สามารถพูดหรือให้ข้อมูลด้วยตนเองได้
ตัวอย่างพฤติกรรมที่ใช้ในการสังเกต ได้แก่:
• การจ้องมอง (looking time): วัดเวลาที่ทารกจ้องไปที่สิ่งเร้าใหม่กับสิ่งเร้าที่คุ้นเคย
• การหันศีรษะ (head-turn preference procedure): ดูว่าทารกหันศีรษะไปหาทิศทางของเสียงที่ได้ยินบ่อยหรือใหม่
• การดูดนม (high-amplitude sucking paradigm): วัดความแรงและความถี่ของการดูดเมื่อทารกได้ยินเสียงที่น่าสนใจหรือไม่คุ้นเคย
|
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
3 |
What was used to induce a beat in sound sequences during the study?
|
Isochronous timing |
|
Isochronous timing คือการทำให้เสียงต่าง ๆ ปรากฏในช่วงเวลาที่สม่ำเสมอกัน เช่น เสียงดังทุก 500 มิลลิวินาที ส่งผลให้สมองสามารถรู้สึกถึงจังหวะ (beat) ได้ชัดเจนแม้จะเป็นทารกแรกเกิด
การศึกษาว่าทารกสามารถรับรู้ “beat” หรือจังหวะของเสียงได้หรือไม่ นักวิจัยจึงใช้เสียงที่มี isochronous timing เป็นเครื่องมือกระตุ้นระบบประมวลผลเสียงของทารกให้รู้สึกถึงจังหวะโดยไม่ต้องอาศัยภาษา
|
1. Winkler et al. (2009) – งานวิจัยสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า ทารกแรกเกิดสามารถตรวจจับจังหวะได้ แม้จะยังไม่เคยมีประสบการณ์กับดนตรี โดยใช้เสียงกลองที่จัดตามช่วงเวลาเท่ากัน (isochronous drumbeats) เป็นเครื่องมือทดลอง
2. Beat Induction Theory – ทฤษฎีที่กล่าวว่ามนุษย์มีความสามารถโดยธรรมชาติในการแยกแยะจังหวะจากเสียงสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในรูปแบบที่เกิดขึ้นแบบ isochronous
3. Temporal Expectation Models – สมองสามารถสร้าง “ความคาดหวังทางเวลา” ได้หากเสียงเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แน่นอนและเท่ากัน
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
4 |
What is a key outcome of beat perception studies in newborns?
|
Presence of beat processing |
|
การศึกษาด้าน beat perception ในทารกแรกเกิดแสดงให้เห็นว่า ทารกสามารถตรวจจับและตอบสนองต่อรูปแบบจังหวะในเสียงได้ แม้จะยังไม่มีประสบการณ์ด้านภาษา หรือดนตรี นี่เป็นผลลัพธ์สำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงการมีอยู่ของกระบวนการรับรู้จังหวะในสมอง (beat processing) ตั้งแต่แรกเกิด
|
1. Winkler et al. (2009) – งานวิจัยชิ้นสำคัญที่ใช้ EEG ตรวจคลื่นสมองทารกแรกเกิด พบว่าทารกมี mismatch negativity (MMN) เมื่อได้ยินเสียงที่ไม่ตรงกับจังหวะที่คาดไว้ แสดงว่าสมองของทารกรับรู้และคาดการณ์จังหวะได้
2. Beat Induction Theory – สนับสนุนแนวคิดว่าความสามารถในการรับรู้จังหวะอาจเป็น ลักษณะโดยกำเนิด ของมนุษย์ เป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้ภาษาและดนตรีในภายหลัง
3. Predictive Coding Framework – สมองของทารกสามารถคาดการณ์ได้ว่าเสียงจะเกิดขึ้นเมื่อใด หากเสียงผิดไปจากแบบแผน สมองจะแสดงการตอบสนองผิดปกติ (เช่น MMN)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
5 |
What does the mismatch response (MMR) indicate in newborn infants?
