ตรวจข้อสอบ > พิชญธิดา รัตนมาศ > การแข่งขันและทดสอบความถนัดทางการแพทย์ | ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย > Part 1 > ตรวจ

ใช้เวลาสอบ 0 นาที

Back

# คำถาม คำตอบ ถูก / ผิด สาเหตุ/ขยายความ ทฤษฎีหลักคิด/อ้างอิงในการตอบ คะแนนเต็ม ให้คะแนน
1


ข้อใดต่อไปนี้อธิบายแนวคิด การรับรู้จังหวะ (Beat Perception) ได้ดีที่สุดเนื่องจากเกี่ยวข้องกับความสามารถในการได้ยินของทารกแรกเกิด

การแยกจังหวะที่สม่ำเสมอจากลำดับเสียง

จากที่ข้าพเจ้าได้อ่านและอ้างอิงจากบทความ Beat processing in newborn infants cannot be explained by statistical learning based on transition probabilities -
ScienceDirect อธิบายว่า ทารกแรกเกิดสามารถรับรู้จังหวะ (Beat Perception) ได้จากความสามารถทางชีวภาพที่มีตั้งแต่กำเนิด ไม่ใช่จากการเรียนรู้ทางสถิติ เช่น การคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างเสียงในลำดับ สมองของทารก โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลเวลา (temporal processing) อย่าง auditory cortex และ basal ganglia ช่วยให้พวกเขาตรวจจับจังหวะที่สม่ำเสมอได้ทันที แม้จะไม่มีประสบการณ์กับเสียงหรือดนตรีมาก่อน ดังนั้น การรับรู้จังหวะในทารกจึงเป็นกลไกธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากการเรียนรู้หรือฝึกฝน

จากทฤษฎีหลักในบทความนี้ คือ ทารกแรกเกิดสามารถรับรู้จังหวะ (Beat Perception) ได้จากความสามารถที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด (กลไกทางชีวภาพ) โดยสมองของทารกถูกออกแบบมาให้ตอบสนองต่อเสียงที่มีจังหวะสม่ำเสมอโดยธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องอาศัยการเรียนรู้หรือการคาดเดาความสัมพันธ์ของเสียงในลำดับก่อนและในบทความนี้ยังชี้ให้เห็นว่า การเรียนรู้ทางสถิติ เช่น การจดจำลำดับเสียง ยังไม่สามารถอธิบายความสามารถนี้ได้ เพราะทารกสามารถตรวจจับจังหวะได้แม้เสียงจะไม่มีรูปแบบที่คาดเดาได้ชัดเจน ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การรับรู้จังหวะเป็นความสามารถพื้นฐานที่สมองของมนุษย์มีมาตั้งแต่เกิด.

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

2


จากการวิจัย ทารกแรกเกิดใช้วิธีทดลองตามข้อใดในการแยกแยะการรับรู้จังหวะจากการเรียนรู้ทางสถิติในทารกแรกเกิด

การติดตามการทำงานของสมองโดยใช้ EEG ในระหว่างการกระตุ้นการได้ยิน

ในบทความ “Beat processing in newborn infants cannot be explained by statistical learning based on transition probabilities” การใช้ EEG จะช่วยติดตามการตอบสนองทางสมองของทารกเมื่อได้ยินเสียงจังหวะและแสดงให้เห็นว่าทารกสามารถรับรู้จังหวะได้โดยธรรมชาติ ไม่ใช่จากการเรียนรู้ทางสถิติ การตอบสนองที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากการคาดเดาความน่าจะเป็นของลำดับเสียงแต่เป็นความสามารถทางชีวภาพที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด

ในบทความ “Beat processing in newborn infants cannot be explained by statistical learning based on transition probabilities” ทฤษฎีหลักที่ใช้คือ การรับรู้จังหวะที่มีมาตั้งแต่เกิด (Innate Biological Mechanism) ซึ่งทารกแรกเกิดสามารถรับรู้จังหวะในเสียงได้โดยธรรมชาติ ไม่ต้องเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อม ทฤษฎี การประมวลผลทางเวลา (Temporal Processing Theory) บอกว่า สมองของทารกสามารถจับจังหวะได้ทันทีโดยอัตโนมัติ และบทความนี้ยังวิพากษ์ถึง การเรียนรู้ทางสถิติ (Statistical Learning) ที่อ้างว่าเราคาดเดาลำดับเสียงจากความน่าจะเป็น ซึ่งไม่สามารถอธิบายการรับรู้จังหวะของทารกได้ เพราะมันเป็นความสามารถที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเรียนรู้จากประสบการณ์

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

3


การตอบสนองที่ไม่ตรงกัน (MMR) ในการศึกษา EEG บ่งชี้อะไรเกี่ยวกับการประมวลผลการได้ยินของทารกแรกเกิด

