ตรวจข้อสอบ > กันต์สินี กาญจน์วรกุล > ชีววิทยาเชิงวิทยาศาสตร์การแพทย์ | Biology in Medical Science > Part 1 > ตรวจ

ใช้เวลาสอบ 3 นาที

Back

# คำถาม คำตอบ ถูก / ผิด สาเหตุ/ขยายความ ทฤษฎีหลักคิด/อ้างอิงในการตอบ คะแนนเต็ม ให้คะแนน
1


What is the primary goal of contact tracing in public health?

To stop the spread of diseases by identifying and informing contacts

Protecting public health It ensures that exposed individuals receive proper guidance, reducing the overall burden of the disease on the community.

หลักคิดของ Contact Tracing มีพื้นฐานมาจาก ทฤษฎีการควบคุมโรคติดต่อ (Infectious Disease Control Theory) ซึ่งเน้นการระงับการแพร่กระจายของเชื้อโดยการระบุและตัดวงจรการติดเชื้อระหว่างบุคคล หลักทฤษฎีสำคัญ ได้แก่: 1. Chain of Infection (ห่วงโซ่การติดเชื้อ): การติดเชื้อเกิดจากแหล่งเชื้อ (Source), เส้นทางการแพร่เชื้อ (Mode of Transmission) และโฮสต์ที่รับเชื้อ (Susceptible Host) • การติดตามผู้สัมผัสมุ่งเน้นการหยุด “เส้นทางการแพร่เชื้อ” โดยการแจ้งเตือนและแยกผู้ที่มีความเสี่ยงสูง 2. R₀ (Basic Reproductive Number): • เป้าหมายคือการลดค่า R₀ ซึ่งหมายถึงจำนวนเฉลี่ยของคนที่ผู้ติดเชื้อหนึ่งคนสามารถแพร่เชื้อได้ • การติดตามผู้สัมผัสและการกักตัวช่วยลดการแพร่กระจายจากผู้ติดเชื้อไปยังผู้อื่น 3. Herd Immunity and Prevention: • แม้การติดตามผู้สัมผัสไม่เพิ่มภูมิคุ้มกันโดยตรง แต่ช่วยลดจำนวนผู้ป่วยรายใหม่จนระบบสาธารณสุขสามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4. Precautionary Principle (หลักการป้องกันไว้ก่อน): • ดำเนินการระบุตัวผู้สัมผัสและป้องกันแม้ยังไม่มีอาการเพื่อหยุดยั้งโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ดังนั้น การติดตามผู้สัมผัสเป็นกระบวนการที่ใช้หลักวิทยาศาสตร์และระบาดวิทยาเพื่อลดผลกระทบของโรคต่อสังคม.

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

2


During the COVID-19 pandemic, what was one main reason people were motivated to isolate themselves after testing positive?

To avoid infecting others, particularly vulnerable populations

1. Protecting high-risk individuals: COVID-19 posed severe risks to vulnerable groups, such as the elderly and those with underlying health conditions. Isolating helped safeguard these populations from potentially life-threatening complications. 2. Breaking the chain of transmission: By isolating, individuals reduced the chance of spreading the virus to others, helping to slow community transmission and control outbreaks. 3. Public health recommendations: Authorities and health organizations emphasized isolation as a critical measure to prevent the virus from spreading to households, workplaces, and public spaces. 4. Social responsibility: Many people were motivated by a sense of duty to protect their communities and contribute to efforts to contain the pandemic.

1. Germ Theory of Disease: • Germ theory underpins the understanding that infectious diseases are caused by microorganisms. Isolation helps interrupt the transmission of these pathogens from infected individuals to others. 2. Chain of Infection Theory: • Isolation targets the “mode of transmission” link in the chain, preventing the spread of the virus to susceptible hosts, particularly those most vulnerable.

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

3


What method was commonly used for focus group discussions in the study on COVID-19 contact tracing?

Virtual, synchronous meetings

1. Safety during the pandemic: • In-person gatherings were discouraged or restricted to prevent the spread of COVID-19. Virtual meetings provided a safe alternative that complied with public health guidelines. 2. Real-time interaction: • Synchronous online platforms allowed participants to engage in live discussions, preserving the interactive and dynamic nature of traditional focus groups. 3. Accessibility: • Virtual meetings reduced barriers such as travel time, making it easier for participants from diverse geographic locations to join. 4. Technological advancements: • The widespread availability of video conferencing tools like Zoom and Microsoft Teams made virtual focus groups practical and efficient during the pandemic. 5. Continuity of research: • Virtual methods ensured that critical studies, like those on COVID-19 contact tracing, could proceed without interruption despite physical distancing requirements.