|
Regularity violation detection |
|
Mismatch Response (MMR) หรือที่รู้จักในชื่อ Mismatch Negativity (MMN) ในการศึกษาทางระบบประสาท เป็นการตอบสนองของสมองที่เกิดขึ้น โดยอัตโนมัติ เมื่อสมองตรวจพบว่าเสียงที่ได้ยิน “ผิดไป” จากแบบแผนที่คุ้นเคยหรือคาดไว้ เช่น ถ้าได้ยินเสียง “บีบ-บีบ-บีบ” แล้วจู่ ๆ ได้ยิน “บูบ” สมองจะตอบสนองทันที
ในบริบทของทารกแรกเกิด MMR แสดงให้เห็นว่า สมองสามารถเรียนรู้รูปแบบ (statistical patterns) และตรวจจับเมื่อมีสิ่งใดผิดไปจากความสม่ำเสมอ → เป็นหลักฐานว่ามีระบบ “regularity detection” ตั้งแต่กำเนิด
|
1. Näätänen et al. (2007) – อธิบายว่า MMN เป็นดัชนีทางไฟฟ้าสมองที่แสดงว่าระบบการได้ยินสามารถรับรู้ ความคาดเคลื่อนจากแบบแผนเสียงที่เรียนรู้ ได้โดยไม่ต้องมีการใส่ใจ (pre-attentive)
2. Winkler et al. (2009) – ศึกษา beat perception ในทารกแรกเกิดโดยใช้ EEG พบ MMR เมื่อเสียงออกนอกจังหวะ → แสดงว่าทารกตรวจจับความผิดปกติในจังหวะได้
3. Predictive Coding Theory – สมองสร้างแบบจำลองของสิ่งเร้าที่คาดหวังไว้ และหากข้อมูลที่เข้ามาผิดจากที่คาดไว้ (prediction error) → จะเกิดสัญญาณ MMR
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
6 |
What aspect of the sound was manipulated to test beat perception separately from statistical learning?
|
Timing (isochronous vs jittered) |
|
เพื่อแยกแยะว่า การรับรู้จังหวะ (beat perception) เป็นความสามารถที่แยกออกจาก statistical learning (การเรียนรู้ความถี่ของลำดับเสียง), นักวิจัยได้ทดลอง ควบคุม “เวลา” หรือจังหวะการเกิดของเสียง ในสองลักษณะ:
1. Isochronous timing – เสียงเกิดขึ้นในช่วงเวลาคงที่ เช่น ทุก 600 มิลลิวินาที → ช่วยให้สมองสามารถรับรู้ “beat” ได้
2. Jittered timing – จังหวะของเสียงไม่สม่ำเสมอแบบสุ่มเล็กน้อย → ทำให้จับ beat ได้ยากหรือไม่ได้เลย แต่ยังคงไว้ซึ่งลำดับของเสียงเดิม (เพื่อให้ statistical learning ยังทำงานได้)
โดยการเปรียบเทียบระหว่างสองเงื่อนไขนี้ ทำให้นักวิจัยสามารถระบุได้ว่า ถ้าทารกมีการตอบสนองแตกต่างระหว่างเงื่อนไขสองแบบนี้ แสดงว่าเขาสามารถแยกแยะและรับรู้ “จังหวะ” ได้อย่างเป็นอิสระจากแค่การจำลำดับเสียง
|
1. Winkler et al. (2009) – ทดสอบทารกแรกเกิดโดยนำเสนอเสียงแบบ isochronous และ jittered พบว่าเฉพาะในเงื่อนไข isochronous เท่านั้นที่เกิด Mismatch Response (MMR) ต่อจังหวะที่ผิด → แสดงว่าการรับรู้จังหวะต้องอาศัยการจัดเวลาอย่างสม่ำเสมอ
2. Beat Induction Theory – ระบุว่า สมองสามารถ “จับจังหวะ” ได้ก็ต่อเมื่อสิ่งเร้ามีความสม่ำเสมอทางเวลาเท่านั้น ไม่ใช่แค่มีลำดับซ้ำบ่อย
3. การแยกระบบการเรียนรู้:
• Statistical learning อาศัยความถี่ของลำดับเสียง (เสียง A มักตามด้วยเสียง B)
• Beat perception อาศัยจังหวะของเวลา → การจัดเวลาเสียงเป็นปัจจัยสำคัญในการแยกสองระบบนี้ออกจากกัน
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
7 |
According to the study, why is the detection of a beat significant in newborns?