ความไวต่อการละเมิดความสม่ำเสมอในลำดับเสียง

การตอบสนองที่ไม่ตรงกัน (Mismatch Negativity Response หรือ MMR) ในการศึกษา EEG บ่งชี้ว่า ทารกสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในลำดับเสียงที่มีความสม่ำเสมอ เช่น ความถี่หรือจังหวะที่ผิดปกติ แสดงให้เห็นถึงความไวของสมองทารกในการรับรู้การละเมิดความสม่ำเสมอในลำดับเสียง ซึ่งเป็นกลไกทางชีวภาพที่ช่วยในการประมวลผลข้อมูลเสียงอย่างอัตโนมัติตั้งแต่แรกเกิด.

ทฤษฎีหลักที่ใช้ในการตอบคือ Mismatch Negativity (MMN) ซึ่งอธิบายว่า การตอบสนองที่ไม่ตรงกัน (MMR) เกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในลำดับเสียงที่เคยได้ยิน ซึ่งทารกสามารถรับรู้ได้โดยอัตโนมัติ การตอบสนองนี้แสดงให้เห็นว่าทารกมีความสามารถในการตรวจจับการละเมิดความสม่ำเสมอในลำดับเสียงและประมวลผลข้อมูลเสียงได้ตั้งแต่เกิด โดยไม่ต้องพึ่งพาการเรียนรู้จากประสบการณ์ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับทฤษฎี Innate Auditory Processing ที่บอกว่า การรับรู้เสียงเป็นความสามารถที่มีมาตั้งแต่กำเนิด และ Temporal Processing ที่แสดงถึงความสามารถในการรับรู้จังหวะและลำดับเสียงอย่างแม่นยำ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

4


คำว่า "การเรียนรู้ทางสถิติ (Statistical Learning)" หมายถึงอะไรในบริบทของการประมวลผลการได้ยินในทารกแรกเกิด?

เรียนรู้ที่จะทำนายเหตุการณ์ในอนาคตโดยอาศัยการวิเคราะห์ทางสถิติ

ในบทความ “Beat processing in newborn infants cannot be explained by statistical learning based on transition probabilities” การเรียนรู้ทางสถิติหมายถึงการที่ทารกเรียนรู้ลำดับเสียงจากการสัมผัสเสียงที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ โดยทารกจะคาดเดาว่าเสียงถัดไปจะเป็นอะไรตามลำดับที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้ แต่ในกรณีของการรับรู้จังหวะ (Beat Processing) ทารกไม่ได้ใช้วิธีนี้ในการเรียนรู้ ทารกสามารถรับรู้จังหวะได้ตามธรรมชาติและไม่ต้องอาศัยการเรียนรู้จากลำดับเสียงหรือการคาดเดาตามความน่าจะเป็น ซึ่งต่างจากการเรียนรู้ทางสถิติที่พึ่งพาการวิเคราะห์ลำดับเสียง

ในบทความ “Beat processing in newborn infants cannot be explained by statistical learning based on transition probabilities” การศึกษาชี้ให้เห็นว่า การรับรู้จังหวะในทารกแรกเกิดไม่สามารถอธิบายได้ด้วยการเรียนรู้ทางสถิติที่อาศัยการคาดเดาเสียงจากลำดับเสียงที่ได้ยินมาก่อน (เช่น การเรียนรู้จากความน่าจะเป็นของเสียงที่ตามมา) แต่เป็นความสามารถที่ทารกมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ หรือที่เรียกว่า Innate Ability ซึ่งทารกสามารถรับรู้และประมวลผลจังหวะเสียงได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการเรียนรู้จากประสบการณ์หรือความน่าจะเป็นจากลำดับเสียง ทฤษฎีนี้สนับสนุนแนวคิดที่ว่า ทารกมีความสามารถในการจับจังหวะและลำดับเสียงอย่างเป็นธรรมชาติผ่านการประมวลผลทางเวลา (Temporal Processing) ดังนั้นการรับรู้จังหวะในทารกจึงไม่ใช่ผลลัพธ์จากการเรียนรู้สถิติ แต่เป็นความสามารถที่มีมาตั้งแต่เกิด

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

5


สภาวะใดในการศึกษา EEG ไม่ได้ส่งผลให้เกิดความแตกต่างระหว่างการตอบสนองแบบจังหวะและการตอบสนองที่ผิดปกติในทารกแรกเกิด

