ตรวจข้อสอบ > จินตชัย เหมืองหม้อ > การแข่งขันและทดสอบความถนัดทางการแพทย์ | ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย > Part 1 > ตรวจ

ใช้เวลาสอบ 21 นาที

Back

# คำถาม คำตอบ ถูก / ผิด สาเหตุ/ขยายความ ทฤษฎีหลักคิด/อ้างอิงในการตอบ คะแนนเต็ม ให้คะแนน
1


ข้อใดต่อไปนี้อธิบายแนวคิด การรับรู้จังหวะ (Beat Perception) ได้ดีที่สุดเนื่องจากเกี่ยวข้องกับความสามารถในการได้ยินของทารกแรกเกิด

การแยกจังหวะที่สม่ำเสมอจากลำดับเสียง

Beat Perception หมายถึง ความสามารถของสมองในการตรวจจับจังหวะที่สม่ำเสมอจากเสียงหรือดนตรีที่ได้ยิน แม้เสียงเหล่านั้นจะไม่ได้มีจังหวะที่แสดงออกอย่างชัดเจนในทุกๆ ช่วง แต่สมองจะจับ pattern ที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเคาะ การเดิน หรือดนตรีที่มีจังหวะ

Winkler et al. (2009): งานวิจัยตีพิมพ์ใน PNAS แสดงว่าทารกแรกเกิดสามารถตรวจจับ regular beat ได้จากลำดับเสียง Nobre & Coull (2010): สมองของมนุษย์โดยเฉพาะในเด็กเล็กมี timing mechanism ที่เกี่ยวข้องกับ temporal expectation (คาดการณ์เวลาของเหตุการณ์ถัดไป)

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

2


จากการวิจัย ทารกแรกเกิดใช้วิธีทดลองตามข้อใดในการแยกแยะการรับรู้จังหวะจากการเรียนรู้ทางสถิติในทารกแรกเกิด

การติดตามการทำงานของสมองโดยใช้ EEG ในระหว่างการกระตุ้นการได้ยิน

Winkler et al. (2009) ใช้วิธีการที่เป็นมาตรฐานในการศึกษาทารกคือ EEG เพื่อตรวจวัด Mismatch Negativity (MMN) หรือ Mismatch Response (MMR) เป็นสัญญาณไฟฟ้าจากสมองที่บ่งบอกว่า สมองตรวจจับความผิดปกติใน pattern ของเสียงได้ โดยที่ทารกไม่ต้องตอบสนองทางพฤติกรรม

Winkler et al. (2009). Newborn infants detect the beat in music. PNAS. ใช้ EEG วัด Mismatch Response (MMR) ในทารกแรกเกิด เพื่อแยกความสามารถในการรับรู้จังหวะออกจากการเรียนรู้ทางสถิติ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

3


การตอบสนองที่ไม่ตรงกัน (MMR) ในการศึกษา EEG บ่งชี้อะไรเกี่ยวกับการประมวลผลการได้ยินของทารกแรกเกิด

ความไวต่อการละเมิดความสม่ำเสมอในลำดับเสียง

MMR เป็น สัญญาณไฟฟ้าจากสมองที่บ่งชี้ว่าเกิดการตรวจจับ "สิ่งผิดปกติ" ในลำดับเสียง โดยที่ ไม่ต้องอาศัยการตอบสนองทางพฤติกรรม สามารถใช้กับทารกแรกเกิดที่ยังไม่สามารถสื่อสารหรือแสดงพฤติกรรมได้

Winkler et al. (2009): ใช้ MMR เพื่อตรวจสอบว่า ทารกแรกเกิดสามารถตรวจจับการละเมิดจังหวะในลำดับเสียงได้จริง

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

4


คำว่า "การเรียนรู้ทางสถิติ (Statistical Learning)" หมายถึงอะไรในบริบทของการประมวลผลการได้ยินในทารกแรกเกิด?