|
It indicates a foundational musical trait |
|
การที่ ทารกแรกเกิดสามารถตรวจจับจังหวะ (beat) ได้ตั้งแต่ช่วงอายุไม่กี่วัน แสดงว่า การรับรู้จังหวะเป็นความสามารถพื้นฐาน (innate) ที่ไม่ได้ต้องการประสบการณ์การเรียนรู้หรือการสอนมาก่อน → บ่งบอกถึง ลักษณะทางดนตรีโดยกำเนิดของมนุษย์ (foundational musical trait)
สิ่งนี้สำคัญเพราะ จังหวะ (rhythm) เป็นองค์ประกอบสำคัญของดนตรีและการสื่อสาร เช่น ภาษาและการเคลื่อนไหวแบบประสาน (synchronization) → การตรวจจับ beat ได้ตั้งแต่แรกเกิดจึงสะท้อนให้เห็นว่า สมองมนุษย์มีระบบที่ “เตรียมพร้อม” สำหรับการเรียนรู้ดนตรี
|
1. Winkler et al. (2009)
พบว่า ทารกแรกเกิดมีการตอบสนองทางสมองต่อความผิดปกติของจังหวะ (Mismatch Response) เมื่อได้ยินเสียงที่ไม่ตรงกับจังหวะที่ควรจะเป็น ซึ่งหมายความว่า ทารกสามารถจับจังหวะได้โดยไม่ต้องมีประสบการณ์ทางดนตรีมาก่อน
2. The Innate Musicality Hypothesis
ระบุว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมความสามารถในการประมวลผลดนตรีขั้นพื้นฐาน เช่น จังหวะและเสียงสูงต่ำ เป็นพื้นฐานที่พัฒนาต่อไปเป็นการสื่อสารผ่านภาษาและดนตรี
3. Beat Induction Theory (Honing, 2012)
ชี้ให้เห็นว่าความสามารถในการจับจังหวะเป็นลักษณะเฉพาะของมนุษย์ และเป็นพื้นฐานของการเต้น ร้องเพลง และการเรียนรู้การสื่อสารในเชิงเวลา
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
8 |
How does the article describe the relationship between statistical learning and beat processing in newborns?
|
Completely independent |
|
บทความระบุว่าในการศึกษาทารกแรกเกิด การเรียนรู้เชิงสถิติ (statistical learning) และ การรับรู้จังหวะ (beat processing) เป็นกระบวนการที่แยกจากกันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อมีการออกแบบการทดลองให้ควบคุมสองสิ่งนี้ให้เป็นอิสระจากกัน
นักวิจัยใช้เสียงในสองรูปแบบ:
• Isochronous timing: มีจังหวะคงที่ → ทั้ง statistical learning และ beat processing เกิดขึ้นได้
• Jittered timing: เวลาระหว่างเสียงเปลี่ยนไปแบบสุ่ม → statistical learning ยังคงเกิดได้ แต่ beat processing หยุดทำงาน
ผลลัพธ์: ทารกยังคงเรียนรู้ลำดับเสียงได้แม้ไม่มีจังหวะ → แสดงว่า statistical learning ไม่ต้องพึ่งพา beat
ในทางกลับกัน beat processing เกิดขึ้นได้เฉพาะเมื่อมีจังหวะคงที่ → ไม่ได้ขึ้นกับการจำลำดับเสียง
|
1. Winkler et al. (2009)
การทดลองนี้ชี้ชัดว่า การเรียนรู้เชิงสถิติ และ การรับรู้จังหวะ เป็น กระบวนการอิสระทางสมอง โดยใช้การจัดจังหวะแบบ isochronous และ jittered เป็นเครื่องมือแยกแยะ
2. Cognitive Neuroscience Models
แสดงว่า statistical learning เป็นการตรวจจับลำดับ/ความถี่ของสิ่งเร้า
ส่วน beat processing เป็นการประมวลผลด้านเวลา → ใช้ระบบประสาทต่างกัน
3. หลักฐาน EEG (Mismatch Response)
พบว่าเฉพาะเงื่อนไขที่มี isochronous timing เท่านั้นที่แสดง MMR ต่อ beat,
แต่ MMR ต่อการละเมิดลำดับ (statistical irregularity) ยังคงเกิดใน jittered timing → ยืนยันว่าทั้งสองระบบทำงานได้แยกกัน
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
9 |
Which physiological measure was primarily used to assess responses to sound sequences in the study?