สภาพกระวนกระวายใจ

เนื่องจากในสภาวะที่ทารกอยู่ในความเครียดหรือมีการรบกวนจากสิ่งแวดล้อม (เช่น สภาวะกระวนกระวายใจ) การประมวลผลการได้ยินและการตอบสนองต่อเสียงที่มีจังหวะหรือเสียงที่ผิดปกติอาจถูกรบกวน ทำให้ทารกไม่สามารถแยกแยะหรือแสดงการตอบสนองที่ชัดเจนต่อการเปลี่ยนแปลงในลำดับเสียงได้อย่างถูกต้องหรือแม่นยำ ในทางกลับกัน เมื่อทารกอยู่ในสภาพที่สงบ เช่น สภาพความเงียบ (Silent Condition) หรือ ภาวะไอโซโครนัส (Isochronous Condition) ซึ่งเสียงมีความสม่ำเสมอและไม่ถูกขัดจังหวะ ทารกจะสามารถรับรู้และแยกแยะลำดับเสียงที่เป็นจังหวะและลำดับเสียงที่ผิดปกติได้ดีขึ้น ในสภาพที่ไม่มีการรบกวนและความสงบช่วยให้การประมวลผลเสียงเกิดขึ้นได้อย่างเต็มที่มากไปกว่านั้นสภาวะกระวนกระวายใจอาจทำให้ทารกไม่สามารถมุ่งความสนใจไปที่ลำดับเสียงหรือเปลี่ยนแปลงของเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการตอบสนองต่อความเครียดหรือสิ่งรบกวนอาจแย่งสมาธิจากการประมวลผลเสียงที่มีจังหวะหรือไม่สม่ำเสมอ ทำให้เกิดการตอบสนองที่ไม่เหมาะสมหรือไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างได้อย่างชัดเจน

ทฤษฎีหลักที่สามารถอ้างอิงได้คือ Cognitive Load Theory (ทฤษฎีภาระทางปัญญา) ซึ่งอธิบายว่าการรับรู้และการประมวลผลข้อมูลจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อสมองไม่ได้รับภาระหรือสิ่งรบกวนจากภายนอก เมื่อทารกอยู่ในสภาวะที่เครียดหรือมีการกระตุ้นมากเกินไป เช่น สภาวะกระวนกระวายใจ สมองจะมีภาระในการประมวลผลมากขึ้น ซึ่งทำให้การตอบสนองต่อเสียงหรือการแยกแยะเสียงที่มีจังหวะหรือผิดปกติไม่แม่นยำ ในทางกลับกัน เมื่อสภาพแวดล้อมสงบ ไม่มีสิ่งรบกวน การประมวลผลเสียงจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับการที่ทารกสามารถแยกแยะเสียงได้ดีขึ้นในสภาพแวดล้อมที่สงบ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

6


กลไกทางประสาทใดที่คิดว่ารองรับการเคลื่อนไหวให้ตรงกันกับจังหวะ

การเปิดใช้งานกระจกเซลล์ประสาท

กลไกทางประสาทที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวให้ตรงกันกับจังหวะนั้นคือการเปิดใช้งานของ กระจกเซลล์ประสาท (Mirror Neurons) ซึ่งเป็นเซลล์ประสาทที่ทำงานเมื่อเราเห็นการเคลื่อนไหวของผู้อื่น หรือเมื่อตัวเราเองทำการเคลื่อนไหว ซึ่งช่วยให้เราสามารถเลียนแบบหรือทำการเคลื่อนไหวในจังหวะที่ตรงกันกับเสียงหรือจังหวะที่รับรู้ นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับการประสานการเคลื่อนไหวของร่างกายในรูปแบบที่เหมาะสมกับจังหวะหรือเสียงที่ได้ยิน

ทฤษฎีหลักที่เกี่ยวข้องกับ การเปิดใช้งานกระจกเซลล์ประสาท (Mirror Neuron Activation) คือ Mirror Neuron Theory หรือ ทฤษฎีกระจกเซลล์ประสาท ซึ่งอธิบายว่าเซลล์ประสาทบางประเภทในสมองจะถูกกระตุ้นเมื่อเราทำการเคลื่อนไหว หรือเมื่อเราเห็นผู้อื่นทำการเคลื่อนไหว ซึ่งเชื่อมโยงกับการเรียนรู้การเคลื่อนไหวและการประสานการเคลื่อนไหวให้ตรงกับจังหวะเสียงหรือจังหวะทางดนตรี ทฤษฎีนี้สามารถอธิบายถึงความสามารถของมนุษย์ในการเคลื่อนไหวให้ตรงกับจังหวะ เช่น การเต้น เนื่องจากการตอบสนองทางประสาทที่เกิดจากการเห็นหรือได้ยินการเคลื่อนไหวหรือจังหวะนั้น ๆ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