เรียนรู้ที่จะทำนายเหตุการณ์ในอนาคตโดยอาศัยการวิเคราะห์ทางสถิติ

Statistical Learning (การเรียนรู้ทางสถิติ) หมายถึง กระบวนการที่สมองจับความน่าจะเป็นของการเกิดเหตุการณ์จากลำดับข้อมูลที่ได้รับ ในบริบทของ การได้ยินในทารกแรกเกิด คือ -การเรียนรู้ความถี่ของเสียงบางตัวและความน่าจะเป็นในการเกิดของลำดับเสียง -สมองของทารกจะเริ่มเข้าใจว่าเสียง A มักจะตามด้วยเสียง B -เมื่อเกิด pattern ซ้ำบ่อย สมองจะใช้ข้อมูลนี้ในการ ทำนายสิ่งที่จะได้ยินถัดไป

Saffran et al. (1996): งานวิจัยต้นแบบใน Statistical Learning ของทารก พบว่าทารกอายุ 8 เดือนสามารถเรียนรู้ความน่าจะเป็นของลำดับเสียงได้ในเวลาไม่กี่นาที Romberg & Saffran (2010): Statistical learning คือ "implicit learning" ไม่ต้องมีการตอบสนองอย่างชัดเจน ทารกใช้กลไกนี้ในการเรียนรู้ภาษาและโครงสร้างของโลกโดยรอบ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

5


สภาวะใดในการศึกษา EEG ไม่ได้ส่งผลให้เกิดความแตกต่างระหว่างการตอบสนองแบบจังหวะและการตอบสนองที่ผิดปกติในทารกแรกเกิด

สภาพความเงียบ

เพราะกระบวนการรับรู้ Beat Perception และMMR เป็นกระบวนการเชิงเปรียบเทียบฃ สมองต้องอาศัยการเปรียบเทียบลำดับของเสียงที่ได้ยินกับ รูปแบบที่คาดการณ์ไว้

Predictive Coding Theory (Friston, 2005): สมองใช้ข้อมูลจากอดีตสร้าง Prediction Model แล้วคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้น ถ้าไม่มีข้อมูลอินพุต (เช่น ความเงียบ) สมองจะไม่สามารถสร้าง Prediction Model หรือตรวจจับความผิดปกติได้

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

6


กลไกทางประสาทใดที่คิดว่ารองรับการเคลื่อนไหวให้ตรงกันกับจังหวะ

การเปิดใช้งานกระจกเซลล์ประสาท

การเคลื่อนไหวให้ตรงกับจังหวะเป็นพฤติกรรมที่ต้องอาศัยทั้ง การรับรู้จังหวะและ การประสานงานระหว่างการรับรู้

Molnar-Szakacs & Overy (2006): เสนอว่า การฟังจังหวะหรือดนตรี กระตุ้นระบบ Mirror Neuron ซึ่งช่วยให้เรา "รู้สึกอยากขยับ" ให้ตรงกับจังหวะ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

7


การรับรู้จังหวะในทารกแรกเกิดสัมพันธ์กับความสามารถทางดนตรีในภายหลังอย่างไร

เป็นพื้นฐานในการพัฒนาการประสานงานจังหวะและเวลา

การรับรู้จังหวะในทารกแรกเกิด เป็นความสามารถด้านเวลาที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ดี มีบทบาทเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับ การประสานงานระหว่างการได้ยิน การเคลื่อนไหว และ เวลา ในช่วงพัฒนาการต่อไป

Tierney & Kraus (2014): ระบุว่า การประสานงานจังหวะมีความสัมพันธ์กับ ความสามารถทางดนตรีในอนาคต เช่น การเต้น การเล่นดนตรี การร้องเพลง แต่สิ่งที่มาก่อนคือ จังหวะ + การควบคุมเวลา ไม่ใช่การเล่นดนตรีหรือแต่งเพลงโดยตรง

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

8


ภาวะที่ไม่ต่อเนื่องในการศึกษาทางการได้ยินมักเกี่ยวข้องกับอะไร?