การใช้ การประชุมกลุ่มย่อยทางออนไลน์แบบซิงโครนัส (Virtual, Synchronous Meetings) ในการศึกษาในช่วงการระบาดของ COVID-19 มีพื้นฐานจากทฤษฎีหลักคิดหลายข้อ ได้แก่: 1. ทฤษฎีการกำหนดเทคโนโลยี (Technological Determinism): • ทฤษฎีนี้ชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในสังคมและการปฏิบัติต่าง ๆ ในกรณีนี้ เทคโนโลยีการประชุมทางวิดีโอช่วยให้สามารถปรับวิธีการสัมภาษณ์กลุ่มให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของการระบาด และยังคงสามารถเก็บข้อมูลได้อย่างต่อเนื่อง 2. ทฤษฎีการกระจายการประดิษฐ์ (Diffusion of Innovations Theory): • ทฤษฎีนี้อธิบายว่าการนำเทคโนโลยีหรือวิธีการใหม่ ๆ มาใช้จะได้รับการยอมรับอย่างไร ในช่วง COVID-19 การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการประชุมกลุ่มย่อยเป็นการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อให้สามารถทำการวิจัยได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ 3. แบบจำลองความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Belief Model, HBM): • HBM เน้นการรับรู้ถึงภัยคุกคามและประโยชน์ การใช้วิธีการออนไลน์ถูกเลือกเพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่เชื้อในขณะที่ยังสามารถดำเนินการวิจัยได้ ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่มีความรับผิดชอบในเชิงสุขภาพ 4. ทฤษฎีการสร้างความรู้ทางสังคม (Social Constructivism): • ทฤษฎีนี้เน้นการปฏิสัมพันธ์ในกระบวนการสร้างความรู้ การประชุมแบบออนไลน์ที่สามารถโต้ตอบได้ในเวลาจริงช่วยให้การสร้างความรู้ร่วมกันในกลุ่มผู้เข้าร่วมยังคงมีประสิทธิภาพ แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ห่างไกล 5. ทฤษฎีการจัดการวิกฤต (Crisis Management Theory): • ทฤษฎีนี้มุ่งเน้นที่การปรับกลยุทธ์ในสถานการณ์ฉุกเฉิน การย้ายไปใช้การประชุมออนไลน์สะท้อนถึงการตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อความท้าทายที่เกิดขึ้นจากการระบาดของ COVID-19 โดยยังคงสามารถดำเนินการวิจัยได้โดยไม่หยุดชะงัก

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

4


What factor did NOT influence the success of case investigation and contact tracing according to the article?

The color of the quarantine facilities

ปัจจัยอย่างการมีการตรวจเชื้อที่เพียงพอ, ความร่วมมือจากประชาชน และการเข้าถึงข้อมูลที่เชื่อถือได้มีผลโดยตรงต่อความเร็วและประสิทธิภาพในการติดตามผู้สัมผัสและการควบคุมการระบาด ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญในการจัดการโรค แม้ว่าแนวคิดทางการเมืองหรือความไว้วางใจในภาครัฐอาจมีผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการติดตามผู้สัมผัส แต่รายละเอียดทางสุนทรียะ เช่น สีของสถานที่กักตัวไม่มีผลต่อกระบวนการหรือความสำเร็จโดยตรง ดังนั้น สีของสถานที่กักตัวจึงไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญในการทำให้การสอบสวนคดีและการติดตามผู้สัมผัสประสบความสำเร็จในด้านสาธารณสุข

ทฤษฎีการควบคุมโรค (Disease Control Theory): • ทฤษฎีนี้มุ่งเน้นไปที่การควบคุมการแพร่กระจายของโรคโดยใช้ปัจจัยที่เกี่ยวข้องโดยตรง เช่น การตรวจหาเชื้อ การติดตามผู้สัมผัส และการแยกผู้ติดเชื้อออกจากสังคม ในขณะที่สีของสถานที่กักตัวไม่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการแพร่เชื้อหรือการจัดการโรคโดยตรง 2. ทฤษฎีการมีส่วนร่วมของประชาชน (Public Participation Theory): • การมีส่วนร่วมของประชาชน เช่น ความร่วมมือในการติดตามผู้สัมผัส เป็นปัจจัยสำคัญในการประสบความสำเร็จในการควบคุมโรค สีของสถานที่กักตัวไม่ได้มีผลกระทบทางจิตวิทยาหรือสังคมที่สำคัญพอที่จะทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น 3. ทฤษฎีการรับรู้ความเสี่ยง (Risk Perception Theory): • ทฤษฎีนี้กล่าวถึงการรับรู้ความเสี่ยงของประชาชนในการติดเชื้อและการแพร่กระจายของโรค ซึ่งได้รับอิทธิพลจากข้อมูลที่เชื่อถือได้และการตอบสนองจากผู้เกี่ยวข้อง การมีข้อมูลที่ชัดเจนและเชื่อถือได้มีผลต่อความสำเร็จในการติดตามผู้สัมผัส แต่สีของสถานที่กักตัวไม่ใช่ปัจจัยที่มีผลต่อการรับรู้ความเสี่ยง 4. ทฤษฎีการจัดการวิกฤต (Crisis Management Theory): • ทฤษฎีนี้มุ่งเน้นที่การตอบสนองต่อวิกฤตและการปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ การใช้วิธีการที่มีประสิทธิภาพ เช่น การตรวจหาเชื้อและการติดตามผู้สัมผัสเป็นการตอบสนองที่สำคัญในวิกฤตการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในขณะที่สีของสถานที่กักตัวไม่เกี่ยวข้องกับการจัดการวิกฤตนี้

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

5


Which demographic factor was reported to affect the experiences and behaviors of individuals regarding CI/CT?

