ตรวจข้อสอบ > ปวรปรัชญ์ เอี่ยมมงคลสกุล > การแข่งขันและทดสอบความถนัดทางการแพทย์ | ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย > Part 1 > ตรวจ

ใช้เวลาสอบ 18 นาที

Back

# คำถาม คำตอบ ถูก / ผิด สาเหตุ/ขยายความ ทฤษฎีหลักคิด/อ้างอิงในการตอบ คะแนนเต็ม ให้คะแนน
1


ข้อใดต่อไปนี้อธิบายแนวคิด การรับรู้จังหวะ (Beat Perception) ได้ดีที่สุดเนื่องจากเกี่ยวข้องกับความสามารถในการได้ยินของทารกแรกเกิด

การแยกจังหวะที่สม่ำเสมอจากลำดับเสียง

เพราะ เวลาทารกได้ยินดนตรีที่มีจังหวะกระชับรวดเร็วทำให้เด็กคึกคักสนใจ และดนตรีที่มีจังหวะช้าเด็กจะไม่ค่อยสนใจเพราะว่าอาจจะต้องใช้สมาธิในการฟังซึ่งมันแตกต่าง จากการแยกแยะเครื่องดนตรี เพราะว่าเครื่องดนตรีแต่ละชนิดมีเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองซึ่งทารกยังไม่สามารถแยกแยะได้

ทฤษฎีการรับรู้เสียงของทกล่าวว่า ทารกที่เพิ่งเกิดมาสามารถรับรู้เสียง จังหวะได้อย่างมีประสิทธิภาพถึงพวกเขาจะไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาและความหมายของเสียงได้แต่พวกเขาสามารถรู้ลักษณะพื้นฐานของเสียงเช่นความถี่จังหวะได้ชัดเจนเพราะฉะนั้นจึงบ่งบอกได้ว่าทารกสามารถแยกแยะจังหวะที่มีความสม่ำเสมอจากลำดับเสียงได้ตั้งแต่ แรกเกิดารก (Infant Auditory Perception Theory)

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

2


จากการวิจัย ทารกแรกเกิดใช้วิธีทดลองตามข้อใดในการแยกแยะการรับรู้จังหวะจากการเรียนรู้ทางสถิติในทารกแรกเกิด

การติดตามการทำงานของสมองโดยใช้ EEG ในระหว่างการกระตุ้นการได้ยิน

การวิจัยนี้มักใช้ EEG เพื่อวัดการตอบสนอง ของสมองของทารกต่อการกระตุ้นทางเสียงเช่นการเล่น เสียงที่มีจังหวะและการเปลี่ยนแปลงของจังหวะซึ่งช่วยให้เราสามารถวัดได้ว่าทารกตอบสนองและรับรู้ ถึงการเปลี่ยนแปลงในจังหวะของเสียงได้หรือไม่เพราะว่าวิธีนี้สามารถวัดกิจกรรมทางสมองที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลจังหวะและการเรียนรู้ทางสถิติโดยตรงโดยไม่ต้องให้ทารกแรกเกิดขยับร่างกายหรือว่าตอบสนองแบบอื่นได้เพราะในทารกแรกเกิดอาจจะยังไม่สามารถตอบสนองได้อย่างเต็มที่

ทฤษฎีการรับรู้การกระตุ้นทางเสียง (Auditory Stimulation Theory) ทฤษฎีนี้เกี่ยวข้องกับการที่สมองตอบสนองต่อเสียงที่ได้ยิน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงในจังหวะของเสียง ทารกแรกเกิดสามารถรับรู้และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในลำดับเสียง (เช่น การเปลี่ยนแปลงจังหวะในเพลงหรือเสียงที่มีการกระตุ้น) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า สมองของทารกมีความสามารถในการประมวลผลการเปลี่ยนแปลงของเสียงและจังหวะได้ตั้งแต่ช่วงแรกเกิด การใช้ EEG เป็นเครื่องมือในการศึกษาเหล่านี้ช่วยให้นักวิจัยสามารถเห็นกิจกรรมทางสมองที่เกิดขึ้นในขณะทารกได้รับการกระตุ้นด้วยเสียง