|
Electroencephalography (EEG) |
|
• งานวิจัยที่ศึกษาการตอบสนองต่อ sound sequences (โดยเฉพาะความแตกต่างของโครงสร้างเสียง เช่น การตรวจจับความผิดปกติ หรือ mismatch negativity, MMN) มักจะใช้ EEG เป็นเครื่องมือหลัก
• เพราะ EEG สามารถบันทึกสัญญาณไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากการทำงานของสมองได้โดยตรงและมีความละเอียดด้านเวลา (temporal resolution) สูงมาก ซึ่งเหมาะกับการตรวจจับการตอบสนองที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วต่อสิ่งเร้าเสียงที่นำเสนอเป็นลำดับ
|
• หลักการตรวจจับการตอบสนองต่อ deviant sounds หรือสิ่งเร้าที่ไม่คาดคิดในลำดับเสียง อ้างอิงจากงานของ Näätänen et al. (1978, 2001) ที่พบว่า สมองจะเกิดศักย์ไฟฟ้าอัตโนมัติที่เรียกว่า Mismatch Negativity (MMN) ซึ่งตรวจวัดได้ด้วย EEG
• MMN แสดงให้เห็นว่าสมองของมนุษย์สามารถตรวจจับรูปแบบ (pattern) และความเบี่ยงเบนจากรูปแบบเหล่านั้นได้โดยไม่ต้องอาศัยความตั้งใจ (pre-attentive processing) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการศึกษาการเรียนรู้และการประมวลผลเสียง
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
10 |
What does the presence of a clear Mismatch Response (MMR) to beat and offbeat positions in an isochronous condition suggest about newborns' auditory capabilities?
|
Advanced capabilities in detecting rhythm |
|
• การตรวจพบ Mismatch Response (MMR) ในตำแหน่ง beat และ offbeat ภายใต้เงื่อนไขเสียงที่จัดเรียงเป็นช่วงเวลาเท่า ๆ กัน (isochronous condition) บ่งบอกว่าทารกแรกเกิด ไม่ได้เพียงแค่ตอบสนองแบบพื้นฐานต่อเสียง
• แต่ยังแสดงให้เห็นถึง ความสามารถขั้นสูงในการตรวจจับโครงสร้างจังหวะ (rhythmic structure) ซึ่งเป็นความสามารถทางดนตรีและภาษาที่ซับซ้อน
• การมี MMR ที่แตกต่างกันระหว่าง beat กับ offbeat แสดงว่าสมองทารกสามารถสร้าง internal representation ของจังหวะ และคาดการณ์ได้ว่าเสียงไหนควรเกิดขึ้นบนจังหวะหรือไม่ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการรับรู้จังหวะ (beat perception)
|
• อ้างอิงจากทฤษฎี predictive coding (Friston, 2005): สมองพยายามสร้างแบบจำลองล่วงหน้า (prediction) เกี่ยวกับสิ่งที่จะได้ยิน เมื่อเกิดความคลาดเคลื่อนจากสิ่งที่คาดไว้ จะเกิด MMR หรือ Mismatch Negativity (MMN) ขึ้น
• งานวิจัย เช่น Winkler et al. (2009) พบว่าทารกแรกเกิดสามารถตรวจจับจังหวะในเสียงที่มีการจัดเรียงเป็นช่วงเวลาเท่า ๆ กันได้ ซึ่งสนับสนุนว่าความสามารถในการตรวจจับจังหวะเป็นสิ่งที่มีมาแต่กำเนิด (innate auditory capability)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
11 |
What is the main focus of the cell and gene therapies article?