Political ideology

ละการตอบสนองต่อการสอบสวนคดีและการติดตามผู้สัมผัสมีความสัมพันธ์กับความเชื่อทางการเมือง เช่น ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมในมาตรการของรัฐ หรือการยอมรับความสำคัญของมาตรการสาธารณสุขในการควบคุมการแพร่ระบาด 3. การสนับสนุนจากภาครัฐ: ความร่วมมือจากประชาชนในการติดตามผู้สัมผัสอาจได้รับผลกระทบจากความเชื่อทางการเมือง เช่น ผู้ที่มีแนวคิดทางการเมืองที่ไม่สนับสนุนมาตรการของรัฐบาลอาจแสดงท่าทีไม่ร่วมมือหรือมีความไม่ไว้วางใจในระบบ ดังนั้น “Political Ideology” จึงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดว่าผู้คนจะประสบกับการสอบสวนคดีและการติดตามผู้สัมผัสอย่างไร และพฤติกรรมของพวกเขาต่อการปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขจะได้รับผลกระทบจากทัศนคติทางการเมือง

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

6


What did participants report feeling after learning they were exposed to COVID-19?

Worry about their health and that of their contacts

1. ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพส่วนบุคคลและผู้อื่น: การได้รับข้อมูลว่าถูกสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ COVID-19 ทำให้หลายคนรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ตัวเองจะติดเชื้อ รวมถึงความกลัวที่จะส่งเชื้อให้กับบุคคลอื่นที่อาจเป็นกลุ่มเสี่ยงหรือผู้ที่มีภาวะสุขภาพที่อ่อนแอ 2. ความรับผิดชอบต่อสังคม: ผู้คนมักจะรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการแพร่กระจายของโรคไปยังคนในครอบครัวหรือเพื่อน ๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือผู้สูงอายุที่อาจมีความเสี่ยงสูงต่อการป่วยหนักจาก COVID-19 3. การตอบสนองทางอารมณ์: การรู้ว่าตัวเองสัมผัสกับเชื้อไวรัสที่สามารถทำให้เกิดโรคที่มีอันตรายร้ายแรงได้ มักจะกระตุ้นความรู้สึกวิตกกังวลมากกว่าความรู้สึกเฉยเมยหรือความรู้สึกที่เป็นบวก เช่น ความตื่นเต้นหรือความโล่งใจ ดังนั้น การที่ผู้เข้าร่วมการวิจัยรายงานความรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของตนเองและผู้สัมผัส ถือเป็นการตอบสนองทางอารมณ์ที่คาดหวังเมื่อเผชิญกับสถานการณ์การสัมผัสโรคที่ติดต่อได้ง่ายและอันตราย

1. ทฤษฎีการรับรู้ความเสี่ยง (Risk Perception Theory): • ทฤษฎีนี้อธิบายว่าเมื่อบุคคลรับรู้ถึงความเสี่ยงหรืออันตรายจากสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น การสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ COVID-19 พวกเขามักจะรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเองและผู้คนที่ใกล้ชิด โดยเฉพาะหากผลลัพธ์จากการสัมผัสนั้นอาจรุนแรงหรืออันตรายต่อสุขภาพของผู้อื่น 2. ทฤษฎีความเชื่อทางสุขภาพ (Health Belief Model, HBM): • ทฤษฎีนี้อธิบายว่า พฤติกรรมของบุคคลเกี่ยวกับสุขภาพมักจะได้รับอิทธิพลจากการรับรู้ถึงความเสี่ยง (เช่น การติดเชื้อ COVID-19) และการรับรู้ถึงความรุนแรงของปัญหาสุขภาพนั้น (เช่น การเป็นผู้ติดเชื้อหรือการแพร่เชื้อให้คนอื่น) หากบุคคลรู้สึกว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบ พวกเขาจะรู้สึกวิตกกังวลและอาจเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงหรือจัดการกับความเสี่ยงนั้น 3. ทฤษฎีการตัดสินใจเชิงจริยธรรม (Moral Decision-Making Theory): • ทฤษฎีนี้กล่าวถึงการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องสุขภาพของตนเองและสังคม เมื่อรู้ว่าตนเองอาจสัมผัสกับโรคที่สามารถแพร่กระจายได้ง่าย ผู้คนอาจรู้สึกถึงความรับผิดชอบต่อผู้อื่น ซึ่งทำให้เกิดความวิตกกังวลในการป้องกันการแพร่ระบาดและการปกป้องสุขภาพของคนที่ตนรักและใกล้ชิด 4. ทฤษฎีความเครียด (Stress Theory): • ทฤษฎีนี้ระบุว่าความเครียดเกิดขึ้นจากการรับรู้ถึงความท้าทายที่อาจเกินความสามารถในการจัดการ เมื่อผู้คนรู้ว่าตนเองสัมผัสกับ COVID-19 ซึ่งอาจมีผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพ ทั้งของตนเองและของผู้อื่น พวกเขาจึงรู้สึกเครียดและวิตกกังวล

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

7


What was a common source of information for participants when they learned about their COVID-19 status?