7


การรับรู้จังหวะในทารกแรกเกิดสัมพันธ์กับความสามารถทางดนตรีในภายหลังอย่างไร

เป็นพื้นฐานในการพัฒนาการประสานงานจังหวะและเวลา

การรับรู้จังหวะในทารกแรกเกิดถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยในการพัฒนาความสามารถทางดนตรีในอนาคต การรับรู้จังหวะช่วยให้ทารกสามารถประสานการเคลื่อนไหวและการตอบสนองตามจังหวะเสียงได้ ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นในการเล่นเครื่องดนตรีหรือการร้องเพลงในภายหลัง การฝึกฝนการรับรู้จังหวะตั้งแต่แรกเกิดจึงส่งผลโดยตรงต่อพัฒนาการในด้านการประสานงานจังหวะและเวลาในการทำกิจกรรมทางดนตรีต่างๆ ในอนาคต

ทฤษฎีหลักที่อธิบายการรับรู้จังหวะในทารกแรกเกิดและความสัมพันธ์กับความสามารถทางดนตรีในภายหลังคือ Rhythmic Auditory Stimulation Theory (RAST) หรือ ทฤษฎีกระตุ้นการได้ยินทางจังหวะ ซึ่งระบุว่า การรับรู้จังหวะเป็นทักษะพื้นฐานที่ทารกสามารถพัฒนาได้ตั้งแต่เกิด และมีผลโดยตรงต่อการประสานการเคลื่อนไหวกับจังหวะเสียง การฝึกฝนการรับรู้จังหวะในช่วงต้นชีวิตช่วยเสริมสร้างความสามารถในการประสานงานจังหวะและเวลา ซึ่งเป็นพื้นฐานในการพัฒนาความสามารถทางดนตรีในอนาคต เช่น การเล่นเครื่องดนตรีหรือการร้องเพลง การรับรู้จังหวะที่ดีสามารถส่งเสริมทักษะเหล่านี้ในระยะยาว

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

8


ภาวะที่ไม่ต่อเนื่องในการศึกษาทางการได้ยินมักเกี่ยวข้องกับอะไร?

ช่วงเวลาสุ่มระหว่างเสียง

ภาวะที่ไม่ต่อเนื่องในการศึกษาทางการได้ยินมักเกี่ยวข้องกับ ช่วงเวลาสุ่มระหว่างเสียง เพราะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาระหว่างเสียงที่ไม่สม่ำเสมอหรือสุ่ม อาจทำให้สมองไม่สามารถประมวลผลหรือรับรู้ลำดับเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรับรู้เสียงในลำดับที่ไม่สม่ำเสมอหรือไม่มีจังหวะที่คาดเดาได้ทำให้การประมวลผลการได้ยินและการตอบสนองของสมองผิดปกติหรือไม่แน่นอน

ทฤษฎีหลักที่อ้างอิงได้คือ Temporal Processing Theory หรือ ทฤษฎีการประมวลผลเชิงเวลา ซึ่งอธิบายว่าความสามารถในการรับรู้และประมวลผลระยะเวลาของเสียง (เช่น ช่วงเวลาระหว่างเสียง) เป็นสิ่งสำคัญในการประมวลผลการได้ยินของสมอง เมื่อช่วงเวลาระหว่างเสียงไม่สม่ำเสมอหรือสุ่ม การประมวลผลของสมองจะยากขึ้นและสามารถนำไปสู่ความไม่ต่อเนื่องในการรับรู้เสียงได้ ซึ่งสะท้อนถึงการขาดความสอดคล้องหรือการคาดเดาในจังหวะเสียง (Hansen & Hillyard, 1988)

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

9


จุดประสงค์หลักของการใช้ EEG ในการศึกษาการประมวลผลการได้ยินในทารกแรกเกิดคืออะไร

บันทึกการตอบสนองของสมองต่อเสียง

การใช้ EEG (Electroencephalography) ในการศึกษาการประมวลผลการได้ยินในทารกแรกเกิดมีจุดประสงค์หลักในการบันทึกการตอบสนองของสมองต่อเสียงที่ทารกได้ยิน โดยเฉพาะการตรวจสอบคลื่นสมองที่เกิดขึ้นเมื่อทารกตอบสนองต่อสิ่งเร้าทางการได้ยิน เช่น การเปลี่ยนแปลงในลำดับเสียงหรือความถี่ การใช้ EEG ช่วยให้สามารถติดตามและศึกษากระบวนการประมวลผลเสียงในสมองของทารกได้อย่างละเอียด

ทฤษฎีหลักที่เกี่ยวข้องกับการใช้ EEG ในการศึกษาการประมวลผลการได้ยินของทารกแรกเกิดคือ Cognitive Auditory Processing Theory หรือ ทฤษฎีการประมวลผลการได้ยินทางปัญญา ซึ่งอธิบายว่าการรับรู้และการประมวลผลข้อมูลเสียงในสมองมีความสำคัญในการพัฒนาความสามารถในการรับรู้เสียง โดยการใช้ EEG จะช่วยติดตามการตอบสนองของสมอง (เช่น Mismatch Negativity) ต่อการเปลี่ยนแปลงในลำดับเสียง หรือการกระตุ้นทางการได้ยินในทารก เพื่อศึกษาว่าสมองของทารกทำงานอย่างไรในการแยกแยะและประมวลผลเสียงที่แตกต่างกันในสภาพแวดล้อม (Näätänen et al., 2001)