|
Evidence-based cell and gene therapies |
|
• บทความเกี่ยวกับ cell and gene therapies โดยทั่วไปจะมุ่งเน้นไปที่การอธิบาย หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่รองรับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการรักษาด้วยวิธีเหล่านี้
• จุดเน้นคือการแสดงให้เห็นว่าวิธีการบำบัดเหล่านี้ผ่านการวิจัยและการทดลองทางคลินิก (clinical trials) เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และแยกแยะออกจากการกล่าวอ้างที่ขาดหลักฐาน (unsupported claims)
|
• สอดคล้องกับแนวคิด evidence-based medicine (EBM) (Sackett et al., 1996) ที่เน้นว่าการตัดสินใจทางการแพทย์ต้องอ้างอิงจากงานวิจัยคุณภาพสูง ซึ่งรวมถึงการทดลองแบบสุ่ม (randomized controlled trials) และการวิเคราะห์สรุปผล (systematic reviews/meta-analyses)
• ในกรณีของ cell and gene therapies ความสำคัญอยู่ที่การแสดงหลักฐานสนับสนุนว่าการรักษาเหล่านี้ มีประสิทธิภาพและปลอดภัยจริง ก่อนที่จะถูกใช้หรืออนุมัติในทางคลินิก
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
12 |
What does CGT stand for in the context of the article?
|
Cell and Gene Therapies |
|
• ในบทความที่เน้นเรื่องการรักษาแนวใหม่ด้วย cell and gene therapies ตัวย่อ CGT ใช้เพื่อเรียกรวมกันระหว่าง cell therapies (การบำบัดโดยใช้เซลล์) และ gene therapies (การบำบัดโดยการแก้ไขยีน)
• CGT เป็นคำที่ถูกใช้กันกว้างขวางในวงการ ชีวเวชศาสตร์ (biomedicine) และ การวิจัยทางคลินิก เพื่ออธิบายกลุ่มการรักษาที่อาศัยการแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนกลไกทางชีววิทยาระดับเซลล์หรือยีน เพื่อรักษาหรือบรรเทาโรคที่สาเหตุเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมหรือความเสียหายของเนื้อเยื่อ
|
หลักการของ CGT เชื่อมโยงกับแนวคิด precision medicine: การรักษาที่ออกแบบเฉพาะสำหรับกลุ่มผู้ป่วยหรือผู้ป่วยรายบุคคล โดยใช้ความเข้าใจระดับโมเลกุลและพันธุกรรมของโรค
• อ้างอิงจากบทความวิชาการและรายงานอุตสาหกรรม เช่น:
• Cell & Gene Therapy Catapult (UK) ซึ่งใช้คำว่า CGT อย่างเป็นทางการ
• High, K. A., & Roncarolo, M. G. (2019). Gene therapy. The New England Journal of Medicine, 381(5), 455–464.
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
13 |
What does the article caution against?
|
Direct-to-consumer marketing of unproven CGTs |
|
• บทความที่พูดถึง cell and gene therapies (CGTs) มักจะเตือนถึงอันตรายจากการตลาดที่มุ่งตรงถึงผู้บริโภค (direct-to-consumer marketing) โดยเฉพาะเมื่อเป็นการโฆษณาผลิตภัณฑ์ที่ ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์หรืออนุมัติทางคลินิก
• เหตุผลคือผู้ป่วยหรือครอบครัวที่กำลังสิ้นหวังอาจถูกล่อลวงไปใช้บริการที่อ้างว่าเป็น CGT แต่ไม่มีหลักฐานรองรับ ซึ่งอาจเสี่ยงอันตรายทั้งด้านสุขภาพและเสียค่าใช้จ่ายสูงโดยเปล่าประโยชน์
|
• อ้างอิงแนวคิด evidence-based medicine (Sackett et al., 1996) ที่เน้นให้การรักษาต้องผ่านการพิสูจน์ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ ไม่ใช่แค่การอ้างทางการตลาด
• งานวิเคราะห์ในวารสาร เช่น
• Turner, L., & Knoepfler, P. (2016). Selling Stem Cells in the USA: Assessing the Direct-to-Consumer Industry. Cell Stem Cell, 19(2), 154–157.
