1 |
ข้อใดต่อไปนี้อธิบายแนวคิด การรับรู้จังหวะ (Beat Perception) ได้ดีที่สุดเนื่องจากเกี่ยวข้องกับความสามารถในการได้ยินของทารกแรกเกิด
|
การแยกจังหวะที่สม่ำเสมอจากลำดับเสียง |
|
Beat Perception
หมายถึง ความสามารถของสมองในการตรวจจับจังหวะที่สม่ำเสมอจากเสียงหรือดนตรีที่ได้ยิน แม้เสียงเหล่านั้นจะไม่ได้มีจังหวะที่แสดงออกอย่างชัดเจนในทุกๆ ช่วง แต่สมองจะจับ pattern ที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเคาะ การเดิน หรือดนตรีที่มีจังหวะ
|
Winkler et al. (2009): งานวิจัยตีพิมพ์ใน PNAS แสดงว่าทารกแรกเกิดสามารถตรวจจับ regular beat ได้จากลำดับเสียง
Nobre & Coull (2010): สมองของมนุษย์โดยเฉพาะในเด็กเล็กมี timing mechanism ที่เกี่ยวข้องกับ temporal expectation (คาดการณ์เวลาของเหตุการณ์ถัดไป)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
2 |
จากการวิจัย ทารกแรกเกิดใช้วิธีทดลองตามข้อใดในการแยกแยะการรับรู้จังหวะจากการเรียนรู้ทางสถิติในทารกแรกเกิด
|
การติดตามการทำงานของสมองโดยใช้ EEG ในระหว่างการกระตุ้นการได้ยิน |
|
Winkler et al. (2009) ใช้วิธีการที่เป็นมาตรฐานในการศึกษาทารกคือ
EEG เพื่อตรวจวัด Mismatch Negativity (MMN) หรือ Mismatch Response (MMR)
เป็นสัญญาณไฟฟ้าจากสมองที่บ่งบอกว่า สมองตรวจจับความผิดปกติใน pattern ของเสียงได้
โดยที่ทารกไม่ต้องตอบสนองทางพฤติกรรม
|
Winkler et al. (2009). Newborn infants detect the beat in music. PNAS.
ใช้ EEG วัด Mismatch Response (MMR) ในทารกแรกเกิด เพื่อแยกความสามารถในการรับรู้จังหวะออกจากการเรียนรู้ทางสถิติ
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
3 |
การตอบสนองที่ไม่ตรงกัน (MMR) ในการศึกษา EEG บ่งชี้อะไรเกี่ยวกับการประมวลผลการได้ยินของทารกแรกเกิด
|
ความไวต่อการละเมิดความสม่ำเสมอในลำดับเสียง |
|
MMR เป็น สัญญาณไฟฟ้าจากสมองที่บ่งชี้ว่าเกิดการตรวจจับ "สิ่งผิดปกติ" ในลำดับเสียง
โดยที่ ไม่ต้องอาศัยการตอบสนองทางพฤติกรรม
สามารถใช้กับทารกแรกเกิดที่ยังไม่สามารถสื่อสารหรือแสดงพฤติกรรมได้
|
Winkler et al. (2009):
ใช้ MMR เพื่อตรวจสอบว่า ทารกแรกเกิดสามารถตรวจจับการละเมิดจังหวะในลำดับเสียงได้จริง
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
4 |
คำว่า "การเรียนรู้ทางสถิติ (Statistical Learning)" หมายถึงอะไรในบริบทของการประมวลผลการได้ยินในทารกแรกเกิด?