Family, friends, and healthcare providers

1. การให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้: ครอบครัว, เพื่อน, และผู้ให้บริการด้านสุขภาพมักเป็นแหล่งข้อมูลที่ผู้คนสามารถไว้วางใจได้ในช่วงวิกฤตเช่นการระบาดของ COVID-19 โดยเฉพาะผู้ให้บริการด้านสุขภาพที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในการให้คำแนะนำเกี่ยวกับอาการ, การรักษา, และมาตรการที่ควรปฏิบัติตามเมื่อรู้ตัวว่าเป็นผู้สัมผัสหรือผู้ติดเชื้อ 2. การสนับสนุนทางอารมณ์: ในช่วงที่คนรู้ว่าตนเองติดเชื้อ COVID-19 ครอบครัวและเพื่อนมักให้การสนับสนุนทางอารมณ์และให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการจัดการกับสถานการณ์ ทั้งในแง่ของสุขภาพร่างกายและการจัดการกับความวิตกกังวล 3. การกระจายข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้: แม้ว่าสื่อสังคมออนไลน์หรือข่าวสารในที่อื่นอาจมีข้อมูลที่หลากหลาย แต่ข้อมูลจากผู้ให้บริการด้านสุขภาพและบุคคลที่ใกล้ชิดมักได้รับความไว้วางใจมากกว่า และสามารถให้คำแนะนำที่มีประโยชน์และเหมาะสมกับสถานการณ์เฉพาะ ดังนั้น ครอบครัว, เพื่อน, และผู้ให้บริการด้านสุขภาพจึงเป็นแหล่งข้อมูลหลักที่ผู้คนพึ่งพาเมื่อได้รับทราบเกี่ยวกับสถานะการติดเชื้อ COVID-19.

1. ทฤษฎีการรับรู้ความเสี่ยง (Risk Perception Theory): • ทฤษฎีนี้อธิบายว่าผู้คนมักจะพึ่งพาแหล่งข้อมูลที่พวกเขามีความเชื่อมั่นและไว้วางใจ เช่น ครอบครัว เพื่อน และผู้ให้บริการด้านสุขภาพ เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การติดเชื้อ COVID-19 โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้จะช่วยให้พวกเขารับมือกับความวิตกกังวลและตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น 2. ทฤษฎีการสนับสนุนทางสังคม (Social Support Theory): • ทฤษฎีนี้ระบุว่า การสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อนมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความรู้สึกปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดี ในช่วงวิกฤตการณ์ เช่น COVID-19 การสนับสนุนทั้งทางอารมณ์และการให้ข้อมูลที่ถูกต้องสามารถช่วยให้บุคคลรู้สึกมั่นใจและจัดการกับสถานการณ์ได้ดีขึ้น 3. ทฤษฎีการรับข้อมูลในยุคดิจิทัล (Health Information Seeking Behavior Theory): • ทฤษฎีนี้กล่าวถึงพฤติกรรมการหาข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพของบุคคล ซึ่งในสถานการณ์เช่นการระบาดของ COVID-19 ผู้คนมักจะหาข้อมูลจากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือที่สุด เช่น ครอบครัว เพื่อน และผู้ให้บริการทางการแพทย์ เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขากำลังได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยที่สุด 4. ทฤษฎีการรับรู้และการประเมินข้อมูล (Cognitive Evaluation Theory): • ทฤษฎีนี้กล่าวถึงวิธีที่บุคคลประเมินข้อมูลและสถานการณ์เมื่อได้รับรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงหรือเหตุการณ์ที่สำคัญ เช่น เมื่อบุคคลทราบว่าตนเองมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ COVID-19 พวกเขาจะค้นหาข้อมูลจากแหล่งที่พวกเขาคิดว่ามีความน่าเชื่อถือ เช่น ครอบครัว เพื่อน หรือแพทย์ที่ดูแล

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

8


Which of the following was NOT a method for collecting data in the study described?

Direct observations in homes

1. ข้อจำกัดด้านความเป็นส่วนตัวและสุขอนามัย: การสังเกตการณ์โดยตรงในบ้านอาจทำให้เกิดปัญหาด้านความเป็นส่วนตัวและสุขอนามัย โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของ COVID-19 ซึ่งมีการควบคุมการเคลื่อนไหวและการปฏิบัติตามมาตรการทางสังคม การเข้าไปในบ้านเพื่อทำการสังเกตการณ์อาจเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อและไม่สอดคล้องกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด 2. การใช้วิธีที่ปลอดภัยและเข้าถึงง่ายกว่า: ในการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการติดตามผู้สัมผัสและการสอบสวนคดีในช่วงการระบาดของ COVID-19 การใช้วิธีเช่น การสัมภาษณ์หนึ่งต่อหนึ่ง (One-on-One Interviews), กลุ่มสนทนาออนไลน์ (Virtual Focus Groups) หรือแบบสอบถาม (Survey Questionnaires) ถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยกว่า เนื่องจากสามารถดำเนินการได้ทางออนไลน์หรือทางโทรศัพท์ ซึ่งไม่เสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อ 3. ข้อจำกัดทางการปฏิบัติการ: การสังเกตการณ์โดยตรงในบ้านอาจมีข้อจำกัดทั้งในแง่ของการปฏิบัติการและการจัดการที่ซับซ้อน โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องมีการควบคุมการเคลื่อนไหวและมาตรการจำกัดการสัมผัสในพื้นที่ต่าง ๆ ดังนั้น “Direct Observations In Homes” จึงไม่เป็นวิธีที่ใช้ในการเก็บข้อมูลในงานวิจัยเกี่ยวกับ COVID-19 ที่กล่าวถึงในคำถามนี้.