บ่งชี้ว่าการตลาดตรงนี้มักมาพร้อมกับข้อมูลเกินจริง (overstatement of benefits) และขาดความโปร่งใสเรื่องความเสี่ยง (understatement of risks)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
14 |
According to the article, what is a risk associated with unproven CGTs?
|
All of the above |
|
ตามบทความ ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ CGTs ที่ยังไม่ได้พิสูจน์หรือไม่ได้รับการรับรองทางคลินิกมีหลายมิติ ซึ่งครอบคลุมทั้งหมดที่ระบุ ได้แก่:
1. Misleading Advertising
• บริษัทหรือคลินิกบางแห่งใช้การตลาดที่โอ้อวด (overstated benefits) ทำให้ผู้ป่วยเชื่อผิด ๆ ถึงประสิทธิภาพของการรักษา ซึ่งอาจขัดกับจริยธรรมและทำให้เกิดความเข้าใจผิดรุนแรง
• อ้างอิงจาก: Turner, L., & Knoepfler, P. (2016). Cell Stem Cell
2. Increased Cost Of Healthcare
• การใช้ CGTs ที่ยังไม่มีหลักฐานหรือไม่ผ่านการรับรอง อาจทำให้ผู้ป่วยและครอบครัวต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศ (medical tourism) ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางการแพทย์ แต่ยังเพิ่มภาระทางเศรษฐกิจโดยไม่จำเป็น
• อ้างอิงจาก: Master, Z., Resnik, D. B. (2013). EMBO Reports
3. Reduced Effectiveness Of Traditional Medicines
• ผู้ป่วยบางรายอาจเลือกที่จะหยุดใช้การรักษามาตรฐานที่มีประสิทธิภาพเพื่อหันไปใช้ CGTs ที่ไม่ได้พิสูจน์ ซึ่งส่งผลให้โรคลุกลามหรือควบคุมได้ยากขึ้น
• เป็นความเสี่ยงทางอ้อมแต่สำคัญที่มักถูกพูดถึงในงานวิเคราะห์จริยธรรม
|
• หลัก evidence-based medicine (EBM): การรักษาทุกอย่างควรตั้งอยู่บนหลักฐานที่เชื่อถือได้และผ่านการทดสอบทางคลินิก
• หลัก non-maleficence ทางชีวจริยศาสตร์ (Beauchamp & Childress): การรักษาที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต้องหลีกเลี่ยง
• การตลาดตรงถึงผู้บริโภคของ CGTs ที่ยังไม่ได้รับอนุมัติจึงขัดกับแนวคิดเหล่านี้ เพราะเพิ่มความเสี่ยงและภาระต่อผู้ป่วยและสังคม
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
15 |
Which platform is mentioned for registering research that might not be credible?
|
ClinicalTrials.gov |
|
• ในบทความกล่าวถึงว่า แม้แต่การศึกษาเกี่ยวกับ CGTs ที่ “ไม่น่าเชื่อถือ” หรือคุณภาพต่ำ (unproven / low-quality research) ก็อาจไป ลงทะเบียนไว้ใน ClinicalTrials.gov ได้เช่นกัน
• การลงทะเบียนใน ClinicalTrials.gov ไม่ได้เป็นการรับรองว่าการศึกษานั้น มีคุณภาพทางวิทยาศาสตร์ หรือ ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานจริยธรรม (IRB) อย่างเข้มงวด เสมอไป แต่เป็นเพียงการเปิดเผยรายละเอียดของโครงการทดลองเพื่อความโปร่งใส ซึ่งผู้ไม่หวังดีอาจนำมาใช้เป็นเครื่องมือทำให้โครงการดู “น่าเชื่อถือ” ในสายตาผู้ป่วยหรือสาธารณะ
|
• หลัก transparency in clinical research: การลงทะเบียนการทดลองทางคลินิกเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อลด bias และป้องกัน selective reporting (Selective Outcome Reporting Bias)
• แต่ transparency ≠ validity: ความโปร่งใสไม่ได้รับประกันว่าการทดลองนั้นจะมีคุณภาพสูง หรือผลลัพธ์จะน่าเชื่อถือ
• งานวิจัย เช่น:
• Zarin, D. A., et al. (2017). Update on Trial Registration 11 Years after the ICMJE Policy Was Established. New England Journal of Medicine, 376(4), 383–391.