ช่วงเวลาสุ่มระหว่างเสียง

ภาวะที่ไม่ต่อเนื่องในการศึกษาทางการได้ยิน มักหมายถึงความไม่สม่ำเสมอของ ช่วงเวลาระหว่างเสียงซึ่งส่งผลต่อการรับรู้จังหวะและการประมวลผลทางเสียงของสมอง

London (2012), "Hearing in Time": ชี้ว่า ความสม่ำเสมอของช่วงเวลาระหว่างเสียง เป็นองค์ประกอบสำคัญของจังหวะ การเปลี่ยนแปลงแบบสุ่มทำให้ยากต่อการรับรู้จังหวะ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

9


จุดประสงค์หลักของการใช้ EEG ในการศึกษาการประมวลผลการได้ยินในทารกแรกเกิดคืออะไร

บันทึกการตอบสนองของสมองต่อเสียง

-EEG (Electroencephalography) เป็นเทคนิคที่ใช้วัดกิจกรรมไฟฟ้าของสมองแบบเรียลไทม์ -ในการศึกษาทารกแรกเกิดที่ยังไม่สามารถสื่อสารหรือแสดงพฤติกรรมได้ชัดเจด -EEG ช่วยให้สามารถ บันทึกการตอบสนองของสมองต่อเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของ pattern เสียง เช่น การรับรู้จังหวะ การตอบสนองต่อเสียงผิดปกติ (Mismatch Response) -ข้อมูล EEG จึงเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการวิเคราะห์การประมวลผลทางการได้ยินของทารกโดยไม่ต้องอาศัยการตอบสนองทางพฤติกรรม

Winkler et al. (2009): ใช้ EEG เพื่อศึกษาว่าทารกแรกเกิดสามารถรับรู้ beat ในดนตรีได้หรือไม่

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

10


คุณลักษณะการได้ยินใดที่ไม่ได้รับการศึกษาโดยตรงในการวิจัยการประมวลผลการได้ยินของทารกแรกเกิด

ความเข้าใจภาษา

ความเข้าใจภาษา เป็นทักษะที่ซับซ้อนมากขึ้น เกิดขึ้นในช่วงพัฒนาการหลังจากทารกเริ่มมีการเรียนรู้คำศัพท์และความหมาย โดยทั่วไปจะศึกษาในเด็กที่โตขึ้น หรือในบริบทของการเรียนรู้ภาษาไม่ใช่ในทารกแรกเกิด ความเข้าใจภาษาต้องอาศัยการเชื่อมโยงความหมายและการประมวลผลเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งยังไม่เป็นจุดโฟกัสหลักในงานวิจัยการรับรู้เสียงของทารกแรกเกิด

Saffran et al. (1996): เน้นการเรียนรู้ทางสถิติของเสียงและภาษาพื้นฐานในทารก

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

11


คำใดที่ใช้อธิบายลักษณะที่ปรากฏของความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ซึ่งใช้ในการตลาดการบำบัดด้วยเซลล์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์

สัญลักษณ์แห่งความชอบธรรมทางวิทยาศาสตร์

ในการตลาดบำบัดด้วยเซลล์ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ผู้ประกอบการมักใช้คำพูดหรือสัญลักษณ์ที่ดูเหมือนมีความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์เพื่อโน้มน้าวใจผู้บริโภค

Fitzpatrick (2020): อธิบายการใช้ภาษาที่ดูน่าเชื่อถือในตลาดบำบัดด้วยเซลล์เพื่อสร้างความชอบธรรม

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

12


จากบทความ ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่กลไกการรายงานที่ได้รับการยอมรับสำหรับผลข้างเคียงจากการบำบัดด้วยเซลล์และยีน

หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค

หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค เป็นองค์กรที่มีบทบาทในการคุ้มครองสิทธิและประโยชน์ของผู้บริโภคทั่วไป โดยส่วนใหญ่จะไม่ได้มีระบบหรือกลไกเฉพาะสำหรับการรายงานผลข้างเคียงทางการแพทย์หรือทางคลินิกโดยตรง จึงไม่ถือเป็นกลไกการรายงานผลข้างเคียงที่ได้รับการยอมรับในทางการแพทย์สำหรับการบำบัดด้วยเซลล์และยีน

หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค ไม่ใช่กลไกการรายงานที่ได้รับการยอมรับสำหรับผลข้างเคียงจากการบำบัดด้วยเซลล์และยีน เพราะไม่มีระบบหรือมาตรฐานสำหรับการเฝ้าระวังและรายงานผลข้างเคียงทางการแพทย์โดยเฉพาะเหมือนกับองค์กรกำกับดูแลทางการแพทย์อื่น ๆ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

13


การพิจารณาด้านจริยธรรมประการใดที่ถูกท้าทายโดยการตลาดโดยตรงสู่ผู้บริโภคสำหรับการบำบัดด้วยเซลล์และยีนที่ไม่ได้รับการพิสูจน์