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

3


การตอบสนองที่ไม่ตรงกัน (MMR) ในการศึกษา EEG บ่งชี้อะไรเกี่ยวกับการประมวลผลการได้ยินของทารกแรกเกิด

ความไวต่อการละเมิดความสม่ำเสมอในลำดับเสียง

เนื่องจาก MMR คือการตอบสนองของสมองที่เกิดจากการรับรู้ความผิดปกติในลำดับเสียง โดยทารกแรกเกิดสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในจังหวะหรือเสียงที่ผิดปกติจากลำดับที่คาดหวังได้ การวิจัยทาง EEG ช่วยแสดงให้เห็นการประมวลผลนี้ในสมองของทารกอย่างชัดเจน

ทฤษฎีการพัฒนาเชิงประสาทสัมผัส (Sensory Development Theory) ทฤษฎีการพัฒนาเชิงประสาทสัมผัสกล่าวถึงการที่ทารกพัฒนาความสามารถในการรับรู้และประมวลผลสิ่งเร้าต่างๆ ตั้งแต่ช่วงแรกของชีวิต ทารกเริ่มรับรู้เสียงและจังหวะจากสิ่งแวดล้อม และเมื่อมีการละเมิดหรือเปลี่ยนแปลงในลำดับเสียงที่คาดหวัง สมองจะตอบสนองโดยการกระตุ้นการตอบสนองทางไฟฟ้า (MMR) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถของทารกในการตรวจจับความผิดปกติในลำดับเสียงได้ตั้งแต่เริ่มต้น

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

4


คำว่า "การเรียนรู้ทางสถิติ (Statistical Learning)" หมายถึงอะไรในบริบทของการประมวลผลการได้ยินในทารกแรกเกิด?

การแยกความสม่ำเสมอออกจากลำดับของเสียงโดยไม่มีการตอบรับที่ชัดเจน

การตอบสนองที่ไม่ต้องการการแสดงออกที่ชัดเจนจากทารก แต่เป็นการรับรู้และประมวลผลโดยสมองของทารกเอง เป็นลักษณะสำคัญของ การเรียนรู้ทางสถิติ ซึ่งทารกจะเรียนรู้จากการสัมผัสกับลำดับเสียงที่มีความสม่ำเสมอ และสามารถแยกแยะการเปลี่ยนแปลงในเสียงที่ผิดปกติได้จากกระบวนการนี้

ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสถิติ (Statistical Learning Theory) ทฤษฎีนี้อธิบายว่า การเรียนรู้ทางสถิติ เป็นกระบวนการที่สมองสามารถจับและเรียนรู้รูปแบบจากข้อมูลที่ได้รับในรูปแบบซ้ำๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีการให้คำแนะนำหรือการตอบสนองจากภายนอก ทารกสามารถจับรูปแบบที่สม่ำเสมอจากสิ่งแวดล้อม เช่น เสียงหรือจังหวะที่เกิดขึ้นบ่อยๆ และใช้ข้อมูลนี้ในการคาดเดาเสียงในอนาคต ตัวอย่างเช่น การเรียนรู้จังหวะที่มีความสม่ำเสมอหรือเสียงที่มีความถี่ซ้ำๆ ซึ่งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดหวังเกิดขึ้น (เช่น เสียงที่แตกต่างออกไปจากลำดับที่คาดหมาย) สมองของทารกจะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงนั้น

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

5


สภาวะใดในการศึกษา EEG ไม่ได้ส่งผลให้เกิดความแตกต่างระหว่างการตอบสนองแบบจังหวะและการตอบสนองที่ผิดปกติในทารกแรกเกิด

สภาพความเงียบ

สภาพความเงียบ ไม่มีสิ่งเร้าเสียง ดังนั้นการตอบสนองของสมอง (EEG) ของทารกจึงไม่สามารถแยกแยะระหว่างการตอบสนองที่เป็นระเบียบกับการตอบสนองที่ผิดปกติได้ เนื่องจากไม่มีการกระตุ้นเสียงที่เกิดขึ้นในการทดลอง