|
เรียนรู้ที่จะทำนายเหตุการณ์ในอนาคตโดยอาศัยการวิเคราะห์ทางสถิติ |
|
Statistical Learning (การเรียนรู้ทางสถิติ)
หมายถึง กระบวนการที่สมองจับความน่าจะเป็นของการเกิดเหตุการณ์จากลำดับข้อมูลที่ได้รับ
ในบริบทของ การได้ยินในทารกแรกเกิด คือ
-การเรียนรู้ความถี่ของเสียงบางตัวและความน่าจะเป็นในการเกิดของลำดับเสียง
-สมองของทารกจะเริ่มเข้าใจว่าเสียง A มักจะตามด้วยเสียง B
-เมื่อเกิด pattern ซ้ำบ่อย สมองจะใช้ข้อมูลนี้ในการ ทำนายสิ่งที่จะได้ยินถัดไป
|
Saffran et al. (1996):
งานวิจัยต้นแบบใน Statistical Learning ของทารก
พบว่าทารกอายุ 8 เดือนสามารถเรียนรู้ความน่าจะเป็นของลำดับเสียงได้ในเวลาไม่กี่นาที
Romberg & Saffran (2010):
Statistical learning คือ "implicit learning" ไม่ต้องมีการตอบสนองอย่างชัดเจน
ทารกใช้กลไกนี้ในการเรียนรู้ภาษาและโครงสร้างของโลกโดยรอบ
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
5 |
สภาวะใดในการศึกษา EEG ไม่ได้ส่งผลให้เกิดความแตกต่างระหว่างการตอบสนองแบบจังหวะและการตอบสนองที่ผิดปกติในทารกแรกเกิด
|
สภาพความเงียบ |
|
เพราะกระบวนการรับรู้ Beat Perception และMMR
เป็นกระบวนการเชิงเปรียบเทียบฃ สมองต้องอาศัยการเปรียบเทียบลำดับของเสียงที่ได้ยินกับ รูปแบบที่คาดการณ์ไว้
|
Predictive Coding Theory (Friston, 2005):
สมองใช้ข้อมูลจากอดีตสร้าง Prediction Model แล้วคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้น
ถ้าไม่มีข้อมูลอินพุต (เช่น ความเงียบ) สมองจะไม่สามารถสร้าง Prediction Model หรือตรวจจับความผิดปกติได้
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
6 |
กลไกทางประสาทใดที่คิดว่ารองรับการเคลื่อนไหวให้ตรงกันกับจังหวะ
|
การเปิดใช้งานกระจกเซลล์ประสาท |
|
การเคลื่อนไหวให้ตรงกับจังหวะเป็นพฤติกรรมที่ต้องอาศัยทั้ง
การรับรู้จังหวะและ การประสานงานระหว่างการรับรู้
|
Molnar-Szakacs & Overy (2006):
เสนอว่า การฟังจังหวะหรือดนตรี กระตุ้นระบบ Mirror Neuron ซึ่งช่วยให้เรา "รู้สึกอยากขยับ" ให้ตรงกับจังหวะ
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
7 |
การรับรู้จังหวะในทารกแรกเกิดสัมพันธ์กับความสามารถทางดนตรีในภายหลังอย่างไร
|
เป็นพื้นฐานในการพัฒนาการประสานงานจังหวะและเวลา |
|
การรับรู้จังหวะในทารกแรกเกิด
เป็นความสามารถด้านเวลาที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ดี
มีบทบาทเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับ การประสานงานระหว่างการได้ยิน การเคลื่อนไหว และ เวลา ในช่วงพัฒนาการต่อไป
|
Tierney & Kraus (2014):
ระบุว่า การประสานงานจังหวะมีความสัมพันธ์กับ ความสามารถทางดนตรีในอนาคต เช่น การเต้น การเล่นดนตรี การร้องเพลง
แต่สิ่งที่มาก่อนคือ จังหวะ + การควบคุมเวลา ไม่ใช่การเล่นดนตรีหรือแต่งเพลงโดยตรง
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
8 |
ภาวะที่ไม่ต่อเนื่องในการศึกษาทางการได้ยินมักเกี่ยวข้องกับอะไร?