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

10


คุณลักษณะการได้ยินใดที่ไม่ได้รับการศึกษาโดยตรงในการวิจัยการประมวลผลการได้ยินของทารกแรกเกิด

ความเข้าใจภาษา

การวิจัยการประมวลผลการได้ยินของทารกแรกเกิดมักจะมุ่งเน้นที่การศึกษาความสามารถในการรับรู้จังหวะ การเรียนรู้ทางสถิติ หรือการจดจำทำนอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการประมวลผลเสียงพื้นฐานและการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในลำดับเสียง อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจภาษา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการแปลความหมายของเสียงและคำในระดับที่ซับซ้อนกว่ามักไม่ได้รับการศึกษาโดยตรงในระยะเริ่มต้นนี้ เนื่องจากการพัฒนาในด้านนี้มักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาหลังจากนั้นเมื่อทารกเริ่มพัฒนาทักษะทางภาษา

ทฤษฎีหลักที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลการได้ยินของทารกแรกเกิดคือ Statistical Learning Theory หรือ ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสถิติ ซึ่งอธิบายว่า ทารกแรกเกิดสามารถเรียนรู้และรับรู้รูปแบบต่างๆ ของเสียงผ่านการสัมผัสซ้ำๆ และการแยกแยะระหว่างเสียงที่คุ้นเคยและเสียงที่ไม่คุ้นเคย การศึกษาทางการได้ยินในทารกส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นที่การประมวลผลพื้นฐาน เช่น การรับรู้จังหวะ การเรียนรู้จากการเปลี่ยนแปลงเสียง หรือการจดจำทำนอง แต่ไม่มุ่งเน้นที่ ความเข้าใจภาษา ซึ่งเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนมากขึ้นและพัฒนาหลังจากนั้น เมื่อทารกเริ่มเรียนรู้การตีความหมายของคำหรือภาษาที่ได้ยิน (Saffran, Aslin, & Newport, 1996)

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

11


คำใดที่ใช้อธิบายลักษณะที่ปรากฏของความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ซึ่งใช้ในการตลาดการบำบัดด้วยเซลล์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์

สัญลักษณ์แห่งความชอบธรรมทางวิทยาศาสตร์

จากบทความ “International Society for Cell & Gene Therapy Position Paper: Key considerations to support evidence-based cell and gene therapies and oppose marketing of unproven products” ใน ScienceDirect, การใช้คำว่า “สัญลักษณ์แห่งความชอบธรรมทางวิทยาศาสตร์” ในการตลาดหมายถึงการใช้สัญลักษณ์หรือคำพูดที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ดูเหมือนได้รับการสนับสนุนจากวิทยาศาสตร์ แม้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นจะยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์หรือการทดสอบที่เป็นทางการ เช่น การอ้างอิงถึงงานวิจัยที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล การใช้คำนี้มักมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือเทียมให้กับผลิตภัณฑ์ที่อาจจะไม่มีการรับรองจากการวิจัยหรือการทดลองทางการแพทย์ที่เป็นทางการ ซึ่งสามารถทำให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ที่อาจไม่พร้อมใช้งานหรือไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อย่างเพียงพอ

ทฤษฎีหลักที่ใช้ในกรณีนี้คือ ทฤษฎีการสร้างความน่าเชื่อถือเทียม (Credibility Enhancement Theory) ซึ่งอธิบายว่าการใช้สัญลักษณ์หรือคำพูดที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์หรืออนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถสร้างความน่าเชื่อถือเทียมให้กับผลิตภัณฑ์นั้นได้ โดยผู้ผลิตอาจใช้เครื่องหมายหรือคำอ้างต่างๆ เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค แม้ว่าผลิตภัณฑ์ยังไม่ได้รับการรับรองจากการทดลองหรือการวิจัยทางการแพทย์ที่เพียงพอ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

12


จากบทความ ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่กลไกการรายงานที่ได้รับการยอมรับสำหรับผลข้างเคียงจากการบำบัดด้วยเซลล์และยีน