ทฤษฎีการรับรู้เสียงและการประมวลผลของสมอง (Auditory Processing Theory) ทฤษฎีนี้อธิบายถึงการที่สมองของทารกสามารถรับรู้และประมวลผลเสียงจากสิ่งแวดล้อม โดยจะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในลำดับเสียงหรือจังหวะที่มีความผิดปกติเมื่อมีการกระตุ้นทางเสียงที่ชัดเจน ในกรณีของ "สภาพความเงียบ" ที่ไม่มีสิ่งเร้าเสียงสมองของทารกจะไม่ได้รับการกระตุ้นและจึงไม่มีการตอบสนองที่แยกแยะระหว่างเสียงที่คาดหวังและเสียงที่ผิดปกติ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

6


กลไกทางประสาทใดที่คิดว่ารองรับการเคลื่อนไหวให้ตรงกันกับจังหวะ

การเปิดใช้งานกระจกเซลล์ประสาท

กระจกเซลล์ประสาท (Mirror Neurons) เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถเลียนแบบและประสานการเคลื่อนไหวให้ตรงกับจังหวะที่เราเห็นหรือได้ยิน เนื่องจากกระจกเซลล์ประสาทมีบทบาทในการตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของผู้อื่น ซึ่งทำให้เราเข้าใจและสามารถเลียนแบบการกระทำเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทฤษฎีการทำงานของกระจกเซลล์ประสาท (Mirror Neuron Theory) กระจกเซลล์ประสาทเป็นเซลล์ประสาทในสมองที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เราสามารถเลียนแบบพฤติกรรมของผู้อื่นได้ โดยกระจกเซลล์ประสาทจะถูกกระตุ้นเมื่อเราทำการเคลื่อนไหวเอง หรือเมื่อเราเห็นผู้อื่นทำการเคลื่อนไหวแบบเดียวกัน ด้วยกลไกนี้ กระจกเซลล์ประสาทจึงช่วยให้เราประสานการเคลื่อนไหวของร่างกายให้ตรงกับจังหวะที่ได้ยินหรือเห็น ตัวอย่างเช่น การเต้นตามจังหวะของเพลง การเลียนแบบการเคลื่อนไหวหรือท่าทางของคนอื่น เป็นต้น

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

7


การรับรู้จังหวะในทารกแรกเกิดสัมพันธ์กับความสามารถทางดนตรีในภายหลังอย่างไร

เป็นพื้นฐานในการพัฒนาการประสานงานจังหวะและเวลา

การรับรู้จังหวะในทารกแรกเกิดนั้นมีผลต่อการพัฒนาทักษะทางดนตรีในอนาคต เพราะมันสร้างพื้นฐานของการประสานงานระหว่างการเคลื่อนไหวและการรับรู้จังหวะที่จำเป็นในการเล่นดนตรีและการร้องเพลงในภายหลัง

ทฤษฎีการพัฒนาทักษะการประสานงานทางจังหวะ (Rhythm and Motor Coordination Theory): การพัฒนาทักษะการรับรู้จังหวะในทารกแรกเกิดมีบทบาทสำคัญในการสร้างพื้นฐานของการประสานงานระหว่างการเคลื่อนไหวและการรับรู้จังหวะ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในการเล่นเครื่องดนตรี การร้องเพลง หรือการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่ต้องใช้จังหวะ ทฤษฎีนี้อธิบายว่าเด็กที่สามารถรับรู้จังหวะได้จะสามารถพัฒนาทักษะในการควบคุมการเคลื่อนไหวให้ตรงกับจังหวะได้ดียิ่งขึ้นในอนาคต

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

8


ภาวะที่ไม่ต่อเนื่องในการศึกษาทางการได้ยินมักเกี่ยวข้องกับอะไร?