พบว่ามีบางการศึกษาใน ClinicalTrials.gov ที่ไม่ผ่านการทบทวนโดยผู้เชี่ยวชาญ (peer review) หรือแม้แต่การตรวจสอบจาก IRB ที่เข้มงวด
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
16 |
What term is used to describe items that make unproven CGTs appear valid?
|
Tokens of Legitimacy |
|
• ในบทความใช้คำว่า “tokens of legitimacy” เพื่ออธิบายสิ่งที่ทำให้ CGTs ที่ยังไม่มีหลักฐานรองรับ (unproven CGTs) ดูเหมือนมีความน่าเชื่อถือ ทั้งที่จริงแล้วอาจไม่ได้ผ่านการพิสูจน์หรือรับรองจริง ๆ
• ตัวอย่างเช่น:
• การลงทะเบียนโครงการวิจัยใน ClinicalTrials.gov
• การใช้คำว่า “clinical trial” ในสื่อประชาสัมพันธ์
• การพาดพิงชื่อมหาวิทยาลัยหรือผู้เชี่ยวชาญ (โดยที่ความเกี่ยวข้องอาจน้อยมาก)
สิ่งเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น “token” ที่คล้ายตรายางทางวิชาการหรือทางการแพทย์ แต่ไม่ได้หมายความว่ามี หลักฐานทางวิทยาศาสตร์จริง ๆ มารองรับ
|
• แนวคิดนี้มาจากงานเชิงจริยศาสตร์และนโยบาย ที่ชี้ให้เห็นว่าบางคลินิกหรือบริษัทใช้ “tokens of legitimacy” เพื่อหลอกลวงหรือลวงตาผู้บริโภค
• อ้างอิง:
• Turner, L. (2018). “The use of ‘tokens of scientific legitimacy’ in marketing unproven stem cell interventions: implications for ethical and regulatory responses.” Regenerative Medicine, 13(6), 647–657.
• สอดคล้องกับแนวคิด “regulatory theater”: การสร้างภาพว่ามีการควบคุมทางวิทยาศาสตร์ ทั้งที่ในความจริงไม่มี
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
17 |
What does the ISCT oppose according to the article?
|
Premature commercialization of unproven CGTs |
|
• ในบทความกล่าวถึงว่า ISCT (International Society for Cell & Gene Therapy) ไม่ได้คัดค้านเทคโนโลยี CGTs โดยรวม แต่ คัดค้านการนำ CGTs ที่ยังไม่ได้ผ่านการทดลองทางคลินิกอย่างเป็นระบบและยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เพียงพอ ออกมาจำหน่ายเชิงพาณิชย์ก่อนเวลาอันควร (premature commercialization)
• เพราะจะเสี่ยงทำให้:
• ผู้ป่วยหลงเชื่อในประสิทธิภาพที่ยังไม่ได้พิสูจน์
• เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยโดยตรง
• ทำลายความน่าเชื่อถือของวงการ CGTs ทั้งหมด
|
• สอดคล้องกับหลักการ evidence-based medicine และ non-maleficence (หลีกเลี่ยงการก่ออันตรายต่อผู้ป่วย) ซึ่งเป็นหลักจริยศาสตร์การแพทย์ (Beauchamp & Childress, 2019)
• การเร่งนำ CGTs ออกสู่ตลาดโดยข้ามขั้นตอนการทดลองและประเมินผล ทำให้ขัดกับ scientific rigor และลดความมั่นใจในผลลัพธ์และความปลอดภัย
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
18 |
Which regulatory body is NOT mentioned in the article as a key player in CGT oversight?
|
CDC |
|
• ในบทความกล่าวถึงหน่วยงานที่กำกับดูแลและให้ความเห็นชอบการใช้ cell and gene therapies (CGTs) ในเชิงคลินิก ได้แก่:
• FDA (U.S. Food and Drug Administration) — หน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ
• EMA (European Medicines Agency) — หน่วยงานกำกับดูแลในยุโรป
• Health Canada — หน่วยงานกำกับดูแลในแคนาดา
• แต่ CDC (Centers for Disease Control and Prevention) ไม่ได้มีบทบาทโดยตรงในการอนุมัติหรือกำกับ CGTs เพราะหน้าที่หลักของ CDC คือการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ รวมถึงงานด้านสาธารณสุข ไม่ใช่การกำกับดูแลผลิตภัณฑ์ทางชีวเวชศาสตร์ใหม่
|
• Regulatory science & oversight: หน่วยงานกำกับดูแลเช่น FDA, EMA และ Health Canada มีหน้าที่หลักในการ:
• ประเมินประสิทธิภาพ (efficacy)
• ประเมินความปลอดภัย (safety)
• อนุมัติการใช้ในทางคลินิก และติดตามผลหลังการอนุมัติ (post-marketing surveillance)
• ส่วน CDC แม้จะมีหน้าที่ด้านสาธารณสุข แต่ไม่ได้ทำงานในเชิง regulatory approval ของ CGTs
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
19 |
What specific role do 'tokens of legitimacy' play according to the article?