กระบวนการแจ้งความยินยอม

-การตลาดโดยตรงสู่ผู้บริโภคสำหรับการบำบัดด้วยเซลล์และยีนที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์มักนำเสนอข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน หรือให้ความหวังเกินจริง -ผู้บริโภคอาจไม่ได้รับข้อมูลที่เพียงพอและชัดเจนเกี่ยวกับความเสี่ยง ผลข้างเคียง หรือประสิทธิภาพที่แท้จริงของการบำบัดนั้น -ส่งผลให้กระบวนการแจ้งความยินยอมซึ่งเป็นหัวใจของจริยธรรมทางการแพทย์ถูกท้าทาย เนื่องจากผู้รับบริการอาจไม่ได้มีความเข้าใจอย่างเต็มที่ก่อนตัดสินใจรับการรักษา -การแจ้งความยินยอมอย่างมีข้อมูลครบถ้วนจึงถูกบั่นทอนโดยการตลาดที่เน้นโฆษณาเกินจริง และขาดความโปร่งใส

Beauchamp & Childress (2013): เน้นว่าการแจ้งความยินยอม (Informed Consent) ต้องประกอบด้วยข้อมูลที่ครบถ้วน ชัดเจน และเข้าใจได้

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

14


คุณลักษณะหลักใดที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการพิสูจน์ตามมาตรฐานกฎระเบียบ

การอนุญาตก่อนการตลาดโดยหน่วยงานกำกับดูแล

การ อนุญาตก่อนการตลาด หมายถึงการตรวจสอบความปลอดภัย, ประสิทธิภาพ และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานทางวิทยาศาสตร์และกฎหมาย ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ที่ ไม่ผ่านการพิสูจน์ หรือยังไม่ได้รับอนุญาต มักถูกจำหน่ายโดยไม่มีการตรวจสอบเหล่านี้ ทำให้มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ

FDA Regulatory Framework for CGT Products: ระบุว่าการอนุญาตก่อนการตลาดเป็นขั้นตอนสำคัญในการรับรองความปลอดภัยและประสิทธิภาพ EMA Guidelines on Advanced Therapy Medicinal Products (ATMPs): เน้นความสำคัญของการประเมินและอนุญาตก่อนการตลาด

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

15


ข้อใดต่อไปนี้เป็นความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ซึ่งเน้นไว้ในบทความ

ศักยภาพของความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ร้ายแรง

-ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์มักไม่มีข้อมูลหรือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพียงพอเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพ -การใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรือความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ร้ายแรง เช่น การติดเชื้อ,ปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันที่ไม่พึงประสงค์ ,การกลายพันธุ์ของเซลล์ -บทความมักเน้นเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบและอนุมัติอย่างเหมาะสม -ในทางตรงข้าม ตัวเลือกอื่น เช่น การรับรองจากคนดัง หรือ การตรวจสอบกฎระเบียบที่มากเกินไป ไม่ใช่ความเสี่ยงด้านสุขภาพจริง ๆ

WHO Reports on Unproven Stem Cell Therapies: เตือนถึงความเสี่ยงร้ายแรงจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์ FDA Safety Communications: ระบุความเสี่ยงด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับอนุญาต

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

16


ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ลักษณะทั่วไปของผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ตามที่กล่าวไว้ในบทความ

การอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่สำคัญ

ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์โดยทั่วไปจะมี ลักษณะที่ขาดความชัดเจนทางวิทยาศาสตร์, ขาดข้อมูลก่อนคลินิกที่เพียงพอ, ใช้การตลาดที่อ้างคำรับรองของผู้ป่วย และมีค่ารักษาที่สูง แต่การอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่สำคัญ คือ ลักษณะที่ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วเท่านั้นที่จะมี

WHO and FDA Reports on Unproven Therapies: เน้นว่าผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ขาดการอนุมัติทางกฎระเบียบและข้อมูลทางวิทยาศาสตร์

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

17


หน่วยงานกำกับดูแล เช่น FDA และ EMA จะรับรองความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ CGT ได้อย่างไร