ช่วงเวลาสุ่มระหว่างเสียง

ช่วงเวลาสุ่มระหว่างเสียง การรับรู้จังหวะและเสียงจะไม่สม่ำเสมอ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในกระบวนการการได้ยิน ซึ่งมีผลต่อการประมวลผลข้อมูลเสียงในสมองและอาจส่งผลให้ไม่สามารถรับรู้จังหวะหรือเสียงได้ตามปกติ

ทฤษฎีการรับรู้จังหวะ (Rhythm Perception Theory) ทฤษฎี: ทฤษฎีนี้กล่าวถึงการที่สมองรับรู้และประมวลผลจังหวะจากการจัดเรียงของเสียงที่มีความสม่ำเสมอ การรับรู้จังหวะที่มีความต่อเนื่องจะช่วยให้สมองสามารถจับจังหวะได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากเสียงมีช่วงเวลาสุ่มระหว่างกัน สมองจะไม่สามารถสร้างลำดับของจังหวะได้ ซึ่งส่งผลต่อการรับรู้เสียงและการตอบสนองที่ไม่ต่อเนื่อง

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

9


จุดประสงค์หลักของการใช้ EEG ในการศึกษาการประมวลผลการได้ยินในทารกแรกเกิดคืออะไร

บันทึกการตอบสนองของสมองต่อเสียง

EEG ใช้เพื่อ บันทึกการตอบสนองของสมองต่อเสียง โดยสามารถวัดกิจกรรมไฟฟ้าของสมองที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลเสียงในทารกแรกเกิดได้อย่างแม่นยำ ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจถึงกระบวนการทางประสาทที่เกิดขึ้นในสมองขณะทารกรับฟังเสียงต่างๆ

ทฤษฎีการพัฒนาการประมวลผลการได้ยินในทารก (Infant Auditory Development Theory) ทฤษฎี: ทฤษฎีนี้มุ่งเน้นการศึกษาพัฒนาการของการประมวลผลเสียงในทารกแรกเกิด ซึ่งสมองของทารกมีความสามารถในการแยกแยะและประมวลผลเสียงตั้งแต่แรกเกิด การใช้ EEG ทำให้สามารถศึกษาการพัฒนานี้ได้จากการตอบสนองของสมองต่อเสียง

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

10


คุณลักษณะการได้ยินใดที่ไม่ได้รับการศึกษาโดยตรงในการวิจัยการประมวลผลการได้ยินของทารกแรกเกิด

ความเข้าใจภาษา

การศึกษาเกี่ยวกับการประมวลผลการได้ยินในทารกมักเน้นที่การรับรู้เสียงพื้นฐานและกระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้เสียง เช่น การเรียนรู้ทางสถิติและการรับรู้จังหวะ แต่ ความเข้าใจภาษา ยังไม่สามารถศึกษาได้โดยตรงในทารกแรกเกิด เนื่องจากทารกยังไม่สามารถเข้าใจหรือแปลความหมายของคำได้ในช่วงเวลานั้น

ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสถิติ (Statistical Learning Theory) ทฤษฎี: ทฤษฎีนี้อธิบายถึงการที่ทารกเรียนรู้รูปแบบจากข้อมูลเสียงที่พวกเขาได้รับในสิ่งแวดล้อม โดยทารกสามารถจับความสัมพันธ์ทางสถิติจากจังหวะหรือการเกิดซ้ำของเสียง การเรียนรู้เหล่านี้ช่วยให้ทารกสามารถแยกแยะเสียงและทำความเข้าใจกับสิ่งเร้าที่พวกเขาได้ยินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

11


คำใดที่ใช้อธิบายลักษณะที่ปรากฏของความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ซึ่งใช้ในการตลาดการบำบัดด้วยเซลล์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์

สัญลักษณ์แห่งความชอบธรรมทางวิทยาศาสตร์

"สัญลักษณ์แห่งความชอบธรรมทางวิทยาศาสตร์" ใช้อธิบายถึงการใช้ภาพลักษณ์หรือคำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ในการตลาดเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์หรือการบำบัดดูน่าเชื่อถือ แม้ว่าจะยังไม่ได้รับการพิสูจน์หรือรับรองจากการทดลองวิจัยหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง.