1. ทฤษฎีการรักษาความเป็นส่วนตัว (Privacy Theory): • ทฤษฎีนี้อธิบายว่าผู้คนมีสิทธิในความเป็นส่วนตัวและการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง การสังเกตการณ์โดยตรงในบ้านอาจละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว และอาจทำให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกไม่สะดวกหรือวิตกกังวลเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวในสภาพแวดล้อมที่เป็นส่วนตัวเช่นบ้าน 2. ทฤษฎีการสนับสนุนทางสังคม (Social Support Theory): • ทฤษฎีนี้ระบุว่าเมื่อผู้คนได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวหรือเพื่อน ๆ พวกเขาจะมีความรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจในการให้ข้อมูล สำหรับการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 การสังเกตการณ์ในบ้านอาจขัดขวางการสนับสนุนทางสังคมและทำให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกไม่สบายใจ 3. ทฤษฎีการรับข้อมูลทางสุขภาพ (Health Information Seeking Behavior Theory): • ทฤษฎีนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้คนมักจะค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพจากแหล่งที่เชื่อถือได้และปลอดภัย ในช่วงการระบาดของ COVID-19 วิธีการที่ปลอดภัย เช่น การสัมภาษณ์ออนไลน์หรือการใช้แบบสอบถามจึงเป็นวิธีที่เหมาะสมกว่าในการเก็บข้อมูล เนื่องจากสามารถทำได้ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและหลีกเลี่ยงการแพร่กระจายของเชื้อ 4. ทฤษฎีการวิจัยเชิงพฤติกรรม (Behavioral Research Theory): • ทฤษฎีนี้เน้นการศึกษาและวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้คนในสภาพแวดล้อมที่พวกเขาสามารถควบคุมและรับรู้ได้ การใช้วิธีการที่ไม่จำเป็นต้องเข้าสู่พื้นที่ส่วนตัว เช่น การสัมภาษณ์ทางออนไลน์หรือการใช้แบบสอบถาม ช่วยลดความรู้สึกไม่สะดวกของผู้เข้าร่วมและช่วยให้การเก็บข้อมูลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

9


What ethical considerations were emphasized during the focus group discussions?

Ensuring all participants were of the same age

1. การคุ้มครองความเป็นส่วนตัว: การรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าร่วมเป็นสิ่งที่จำเป็นในการวิจัย โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลสุขภาพหรือข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อน การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลช่วยปกป้องสิทธิของผู้เข้าร่วมและลดความเสี่ยงจากการละเมิดข้อมูลส่วนตัว 2. การมีส่วนร่วมโดยสมัครใจ: การให้ผู้เข้าร่วมมีสิทธิเลือกที่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมในการศึกษานั้นโดยไม่มีการบังคับหรือกดดัน ถือเป็นหลักจริยธรรมที่สำคัญ นักวิจัยต้องมั่นใจว่าผู้เข้าร่วมได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการวิจัยอย่างครบถ้วนและเข้าใจว่าการเข้าร่วมเป็นเรื่องที่สมัครใจ 3. การได้รับความยินยอมจากผู้เข้าร่วม: การได้รับการยินยอมอย่างชัดเจนจากผู้เข้าร่วมก่อนการศึกษาเป็นข้อบังคับทางจริยธรรม เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เข้าร่วมมีความเข้าใจถึงวัตถุประสงค์และกระบวนการวิจัย รวมถึงสิทธิที่จะถอนตัวจากการศึกษาได้ทุกเมื่อโดยไม่มีผลกระทบ 4. การหลีกเลี่ยงผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์: การรักษาความเป็นส่วนตัวและการมีส่วนร่วมโดยสมัครใจช่วยลดความเสี่ยงที่ผู้เข้าร่วมจะรู้สึกไม่สบายใจหรือกลัวผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเข้าร่วมการศึกษา เช่น ความรู้สึกว่าข้อมูลส่วนตัวอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด โดยรวมแล้ว การปกป้องความเป็นส่วนตัวและการมีส่วนร่วมโดยสมัครใจเป็นหลักจริยธรรมที่สำคัญในการวิจัย เพื่อให้มั่นใจว่าผู้เข้าร่วมได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมและปลอดภัย.

1. ทฤษฎีจริยธรรมทางการวิจัย (Research Ethics Theory): • ทฤษฎีนี้เน้นการปกป้องสิทธิของผู้เข้าร่วมในการวิจัย โดยเฉพาะในเรื่องของความเป็นส่วนตัวและการได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนเกี่ยวกับการวิจัย ผู้เข้าร่วมต้องมีสิทธิ์ในการตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมในการศึกษา (informed consent) โดยไม่มีการบังคับหรือการคุกคาม การทำให้การมีส่วนร่วมเป็นไปโดยสมัครใจถือเป็นหลักการสำคัญในทุกการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ 2. ทฤษฎีการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Protection Theory): • ทฤษฎีนี้เกี่ยวข้องกับการรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้เข้าร่วมการวิจัย โดยการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลจากการเผยแพร่หรือการนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น การรับประกันว่าไม่เปิดเผยข้อมูลของผู้เข้าร่วมให้กับบุคคลภายนอกและไม่ใช้ข้อมูลเหล่านั้นในทางที่ไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษาหรือประโยชน์ของผู้เข้าร่วม 3. ทฤษฎีความยินยอมโดยสมัครใจ (Voluntary Consent Theory): • ทฤษฎีนี้อธิบายถึงความสำคัญของการได้รับความยินยอมจากผู้เข้าร่วมก่อนที่จะมีการเก็บข้อมูลหรือการทำการวิจัย ความยินยอมนี้ต้องเป็นการตัดสินใจอย่างมีสติและไม่ถูกบีบบังคับ โดยผู้เข้าร่วมต้องมีสิทธิในการถอนตัวจากการศึกษาได้ตลอดเวลา 4. ทฤษฎีการตัดสินใจทางจริยธรรม (Ethical Decision-Making Theory): • ทฤษฎีนี้เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเกี่ยวกับข้อพิจารณาทางจริยธรรมที่นักวิจัยต้องทำในการดำเนินการศึกษา โดยต้องคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้เข้าร่วม เช่น การปกป้องความเป็นส่วนตัวและการเคารพสิทธิในการเลือกเข้าร่วมการวิจัย