|
ช่วงเวลาสุ่มระหว่างเสียง |
|
ภาวะที่ไม่ต่อเนื่องในการศึกษาทางการได้ยิน มักหมายถึงความไม่สม่ำเสมอของ ช่วงเวลาระหว่างเสียงซึ่งส่งผลต่อการรับรู้จังหวะและการประมวลผลทางเสียงของสมอง
|
London (2012), "Hearing in Time":
ชี้ว่า ความสม่ำเสมอของช่วงเวลาระหว่างเสียง เป็นองค์ประกอบสำคัญของจังหวะ
การเปลี่ยนแปลงแบบสุ่มทำให้ยากต่อการรับรู้จังหวะ
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
9 |
จุดประสงค์หลักของการใช้ EEG ในการศึกษาการประมวลผลการได้ยินในทารกแรกเกิดคืออะไร
|
บันทึกการตอบสนองของสมองต่อเสียง |
|
-EEG (Electroencephalography) เป็นเทคนิคที่ใช้วัดกิจกรรมไฟฟ้าของสมองแบบเรียลไทม์
-ในการศึกษาทารกแรกเกิดที่ยังไม่สามารถสื่อสารหรือแสดงพฤติกรรมได้ชัดเจด
-EEG ช่วยให้สามารถ บันทึกการตอบสนองของสมองต่อเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของ pattern เสียง เช่น
การรับรู้จังหวะ
การตอบสนองต่อเสียงผิดปกติ (Mismatch Response)
-ข้อมูล EEG จึงเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการวิเคราะห์การประมวลผลทางการได้ยินของทารกโดยไม่ต้องอาศัยการตอบสนองทางพฤติกรรม
|
Winkler et al. (2009):
ใช้ EEG เพื่อศึกษาว่าทารกแรกเกิดสามารถรับรู้ beat ในดนตรีได้หรือไม่
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
10 |
คุณลักษณะการได้ยินใดที่ไม่ได้รับการศึกษาโดยตรงในการวิจัยการประมวลผลการได้ยินของทารกแรกเกิด
|
ความเข้าใจภาษา |
|
ความเข้าใจภาษา เป็นทักษะที่ซับซ้อนมากขึ้น เกิดขึ้นในช่วงพัฒนาการหลังจากทารกเริ่มมีการเรียนรู้คำศัพท์และความหมาย
โดยทั่วไปจะศึกษาในเด็กที่โตขึ้น หรือในบริบทของการเรียนรู้ภาษาไม่ใช่ในทารกแรกเกิด
ความเข้าใจภาษาต้องอาศัยการเชื่อมโยงความหมายและการประมวลผลเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งยังไม่เป็นจุดโฟกัสหลักในงานวิจัยการรับรู้เสียงของทารกแรกเกิด
|
Saffran et al. (1996):
เน้นการเรียนรู้ทางสถิติของเสียงและภาษาพื้นฐานในทารก
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
11 |
คำใดที่ใช้อธิบายลักษณะที่ปรากฏของความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ซึ่งใช้ในการตลาดการบำบัดด้วยเซลล์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์
|
สัญลักษณ์แห่งความชอบธรรมทางวิทยาศาสตร์ |
|
ในการตลาดบำบัดด้วยเซลล์ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ผู้ประกอบการมักใช้คำพูดหรือสัญลักษณ์ที่ดูเหมือนมีความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์เพื่อโน้มน้าวใจผู้บริโภค
|
Fitzpatrick (2020):
อธิบายการใช้ภาษาที่ดูน่าเชื่อถือในตลาดบำบัดด้วยเซลล์เพื่อสร้างความชอบธรรม
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
12 |
จากบทความ ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่กลไกการรายงานที่ได้รับการยอมรับสำหรับผลข้างเคียงจากการบำบัดด้วยเซลล์และยีน
|
หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค |
|
หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค เป็นองค์กรที่มีบทบาทในการคุ้มครองสิทธิและประโยชน์ของผู้บริโภคทั่วไป
โดยส่วนใหญ่จะไม่ได้มีระบบหรือกลไกเฉพาะสำหรับการรายงานผลข้างเคียงทางการแพทย์หรือทางคลินิกโดยตรง
จึงไม่ถือเป็นกลไกการรายงานผลข้างเคียงที่ได้รับการยอมรับในทางการแพทย์สำหรับการบำบัดด้วยเซลล์และยีน
|
หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค
ไม่ใช่กลไกการรายงานที่ได้รับการยอมรับสำหรับผลข้างเคียงจากการบำบัดด้วยเซลล์และยีน
เพราะไม่มีระบบหรือมาตรฐานสำหรับการเฝ้าระวังและรายงานผลข้างเคียงทางการแพทย์โดยเฉพาะเหมือนกับองค์กรกำกับดูแลทางการแพทย์อื่น ๆ
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
13 |
การพิจารณาด้านจริยธรรมประการใดที่ถูกท้าทายโดยการตลาดโดยตรงสู่ผู้บริโภคสำหรับการบำบัดด้วยเซลล์และยีนที่ไม่ได้รับการพิสูจน์
|
กระบวนการแจ้งความยินยอม |
|
-การตลาดโดยตรงสู่ผู้บริโภคสำหรับการบำบัดด้วยเซลล์และยีนที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์มักนำเสนอข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน หรือให้ความหวังเกินจริง