พอร์ทัลการรายงานความปลอดภัยของ TGA

จากบทความที่กล่าวถึงการใช้การรายงานความปลอดภัยสำหรับการบำบัดด้วยเซลล์และยีน, “พอร์ทัลการรายงานความปลอดภัยของ TGA” ไม่ได้ถูกใช้ในระดับสากลเท่ากับ ClinicalTrials.gov, MedWatch โดย FDA, หรือ EudraVigilance โดย EMA ซึ่งเป็นระบบที่ได้รับการยอมรับในหลายประเทศและมีการควบคุมอย่างเข้มงวดจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง ส่วน TGA เป็นหน่วยงานของออสเตรเลียที่มีการรายงานผลข้างเคียงในระดับประเทศเท่านั้น เพราะในขณะที่ ClinicalTrials.gov, MedWatch (โดย FDA) และ EudraVigilance (โดย EMA) เป็นกลไกการรายงานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลสำหรับการติดตามและรายงานผลข้างเคียงจากการบำบัดด้วยเซลล์และยีน พอร์ทัลการรายงานความปลอดภัยของ TGA (Therapeutic Goods Administration) เป็นระบบที่ใช้ในประเทศออสเตรเลียและไม่ได้เป็นกลไกการรายงานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลเหมือนกับที่กล่าวถึงในตัวเลือกอื่น ๆ

ทฤษฎีหลักที่เกี่ยวข้องกับการตอบคำถามนี้คือ Pharmacovigilance Theory หรือ ทฤษฎีการเฝ้าระวังผลข้างเคียงของยา ซึ่งมุ่งเน้นในการติดตามและรายงานผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยาและการบำบัด เช่น การบำบัดด้วยเซลล์และยีน โดยการใช้กลไกการรายงานที่ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น FDA, EMA, หรือ ClinicalTrials.gov ซึ่งมีการตั้งระบบเพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และการบำบัดใหม่ ๆ ขึ้นเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและรับรองความปลอดภัยของผู้ใช้บริการทั่วโลก

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

13


การพิจารณาด้านจริยธรรมประการใดที่ถูกท้าทายโดยการตลาดโดยตรงสู่ผู้บริโภคสำหรับการบำบัดด้วยเซลล์และยีนที่ไม่ได้รับการพิสูจน์

กระบวนการแจ้งความยินยอม

การตลาดโดยตรงสู่ผู้บริโภคสำหรับการบำบัดด้วยเซลล์และยีนที่ไม่ได้รับการพิสูจน์อาจนำเสนอข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน หรือให้ข้อมูลที่บิดเบือนเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความเสี่ยงของการรักษา ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลครบถ้วน (informed decision) ซึ่งขัดแย้งกับหลักการของการแจ้งความยินยอมที่ต้องการให้ผู้ป่วยได้รับข้อมูลทั้งหมดอย่างชัดเจนก่อนที่จะตัดสินใจเข้ารับการรักษา การไม่สามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนในกระบวนการนี้จึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคและท้าทายหลักจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ

ทฤษฎีหลักที่อ้างอิงในคำตอบนี้คือหลักการในชีวจริยธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักการเคารพในความเป็นอิสระ (Respect for Autonomy) ซึ่งเป็นแกนหลักของการแจ้งความยินยอม (Informed Consent) ตามแนวคิดของ Beauchamp และ Childress หลักการนี้ระบุว่าผู้ป่วยควรได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน ถูกต้อง และเข้าใจได้เกี่ยวกับความเสี่ยง ประโยชน์ และความไม่แน่นอนของการบำบัด เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมีอิสระ การตลาดโดยตรงสู่ผู้บริโภคสำหรับการบำบัดที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์มักจะนำเสนอข้อมูลที่อาจคลาดเคลื่อนหรือไม่ครบถ้วน ส่งผลให้กระบวนการแจ้งความยินยอมถูกบั่นทอน และเป็นการท้าทายหลักจริยธรรมในด้านนี้โดยตรง

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

14


คุณลักษณะหลักใดที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการพิสูจน์ตามมาตรฐานกฎระเบียบ

การอนุญาตก่อนการตลาดโดยหน่วยงานกำกับดูแล

การอนุญาตก่อนการตลาดโดยหน่วยงานกำกับดูแล เช่น FDA หรือ EMA ทั้งนี้ล้วนเป็นคุณลักษณะหลักที่ทำให้ผลิตภัณฑ์การบำบัดด้วยเซลล์และยีน (CGT) ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ตามมาตรฐานกฎระเบียบ ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพิสูจน์จะต้องผ่านกระบวนการอนุมัติอย่างเข้มงวดโดยหน่วยงานกำกับดูแลที่รับผิดชอบ ซึ่งจะมีการประเมินทั้งด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพก่อนที่ผลิตภัณฑ์จะสามารถวางจำหน่ายในตลาดได้ ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์อาจไม่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล หรืออาจไม่ได้ผ่านการทดสอบที่เพียงพอ