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

10


How did the availability of self-tests in 2021 impact the public health response to COVID-19?

It increased the speed at which people could learn their infection status

1. การทดสอบที่รวดเร็วและสะดวก: การมีชุดทดสอบด้วยตนเอง (self-tests) ช่วยให้บุคคลสามารถตรวจสอบสถานะการติดเชื้อ COVID-19 ได้อย่างรวดเร็วที่บ้าน โดยไม่ต้องรอการนัดหมายหรือไปยังสถานที่ทดสอบ ทำให้สามารถรับรู้ผลการทดสอบได้ในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถแยกตัวออกจากคนอื่นได้เร็วขึ้น ลดการแพร่กระจายของเชื้อได้ 2. ลดภาระการทดสอบในสถานพยาบาล: การที่ผู้คนสามารถทำการทดสอบด้วยตนเองที่บ้านได้ ช่วยลดภาระของศูนย์ทดสอบและห้องปฏิบัติการที่อาจมีผู้มารอตรวจจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดหนัก การสามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเองช่วยให้ระบบการทดสอบทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 3. การแยกตัวได้เร็วขึ้น: เมื่อบุคคลสามารถทราบผลการทดสอบได้เร็วขึ้น พวกเขาสามารถตัดสินใจแยกตัวออกจากสังคมได้ทันทีหากผลการทดสอบเป็นบวก ซึ่งเป็นการช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อไปยังคนอื่นๆ และสนับสนุนให้มีการติดตามและควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพ การทดสอบด้วยตนเองทำให้การตอบสนองต่อ COVID-19 เร็วขึ้นและช่วยให้ผู้คนสามารถจัดการกับสถานการณ์ได้ดีขึ้นในขณะนั้น

1. ทฤษฎีการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว (Rapid Decision-Making Theory): • การมีชุดทดสอบด้วยตนเองทำให้บุคคลสามารถทราบผลการทดสอบได้เร็วขึ้น ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถตัดสินใจได้เร็วขึ้นเกี่ยวกับการแยกตัวเองหรือการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ เช่น การหลีกเลี่ยงการติดต่อกับผู้อื่นหรือการไปพบแพทย์ ทฤษฎีนี้อธิบายว่าการมีข้อมูลที่รวดเร็วทำให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 2. ทฤษฎีการเข้าถึงข้อมูล (Health Information Access Theory): • การมีชุดทดสอบด้วยตนเองช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับสถานะการติดเชื้อของตนเองได้โดยตรงและทันที ซึ่งทฤษฎีนี้ชี้ให้เห็นว่าการเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วและชัดเจนช่วยให้บุคคลสามารถทำการตัดสินใจที่ดีที่สุดเกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัยของตนเองและคนรอบข้าง 3. ทฤษฎีการรับข้อมูลทางสุขภาพ (Health Information Seeking Behavior Theory): • เมื่อผู้คนต้องการทราบสถานะการติดเชื้อ COVID-19 การใช้ชุดทดสอบด้วยตนเองทำให้สามารถตอบสนองได้ทันที การหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานะการติดเชื้อที่รวดเร็วสามารถส่งผลให้ผู้คนมีการปฏิบัติตามคำแนะนำทางสุขภาพอย่างถูกต้องและทันท่วงที ช่วยในการควบคุมและลดการแพร่ระบาด 4. ทฤษฎีการควบคุมโรค (Disease Control Theory): • การทดสอบที่เร็วขึ้นทำให้การติดตามและควบคุมโรคเป็นไปได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การที่ผู้คนสามารถแยกตัวได้เร็วขึ้นและมีการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคทันที ช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อและช่วยให้การควบคุมโรคมีความสำเร็จ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

11


What is urban ecology primarily concerned with?