ทฤษฎีการตลาดที่ใช้ภาพลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ (Marketing with Scientific Image Theory): ทฤษฎีนี้กล่าวถึงการใช้ภาพลักษณ์หรือการนำเสนอที่ทำให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการดูเหมือนมีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เพื่อดึงดูดความสนใจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค แม้ว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นอาจยังไม่ได้รับการพิสูจน์หรือรับรองทางวิทยาศาสตร์

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

12


จากบทความ ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่กลไกการรายงานที่ได้รับการยอมรับสำหรับผลข้างเคียงจากการบำบัดด้วยเซลล์และยีน

หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค

หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค (Consumer Protection Agency) เน้นการปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของผู้บริโภคในด้านต่างๆ เช่น การป้องกันการหลอกลวง การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และการรับประกันสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพ แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการติดตามหรือรายงานผลข้างเคียงที่เกิดจากการบำบัดด้วยเซลล์และยีน

ทฤษฎีที่ใช้ในการตอบคำถามนี้คือ แนวคิดเรื่องการกำกับดูแลด้านความปลอดภัยและการควบคุมมาตรฐานในผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ซึ่งมุ่งเน้นให้มีการรายงานและติดตามผลข้างเคียงจากการใช้ยาและการรักษา เพื่อคุ้มครองผู้ป่วยและให้ข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ในการพัฒนานโยบายและการบำบัดในอนาคต

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

13


การพิจารณาด้านจริยธรรมประการใดที่ถูกท้าทายโดยการตลาดโดยตรงสู่ผู้บริโภคสำหรับการบำบัดด้วยเซลล์และยีนที่ไม่ได้รับการพิสูจน์

กระบวนการแจ้งความยินยอม

กระบวนการแจ้งความยินยอม เป็นกระบวนการที่สำคัญในการให้ข้อมูลแก่ผู้ป่วยหรือผู้ที่เข้ารับการรักษาเพื่อให้พวกเขาสามารถตัดสินใจได้โดยมีความรู้และความเข้าใจอย่างเต็มที่เกี่ยวกับความเสี่ยงและผลลัพธ์จากการรักษานั้นๆ การตลาดโดยตรงที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ทำให้กระบวนการนี้ได้รับการท้าทายอย่างรุนแรง เนื่องจากข้อมูลที่ให้มาอาจไม่เพียงพอหรือไม่ถูกต้อง

ทฤษฎีทางจริยธรรมในการดูแลสุขภาพมักเน้นความสำคัญของ การให้ข้อมูลอย่างโปร่งใส และ การเคารพสิทธิในการตัดสินใจของผู้ป่วย (Autonomy) โดยกระบวนการแจ้งความยินยอม (Informed Consent) เป็นเครื่องมือหลักในการรับรองว่าแต่ละคนมีความเข้าใจที่เพียงพอเกี่ยวกับการรักษาที่จะได้รับ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

14


คุณลักษณะหลักใดที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการพิสูจน์ตามมาตรฐานกฎระเบียบ

การอนุญาตก่อนการตลาดโดยหน่วยงานกำกับดูแล

ต้นทุนการรักษาที่ลดลง: แม้ว่าต้นทุนการรักษาอาจมีผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์ แต่ไม่ใช่คุณลักษณะหลักที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ได้รับการพิสูจน์

กระบวนการอนุมัติผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์โดยหน่วยงานกำกับดูแล เช่น FDA หรือ EMA ถือเป็นมาตรฐานที่สำคัญในการรับรองว่าผลิตภัณฑ์นั้นผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ก่อนที่จะสามารถนำออกจำหน่ายแก่ผู้บริโภค (Regulatory Approval).