ทฤษฎีหลักที่อ้างอิงในคำตอบนี้คือ “Regulatory Science” หรือ วิทยาศาสตร์การกำกับดูแล ซึ่งมุ่งเน้นไปที่กระบวนการตรวจสอบและอนุมัติผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่สามารถใช้ได้ในตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของการบำบัดด้วยเซลล์และยีน (CGT) ที่จะต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล เช่น FDA หรือ EMA การอนุญาตก่อนการตลาดเป็นการยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ได้ผ่านการทดสอบทั้งด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ตามมาตรฐานเหล่านี้

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

15


ข้อใดต่อไปนี้เป็นความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ซึ่งเน้นไว้ในบทความ

ศักยภาพของความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ร้ายแรง

ในบทความที่กล่าวถึงผลิตภัณฑ์การบำบัดด้วยเซลล์และยีน (CGT) ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจมีศักยภาพของความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ร้ายแรง เนื่องจากยังไม่ได้ผ่านการทดสอบที่เพียงพอในด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถนำไปสู่ผลข้างเคียงที่ไม่คาดคิดหรือผลกระทบต่อสุขภาพที่อาจรุนแรงได้ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์อาจทำให้ผู้ใช้เสี่ยงต่ออันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้

จากที่บทความ “International Society for Cell & Gene Therapy Position Paper” ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงจากการใช้ผลิตภัณฑ์บำบัดด้วยเซลล์และยีนที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงที่ร้ายแรงได้ เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักไม่ได้ผ่านการทดสอบทางวิทยาศาสตร์หรือการตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง FDA หรือ EMA ดังนั้นการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจทำให้เกิดผลกระทบด้านสุขภาพที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ และอาจส่งผลเสียหายรุนแรงต่อผู้ป่วยที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิภาพอย่างเพียงพอ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

16


ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ลักษณะทั่วไปของผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ตามที่กล่าวไว้ในบทความ

การอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่สำคัญ

เนื่องจากผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์มักจะไม่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่สำคัญ เช่น FDA หรือ EMA ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยังไม่สามารถถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพิสูจน์ในด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ. ในขณะที่ลักษณะอื่น ๆ เช่น เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่ชัดเจน, ขาดข้อมูลก่อนคลินิก, การตลาดตามคำรับรองของผู้ป่วย และค่ารักษาผู้ป่วยสูงเป็นลักษณะที่มักพบในผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์

จากทฤษฎีหลักของการอนุมัติทางการแพทย์ (Regulatory Approval Theory) ซึ่งเน้นถึงการอนุมัติผลิตภัณฑ์จากหน่วยงานกำกับดูแล เช่น องค์การอาหารและยาของแต่ละประเทศ โดยกระบวนการอนุมัติจะต้องผ่านการทดสอบและศึกษาความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และผลข้างเคียงของผลิตภัณฑ์ ซึ่งไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากผลิตภัณฑ์นั้นยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์หรือข้อมูลที่เหมาะสม ดังนั้น การอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่สำคัญ จึงไม่ใช่ลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ตามที่กล่าวไว้ในบทความ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

17


หน่วยงานกำกับดูแลเช่น FDA และ EMA จะรับรองความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ CGT ได้อย่างไร

โดยต้องมีการทดลองทางคลินิกก่อนการตลาดอย่างเข้มงวด

สาเหตุหลักคือเพื่อรับรองความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์โดยการทดสอบในมนุษย์ การทดลองทางคลินิกช่วยประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ เช่น ผลข้างเคียงที่อาจมีระยะยาว และยืนยันว่าผลิตภัณฑ์สามารถรักษาหรือบำบัดโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยให้ข้อมูลที่สำคัญในการใช้ผลิตภัณฑ์ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย เช่น ขนาดยาที่เหมาะสมและวิธีการใช้ที่ดีที่สุด การดำเนินการทดลองนี้จึงเป็นกระบวนการสำคัญในการป้องกันการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจไม่ปลอดภัยหรือไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง

ทฤษฎีหลักของการอนุมัติทางการแพทย์ (Regulatory Approval Theory) ซึ่งเน้นถึงกระบวนการที่หน่วยงานกำกับดูแล เช่น FDA และ EMA ใช้ในการตรวจสอบและรับรองความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนและเสี่ยงสูงอย่าง CGT การทดสอบทางคลินิกก่อนการตลาดเป็นขั้นตอนที่สำคัญในกระบวนการนี้เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นปลอดภัยและได้ผลจริงตามที่ออกแบบ ซึ่งเป็นการป้องกันความเสี่ยงและลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ​

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

18


เป้าหมายหลักของ ISCT ในด้านการบำบัดด้วยเซลล์และยีนตามที่กล่าวไว้ในบทความคืออะไร

เพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์และต่อต้านผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการพิสูจน์