|
Persuade patients of the safety and efficacy of unproven CGTs |
|
• ตามบทความ ‘tokens of legitimacy’ ไม่ได้มีบทบาททางวิทยาศาสตร์หรือกฎหมายจริง ๆ ในการยืนยันความปลอดภัยหรือประสิทธิภาพของ CGTs
• แต่ถูกใช้เป็น เครื่องมือทางการตลาด หรือ กลยุทธ์การโน้มน้าวใจ เพื่อทำให้ ผู้ป่วยหรือผู้บริโภคเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ CGTs ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ (unproven CGTs) นั้น “ดูเหมือนปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ”
• ตัวอย่างเช่น:
• การลงทะเบียน clinical trial (แม้ไม่ได้รับอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล)
• การใช้ชื่อสถาบันหรือผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์
• การอ้างว่าอยู่ใน “ขั้นทดลองทางคลินิก” โดยไม่มีหลักฐานจริง
สิ่งเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น “สัญลักษณ์” หรือ “เครื่องตกแต่งทางภาพลักษณ์” (symbolic markers) เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในสายตาผู้ป่วย โดยไม่ต้องมีหลักฐานเชิงประจักษ์
|
• สอดคล้องกับแนวคิดเรื่อง pseudo-scientific legitimacy หรือ regulatory theater: การสร้างภาพให้ดูเหมือนมีมาตรฐานทางวิทยาศาสตร์หรือการกำกับดูแล ทั้งที่ไม่มี
• Turner, L. (2018). The use of ‘tokens of scientific legitimacy’ in marketing unproven stem cell interventions: implications for ethical and regulatory responses. Regenerative Medicine, 13(6), 647–657.
• หลัก non-maleficence และ truth-telling ในชีวจริยศาสตร์: การให้ข้อมูลที่อาจทำให้ผู้ป่วยเข้าใจผิด ถือว่าขัดกับหลักจริยธรรมทางการแพทย์
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
20 |
According to the article, what is a critical measure for distinguishing evidence-based CGTs?
|
Pre-marketing authorization by national regulatory bodies |
|
• ในบทความเน้นว่า สิ่งที่สำคัญในการแยกแยะ CGTs ที่มีหลักฐานรองรับ (evidence-based CGTs) ออกจาก CGTs ที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์ คือ การได้รับการอนุมัติ (authorization) จาก หน่วยงานกำกับดูแลระดับชาติ (เช่น FDA, EMA, หรือ Health Canada) ก่อนวางจำหน่ายเชิงพาณิชย์
• เหตุผลคือ กระบวนการอนุมัตินี้ต้องอาศัย:
• หลักฐานจากการทดลองทางคลินิก (clinical trial data)
• การประเมินด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
• การทบทวนโดยผู้เชี่ยวชาญ (expert review)
• ดังนั้นการมี pre-marketing authorization แสดงว่าผลิตภัณฑ์ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และกฎหมายที่เข้มงวด ไม่ใช่แค่ความนิยม หรือจำนวนการทดลองที่ยังไม่ได้ประเมินผลอย่างเป็นระบบ
|
• Regulatory science: การอนุมัติโดยหน่วยงานกำกับดูแลถือเป็น “gold standard” ในการบ่งชี้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นผ่านการประเมินอย่างเป็นระบบ
• Evidence-based medicine (EBM): เน้นให้ใช้เฉพาะวิธีรักษาที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ ซึ่งต้องผ่านการทดลองและการอนุมัติจาก regulatory bodies ก่อนนำไปใช้จริง
• อ้างอิง:
• High, K. A., & Roncarolo, M. G. (2019). Gene therapy. New England Journal of Medicine, 381(5), 455–464.
• Dunbar, C. E., et al. (2018). Gene therapy comes of age. Science, 359(6372), eaan4672.
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|