โดยต้องมีการทดลองทางคลินิกก่อนการตลาดอย่างเข้มงวด

หน่วยงานกำกับดูแล เช่น FDA (สหรัฐฯ) และ EMA (ยุโรป) รับผิดชอบในการตรวจสอบและอนุมัติผลิตภัณฑ์ CGT เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพก่อนที่ผลิตภัณฑ์จะถูกวางจำหน่ายในตลาด หน่วยงานเหล่านี้กำหนดให้ผู้ผลิตต้องผ่าน การทดลองทางคลินิกหลายเฟสซึ่งเป็นการทดสอบที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อประเมินความปลอดภัย, ผลข้างเคียง, และประสิทธิผลของผลิตภัณฑ์

FDA Guidance for Industry on Cell and Gene Therapy Products: ระบุความสำคัญของการทดลองทางคลินิกเพื่อรับรองความปลอดภัยและประสิทธิภาพ EMA Committee for Advanced Therapies (CAT): กำหนดขั้นตอนและมาตรฐานการประเมินผลิตภัณฑ์ ATMPs ก่อนการอนุมัติ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

18


เป้าหมายหลักของ ISCT ในด้านการบำบัดด้วยเซลล์และยีนตามที่กล่าวไว้ในบทความคืออะไร

เพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์และต่อต้านผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการพิสูจน์

ISCT (International Society for Cell & Gene Therapy) มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมมาตรฐานทางวิทยาศาสตร์และจริยธรรมในวงการบำบัดด้วยเซลล์และยีน เป้าหมายหลักของ ISCT คือการ สนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ชัดเจน (evidence-based products) ที่ผ่านการทดสอบและพิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิภาพ

ISCT Position Statements: เน้นการส่งเสริมการบำบัดที่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์ และเตือนถึงความเสี่ยงของการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ WHO Reports on Cell and Gene Therapy: สนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการประเมินและได้รับการพิสูจน์ความปลอดภัย

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

19


อะไรคือผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นสำหรับผู้ป่วยที่ใช้ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์?

ความเสี่ยงต่อผลกระทบร้ายแรง

-ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์มักขาดข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และการทดลองทางคลินิกที่เพียงพอ -ผู้ป่วยที่ใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เสี่ยงต่อผลข้างเคียงร้ายแรง เช่น การติดเชื้อ,ปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันที่ไม่พึงประสงค์,การเกิดเนื้องอกหรือกลายพันธุ์ของเซลล์ -ไม่มีการรับประกันว่าผู้ป่วยจะได้รับผลการรักษาที่ดีหรือฟื้นตัวจากโรค -ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยังไม่ได้รับการอนุมัติตามกฎระเบียบที่เป็นทางการ และไม่มีการลดต้นทุนหรือการรับรองจากผู้มีชื่อเสียงเป็นตัวชี้วัดความปลอดภัยหรือประสิทธิภาพ

FDA Safety Communications: เตือนถึงความเสี่ยงร้ายแรงของการใช้ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ WHO Reports on Unproven Therapies: ชี้ให้เห็นถึงอันตรายและความไม่แน่นอนของผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้รับการประเมินอย่างเหมาะสม

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

20


ISCT มีบทบาทอย่างไรในบริบทของการบำบัดเซลล์และยีน

ต่อต้านการค้าขายก่อนกำหนดของการรักษาที่ไม่ได้รับการพิสูจน์

-ISCT (International Society for Cell & Gene Therapy) เป็นองค์กรวิชาการที่สนับสนุนการพัฒนาบำบัดด้วยเซลล์และยีนอย่างมีมาตรฐานทางวิทยาศาสตร์และจริยธรรม -หน้าที่หลักของ ISCT คือการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์และความปลอดภัย พร้อมทั้งต่อต้านการใช้หรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์หรือไม่ได้รับการอนุมัติอย่างถูกต้อง -ISCT ไม่ใช่หน่วยงานกำกับดูแลเหมือน FDA หรือ อย. และไม่มีอำนาจในการอนุมัติหรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์

ISCT Position Statements: ชัดเจนว่ามุ่งเน้นสนับสนุนการรักษาที่มีหลักฐานและต่อต้านการโฆษณาหรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

ผลคะแนน 106.25 เต็ม 140

แท๊ก หลักคิด
แท๊ก อธิบาย
แท๊ก ภาษา