เนื่องจากการบำบัดด้วยเซลล์และยีนเป็นการรักษาที่มีความซับซ้อนและอาจมีผลข้างเคียงที่ไม่คาดคิด หากไม่มีการพิสูจน์ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นอาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย และอาจทำให้เกิดผลเสียในระยะยาวได้ การสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการศึกษาทางคลินิกและมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือเป็นการรับประกันว่าผู้ป่วยจะได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด อีกทั้งยังช่วยป้องกันการใช้งานผลิตภัณฑ์ที่อาจเป็นอันตรายหรือไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง โดย ISCT มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถปรับใช้ได้ในทางการแพทย์อย่างจริงจังและได้รับการยอมรับจากหน่วยงานกำกับดูแลระดับสากล

ข้าพเจ้าใช้ทฤษฎีหลักของหลักฐานเชิงประจักษ์ (Evidence-Based Medicine, EBM) ซึ่งเน้นการใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีความน่าเชื่อถือและได้รับการพิสูจน์จากการศึกษาทางคลินิกเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจทางการแพทย์ การให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์หมายถึงการเลือกใช้การบำบัดที่มีข้อมูลที่ได้รับการทดสอบและตรวจสอบแล้วเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกัน การต่อต้านผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่มีการพิสูจน์ก็เป็นการปกป้องผู้ป่วยจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจมีอันตรายหรือไม่สามารถรักษาได้ตามที่อ้างอิง

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

19


อะไรคือผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นสำหรับผู้ป่วยที่ใช้ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์?

ความเสี่ยงต่อผลกระทบร้ายแรง

เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อาจไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพ การใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจนำไปสู่ผลข้างเคียงที่ไม่คาดคิดหรือไม่สามารถรักษาผลลัพธ์ที่ต้องการได้ และอาจส่งผลให้เกิดอันตรายหรือผลกระทบที่ร้ายแรงต่อสุขภาพของผู้ป่วย

ข้าพเจ้าใช้ทฤษฎีหลักของความปลอดภัยและความเสี่ยง (Risk Management Theory) ซึ่งมุ่งเน้นการประเมินและจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ การใช้ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์อาจเสี่ยงต่อผลกระทบร้ายแรง เนื่องจากขาดข้อมูลที่เพียงพอเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ดังนั้นทฤษฎีนี้จะช่วยให้เข้าใจถึงความสำคัญในการประเมินและควบคุมความเสี่ยงเพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการทดสอบและตรวจสอบอย่างถูกต้อง

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

20


ISCT มีบทบาทอย่างไรในบริบทของการบำบัดเซลล์และยีน

ต่อต้านการค้าขายก่อนกำหนดของการรักษาที่ไม่ได้รับการพิสูจน์

เนื่องจากการบำบัดด้วยเซลล์และยีนเป็นการรักษาที่มีความซับซ้อนและสามารถมีผลข้างเคียงหรือความเสี่ยงที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้หากไม่มีการทดสอบอย่างละเอียดและพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ การค้าขายผลิตภัณฑ์ CGT ก่อนที่จะได้รับการพิสูจน์และการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล เช่น FDA หรือ EMA อาจนำไปสู่การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงต่อผู้ป่วยได้ ดังนั้น ISCT จึงมีบทบาทในการส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการวิจัยและการทดสอบที่เป็นมาตรฐาน เพื่อให้แน่ใจว่าเทคโนโลยีบำบัดเหล่านี้มีความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่ยืนยันได้ ก่อนที่จะนำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยจริง การทำเช่นนี้ช่วยป้องกันความเสี่ยงและลดโอกาสในการเกิดปัญหาที่อาจมีผลเสียต่อผู้ป่วยในอนาคต

ข้าพเจ้าใช้ทฤษฎีหลักของการบริหารความเสี่ยง (Risk Management Theory)ในการอ้างอิง ซึ่งเน้นการระบุและจัดการกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ การบำบัดด้วยเซลล์และยีนมีความซับซ้อนและอาจเกิดผลข้างเคียงที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ หากไม่มีการทดสอบและพิสูจน์อย่างเพียงพอ การค้าขายก่อนกำหนดของผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการอนุมัติสามารถเสี่ยงต่อการนำไปสู่ผลกระทบที่ร้ายแรงต่อผู้ป่วย ทฤษฎีนี้จึงอธิบายถึงการปกป้องผู้ป่วยจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นโดยการยืนหยัดในการสนับสนุนการวิจัยและการพิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ก่อนที่จะนำมาใช้จริง

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

ผลคะแนน 113 เต็ม 140

แท๊ก หลักคิด
แท๊ก อธิบาย
แท๊ก ภาษา