-ผู้บริโภคอาจไม่ได้รับข้อมูลที่เพียงพอและชัดเจนเกี่ยวกับความเสี่ยง ผลข้างเคียง หรือประสิทธิภาพที่แท้จริงของการบำบัดนั้น
-ส่งผลให้กระบวนการแจ้งความยินยอมซึ่งเป็นหัวใจของจริยธรรมทางการแพทย์ถูกท้าทาย เนื่องจากผู้รับบริการอาจไม่ได้มีความเข้าใจอย่างเต็มที่ก่อนตัดสินใจรับการรักษา
-การแจ้งความยินยอมอย่างมีข้อมูลครบถ้วนจึงถูกบั่นทอนโดยการตลาดที่เน้นโฆษณาเกินจริง และขาดความโปร่งใส
|
Beauchamp & Childress (2013):
เน้นว่าการแจ้งความยินยอม (Informed Consent) ต้องประกอบด้วยข้อมูลที่ครบถ้วน ชัดเจน และเข้าใจได้
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
14 |
คุณลักษณะหลักใดที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการพิสูจน์ตามมาตรฐานกฎระเบียบ
|
การอนุญาตก่อนการตลาดโดยหน่วยงานกำกับดูแล |
|
การ อนุญาตก่อนการตลาด หมายถึงการตรวจสอบความปลอดภัย, ประสิทธิภาพ และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานทางวิทยาศาสตร์และกฎหมาย
ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ที่ ไม่ผ่านการพิสูจน์ หรือยังไม่ได้รับอนุญาต มักถูกจำหน่ายโดยไม่มีการตรวจสอบเหล่านี้ ทำให้มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
|
FDA Regulatory Framework for CGT Products:
ระบุว่าการอนุญาตก่อนการตลาดเป็นขั้นตอนสำคัญในการรับรองความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
EMA Guidelines on Advanced Therapy Medicinal Products (ATMPs):
เน้นความสำคัญของการประเมินและอนุญาตก่อนการตลาด
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
15 |
ข้อใดต่อไปนี้เป็นความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ซึ่งเน้นไว้ในบทความ
|
ศักยภาพของความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ร้ายแรง |
|
-ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์มักไม่มีข้อมูลหรือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพียงพอเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
-การใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรือความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ร้ายแรง เช่น
การติดเชื้อ,ปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันที่ไม่พึงประสงค์ ,การกลายพันธุ์ของเซลล์
-บทความมักเน้นเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบและอนุมัติอย่างเหมาะสม
-ในทางตรงข้าม ตัวเลือกอื่น เช่น การรับรองจากคนดัง หรือ การตรวจสอบกฎระเบียบที่มากเกินไป ไม่ใช่ความเสี่ยงด้านสุขภาพจริง ๆ
|
WHO Reports on Unproven Stem Cell Therapies:
เตือนถึงความเสี่ยงร้ายแรงจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์
FDA Safety Communications:
ระบุความเสี่ยงด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับอนุญาต
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
16 |
ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ลักษณะทั่วไปของผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ตามที่กล่าวไว้ในบทความ
|
การอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่สำคัญ |
|
ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์โดยทั่วไปจะมี ลักษณะที่ขาดความชัดเจนทางวิทยาศาสตร์, ขาดข้อมูลก่อนคลินิกที่เพียงพอ, ใช้การตลาดที่อ้างคำรับรองของผู้ป่วย และมีค่ารักษาที่สูง แต่การอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่สำคัญ คือ ลักษณะที่ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วเท่านั้นที่จะมี
|
WHO and FDA Reports on Unproven Therapies:
เน้นว่าผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ขาดการอนุมัติทางกฎระเบียบและข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
17 |
หน่วยงานกำกับดูแล เช่น FDA และ EMA จะรับรองความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ CGT ได้อย่างไร
|
โดยต้องมีการทดลองทางคลินิกก่อนการตลาดอย่างเข้มงวด |
|