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

15


ข้อใดต่อไปนี้เป็นความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ซึ่งเน้นไว้ในบทความ

ศักยภาพของความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ร้ายแรง

1.ประสิทธิภาพการรักษาสูง: ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์มักจะไม่มีข้อมูลที่ยืนยันถึงประสิทธิภาพที่สูง เนื่องจากขาดการทดสอบอย่างเป็นทางการ 2.ต้นทุนลดลงเมื่อเทียบกับการรักษาแบบเดิมๆ: การลดต้นทุนอาจเป็นข้อดีในการรักษา แต่ไม่ใช่ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์

การทดสอบผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ผ่านกระบวนการทางกฎระเบียบจากหน่วยงานต่างๆ เช่น FDA หรือ EMA เป็นขั้นตอนที่สำคัญเพื่อรับรองความปลอดภัย และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

16


ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ลักษณะทั่วไปของผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ตามที่กล่าวไว้ในบทความ

การอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่สำคัญ

1.ค่ารักษาผู้ป่วยสูง: ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์มักมีราคาสูงเนื่องจากการพัฒนาและการผลิตที่ไม่ผ่านการควบคุมอย่างเคร่งครัด 2.เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่ชัดเจน: ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์มักขาดการศึกษาและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนเพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัย

การอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่สำคัญเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการวิจัยทางคลินิกที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในการรับรองความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ก่อนการวางตลาด (Regulatory Approval Process).

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

17


หน่วยงานกำกับดูแลเช่น FDA และ EMA จะรับรองความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ CGT ได้อย่างไร

โดยต้องมีการทดลองทางคลินิกก่อนการตลาดอย่างเข้มงวด

การดำเนินการทดลองทางคลินิกที่เป็นอิสระ: การทดลองทางคลินิกที่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการวิจัยที่จำเป็นเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ CGT ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล

หน่วยงานกำกับดูแลอย่าง FDA และ EMA จะอนุมัติผลิตภัณฑ์ CGT ผ่านกระบวนการทางคลินิกที่ครอบคลุมและเข้มงวด โดยการทดลองเหล่านี้จะต้องได้รับการประเมินจากคณะกรรมการทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ เพื่อรับรองความปลอดภัยและประสิทธิภาพ (Regulatory Approval Process).

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

18


เป้าหมายหลักของ ISCT ในด้านการบำบัดด้วยเซลล์และยีนตามที่กล่าวไว้ในบทความคืออะไร

เพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์และต่อต้านผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการพิสูจน์

เพื่อส่งเสริมการประยุกต์ใช้ทางคลินิกที่เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้: แม้จะเป็นการสนับสนุนให้การบำบัดถูกนำไปใช้เร็วที่สุด แต่ ISCT เน้นให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่ได้รับการพิสูจน์ด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ก่อน

ISCT ส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่งผ่านการศึกษาและการวิจัยทางคลินิก ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่สามารถรับประกันความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการบำบัดด้วยเซลล์และยีนได้ (Scientific Evidence and Approval Process).

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

19


อะไรคือผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นสำหรับผู้ป่วยที่ใช้ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์?

ความเสี่ยงต่อผลกระทบร้ายแรง

รับประกันการฟื้นตัว: ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ไม่สามารถรับประกันการฟื้นตัวได้ เนื่องจากไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย

การใช้ผลิตภัณฑ์ CGT ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์อาจเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ โดยการพิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิภาพผ่านการทดสอบทางคลินิกเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ (Scientific Evidence and Regulatory Standards).

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

20


ISCT มีบทบาทอย่างไรในบริบทของการบำบัดเซลล์และยีน

ต่อต้านการค้าขายก่อนกำหนดของการรักษาที่ไม่ได้รับการพิสูจน์

รับรองการบำบัดด้วยเซลล์และยีนทุกประเภทโดยไม่ต้องมีการตรวจสอบ: ISCT สนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการตรวจสอบและพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพ

ISCT ให้การสนับสนุนวิธีการที่มีหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์ที่มั่นคงและต่อต้านการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์จากการทดลองทางคลินิก ซึ่งเป็นการปกป้องผู้ป่วยจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการทดสอบอย่างเพียงพอ.

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

ผลคะแนน 108.1 เต็ม 140

แท๊ก หลักคิด
แท๊ก อธิบาย
แท๊ก ภาษา