หน่วยงานกำกับดูแล เช่น FDA (สหรัฐฯ) และ EMA (ยุโรป) รับผิดชอบในการตรวจสอบและอนุมัติผลิตภัณฑ์ CGT เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพก่อนที่ผลิตภัณฑ์จะถูกวางจำหน่ายในตลาด
หน่วยงานเหล่านี้กำหนดให้ผู้ผลิตต้องผ่าน การทดลองทางคลินิกหลายเฟสซึ่งเป็นการทดสอบที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อประเมินความปลอดภัย, ผลข้างเคียง, และประสิทธิผลของผลิตภัณฑ์
|
FDA Guidance for Industry on Cell and Gene Therapy Products:
ระบุความสำคัญของการทดลองทางคลินิกเพื่อรับรองความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
EMA Committee for Advanced Therapies (CAT):
กำหนดขั้นตอนและมาตรฐานการประเมินผลิตภัณฑ์ ATMPs ก่อนการอนุมัติ
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
18 |
เป้าหมายหลักของ ISCT ในด้านการบำบัดด้วยเซลล์และยีนตามที่กล่าวไว้ในบทความคืออะไร
|
เพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์และต่อต้านผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการพิสูจน์ |
|
ISCT (International Society for Cell & Gene Therapy) มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมมาตรฐานทางวิทยาศาสตร์และจริยธรรมในวงการบำบัดด้วยเซลล์และยีน
เป้าหมายหลักของ ISCT คือการ สนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ชัดเจน (evidence-based products) ที่ผ่านการทดสอบและพิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
|
ISCT Position Statements:
เน้นการส่งเสริมการบำบัดที่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์ และเตือนถึงความเสี่ยงของการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์
WHO Reports on Cell and Gene Therapy:
สนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการประเมินและได้รับการพิสูจน์ความปลอดภัย
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
19 |
อะไรคือผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นสำหรับผู้ป่วยที่ใช้ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์?
|
ความเสี่ยงต่อผลกระทบร้ายแรง |
|
-ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์มักขาดข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และการทดลองทางคลินิกที่เพียงพอ
-ผู้ป่วยที่ใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เสี่ยงต่อผลข้างเคียงร้ายแรง เช่น
การติดเชื้อ,ปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันที่ไม่พึงประสงค์,การเกิดเนื้องอกหรือกลายพันธุ์ของเซลล์
-ไม่มีการรับประกันว่าผู้ป่วยจะได้รับผลการรักษาที่ดีหรือฟื้นตัวจากโรค
-ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยังไม่ได้รับการอนุมัติตามกฎระเบียบที่เป็นทางการ และไม่มีการลดต้นทุนหรือการรับรองจากผู้มีชื่อเสียงเป็นตัวชี้วัดความปลอดภัยหรือประสิทธิภาพ
|
FDA Safety Communications:
เตือนถึงความเสี่ยงร้ายแรงของการใช้ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์
WHO Reports on Unproven Therapies:
ชี้ให้เห็นถึงอันตรายและความไม่แน่นอนของผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้รับการประเมินอย่างเหมาะสม
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
20 |
ISCT มีบทบาทอย่างไรในบริบทของการบำบัดเซลล์และยีน
|
ต่อต้านการค้าขายก่อนกำหนดของการรักษาที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ |
|
-ISCT (International Society for Cell & Gene Therapy) เป็นองค์กรวิชาการที่สนับสนุนการพัฒนาบำบัดด้วยเซลล์และยีนอย่างมีมาตรฐานทางวิทยาศาสตร์และจริยธรรม
-หน้าที่หลักของ ISCT คือการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์และความปลอดภัย พร้อมทั้งต่อต้านการใช้หรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์หรือไม่ได้รับการอนุมัติอย่างถูกต้อง
-ISCT ไม่ใช่หน่วยงานกำกับดูแลเหมือน FDA หรือ อย. และไม่มีอำนาจในการอนุมัติหรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์
|
ISCT Position Statements:
ชัดเจนว่ามุ่งเน้นสนับสนุนการรักษาที่มีหลักฐานและต่อต้านการโฆษณาหรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|