The interactions between urban environments and ecosystems

1. การศึกษาเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสิ่งแวดล้อมในเมือง: Urban ecology เป็นสาขาที่มุ่งเน้นการศึกษาเกี่ยวกับการโต้ตอบระหว่างสิ่งแวดล้อมในเมืองกับระบบนิเวศธรรมชาติ โดยการสำรวจผลกระทบที่เกิดจากการพัฒนาเมือง เช่น การขยายตัวของเมือง การใช้ที่ดิน และการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ที่มีต่อระบบนิเวศ รวมถึงการศึกษาว่าระบบนิเวศนั้นๆ มีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมในเมืองอย่างไร เช่น การเพิ่มขึ้นของมลพิษ การเปลี่ยนแปลงของความหลากหลายทางชีวภาพ หรือการฟื้นฟูระบบนิเวศในเมือง 2. ความสำคัญของความยั่งยืนในเมือง: เนื่องจากเมืองมักเป็นแหล่งที่มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติสูงและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในการศึกษาระบบนิเวศในเมือง นักวิจัยจะศึกษาวิธีการที่เมืองสามารถพัฒนาได้โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และสามารถบูรณาการธรรมชาติในพื้นที่เมืองเพื่อให้เกิดความยั่งยืน 3. การโต้ตอบระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ: การพัฒนาเมืองและระบบนิเวศในเมืองมีการเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด โดยมีการศึกษาปัจจัยต่างๆ เช่น ความหนาแน่นของประชากร การจัดการพื้นที่สีเขียว หรือการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ การเข้าใจปฏิสัมพันธ์เหล่านี้ช่วยให้สามารถพัฒนาเมืองในลักษณะที่ช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยได้ ดังนั้น urban ecology จึงเน้นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมในเมืองกับระบบนิเวศธรรมชาติ ซึ่งเป็นการเข้าใจวิธีที่เมืองสามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน

1. ทฤษฎีระบบนิเวศ (Ecological Systems Theory): • ทฤษฎีนี้กล่าวถึงการเชื่อมโยงระหว่างองค์ประกอบต่างๆ ในระบบนิเวศ เช่น มนุษย์, สัตว์, พืช, และสิ่งแวดล้อม ทั้งในเมืองและนอกเมือง โดยศึกษาวิธีการที่มนุษย์และธรรมชาติมีปฏิสัมพันธ์กันในระบบที่ซับซ้อนนี้ ใน urban ecology ทฤษฎีนี้ช่วยให้เข้าใจว่าพื้นที่เมืองและระบบนิเวศธรรมชาติสามารถมีผลกระทบซึ่งกันและกันอย่างไร เช่น การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่เมืองส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ 2. ทฤษฎีการจัดการสิ่งแวดล้อม (Environmental Management Theory): • ทฤษฎีนี้เน้นการพัฒนาและจัดการพื้นที่เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองที่มีการใช้ทรัพยากรสูง ทฤษฎีนี้อธิบายว่าความสัมพันธ์ระหว่างการพัฒนาเมืองและการรักษาสิ่งแวดล้อมสามารถถูกควบคุมและบริหารจัดการได้เพื่อให้เกิดความยั่งยืนทั้งในด้านเศรษฐกิจและธรรมชาติ 3. ทฤษฎีการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Theory): • ทฤษฎีนี้อธิบายถึงการพัฒนาที่สามารถตอบสนองความต้องการของคนในปัจจุบันโดยไม่ทำลายความสามารถในการตอบสนองความต้องการในอนาคต ซึ่งในการศึกษา urban ecology ทฤษฎีนี้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมืองในลักษณะที่สามารถรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ, ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างสมดุลระหว่างการขยายตัวของเมืองกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ 4. ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม (Environmental Change Theory): • ทฤษฎีนี้เกี่ยวข้องกับการศึกษาการเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะในเขตเมือง การเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงนี้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร รวมถึงผลกระทบที่เกิดจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและการขยายตัวของเมือง ทฤษฎีเหล่านี้ช่วยในการอธิบายว่า urban ecology มุ่งศึกษาการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติในบริบทของเมืองและการพัฒนาเมือง โดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อระบบนิเวศธรรมชาติและการรักษาความยั่งยืนในอนาคต.

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

12


Which continent is noted as rapidly urbanizing within the study?

Asia

1. การขยายตัวของเมืองในเอเชีย: เอเชียเป็นทวีปที่มีการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็วในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น จีน, อินเดีย, และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเพิ่มขึ้นของประชากรในเมืองและการเติบโตของเศรษฐกิจส่งผลให้มีการขยายตัวของพื้นที่เมืองและอุตสาหกรรม 2. การย้ายถิ่นจากชนบทสู่เมือง: ในหลายประเทศในเอเชีย มีการย้ายถิ่นจากชนบทสู่เมืองอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการหางานและโอกาสทางเศรษฐกิจในเมือง การย้ายถิ่นนี้ทำให้เมืองต่างๆ ขยายตัวและมีความหนาแน่นของประชากรสูง 3. การพัฒนาอย่างรวดเร็ว: หลายเมืองในเอเชีย เช่น เซี่ยงไฮ้, มุมไบ, และจาการ์ตา ได้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้เอเชียเป็นทวีปที่มีอัตราการเมืองขยายตัวสูงที่สุดในโลกในปัจจุบัน 4. การท้าทายของการพัฒนาเมือง: การขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้นำมาซึ่งความท้าทายหลายประการ เช่น ความยากลำบากในการจัดการที่อยู่อาศัย, การให้บริการสาธารณะ, ปัญหามลพิษ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้น เอเชีย จึงถูกมองว่าเป็นทวีปที่กำลังพัฒนาเมืองอย่างรวดเร็วและเผชิญกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการขยายตัวของเมืองอย่างมาก

1. ทฤษฎีการขยายตัวของเมือง (Urban Growth Theory): • ทฤษฎีนี้ศึกษาการขยายตัวของเมืองในเชิงภูมิศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียที่มีการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็วเนื่องจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการย้ายถิ่นจากชนบทสู่เมือง ทฤษฎีนี้ช่วยอธิบายถึงการขยายตัวของเมืองในรูปแบบต่างๆ เช่น การขยายตัวของพื้นที่เมือง, ความหนาแน่นของประชากร, และการพัฒนาของโครงสร้างพื้นฐาน 2. ทฤษฎีการย้ายถิ่นฐาน (Migration Theory): • การย้ายถิ่นจากชนบทสู่เมืองเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการขยายตัวของเมืองในเอเชีย ทฤษฎีนี้อธิบายถึงแรงจูงใจที่ทำให้ประชาชนจากชนบทย้ายไปอยู่ในเมือง เช่น โอกาสทางเศรษฐกิจ, การหางาน, และการเข้าถึงบริการสาธารณะ ทฤษฎีนี้แสดงให้เห็นถึงกระบวนการและผลกระทบของการย้ายถิ่นฐานที่มีต่อการขยายตัวของเมือง 3. ทฤษฎีการพัฒนาเศรษฐกิจ (Economic Development Theory): • ในหลายประเทศในเอเชีย การพัฒนาเศรษฐกิจและการเติบโตของอุตสาหกรรมมีผลต่อการขยายตัวของเมือง การเติบโตทางเศรษฐกิจนี้ส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของการจ้างงาน, การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน, และการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทฤษฎีนี้ช่วยอธิบายถึงการขยายตัวของเมืองที่เกิดจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ 4. ทฤษฎีการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Theory): • ทฤษฎีนี้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมืองในลักษณะที่คำนึงถึงความยั่งยืนทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การพัฒนาเมืองในเอเชียต้องคำนึงถึงการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ และการปรับตัวให้เข้ากับความท้าทายที่เกิดจากการขยายตัวของเมือง ทฤษฎีนี้เน้นถึงความสำคัญของการสร้างสมดุลระหว่างการขยายตัวของเมืองและการรักษาความยั่งยืน

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

13


What significant bias is present in the study of urban ecology in Africa?

Limited to capital cities

1. การมุ่งเน้นที่เมืองหลวง: ในหลายการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับ urban ecology ในแอฟริกา การวิจัยมักจะมุ่งเน้นไปที่เมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ที่มีการพัฒนาและมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นที่ที่มีแหล่งข้อมูลมากกว่าและมีทรัพยากรในการวิจัยมากกว่าเมืองเล็กหรือพื้นที่ชนบท 2. การขาดการศึกษาในเมืองเล็กและชนบท: เมืองหลวงในแอฟริกามักจะมีการขยายตัวที่รวดเร็วและมีความหลากหลายทางเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้นงานวิจัยจึงมักให้ความสำคัญกับการศึกษาผลกระทบจากการเติบโตของเมืองในพื้นที่เหล่านี้ แต่การศึกษาในพื้นที่เมืองเล็กหรือชนบทที่มีการพัฒนาไม่มากมักถูกมองข้าม ซึ่งอาจทำให้เกิดการเข้าใจผิดหรือไม่ครอบคลุมในภาพรวมของ urban ecology ในแอฟริกา 3. ความสำคัญของเมืองหลวงในแอฟริกา: เมืองหลวงของหลายประเทศในแอฟริกามีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการขยายตัว เช่น การใช้ทรัพยากรที่มากเกินไป การขยายตัวของที่อยู่อาศัย การจัดการมลพิษ ซึ่งทำให้เมืองเหล่านี้เป็นจุดสนใจหลักในการศึกษา urban ecology แม้ว่าจะไม่ได้สะท้อนถึงการพัฒนาในเมืองเล็กหรือชนบทที่อาจมีลักษณะเฉพาะตัว ดังนั้น การศึกษา urban ecology ในแอฟริกา มักจะมีความเอนเอียงไปที่เมืองหลวง เนื่องจากเมืองเหล่านี้มีการเติบโตและการพัฒนาที่เด่นชัดและเป็นที่สนใจมากกว่าเมืองหรือพื้นที่อื่นๆ

1. ทฤษฎีการศึกษาภูมิภาค (Regional Studies Theory): • ทฤษฎีนี้เกี่ยวข้องกับการศึกษาและการวิจัยที่เน้นในภูมิภาคเฉพาะ ซึ่งในกรณีนี้คือเมืองหลวง การศึกษาภูมิภาคมักจะมุ่งเน้นไปที่พื้นที่ที่มีข้อมูลมากที่สุดหรือมีทรัพยากรในการศึกษามากที่สุด ดังนั้นเมืองหลวงที่มีประชากรหนาแน่นและเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจจึงกลายเป็นพื้นที่ที่ได้รับการศึกษามากที่สุด ในขณะที่เมืองเล็กหรือพื้นที่ชนบทอาจถูกมองข้ามในการศึกษานี้ 2. ทฤษฎีการศึกษาพื้นที่เมือง (Urban Area Study Theory): • การศึกษาพื้นที่เมืองหรือ urban studies มักจะมุ่งเน้นไปที่เมืองที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีความหลากหลายทางเศรษฐกิจและสังคม เมืองหลวงในแอฟริกามักเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเมือง และมีการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศที่เด่นชัด ทำให้ได้รับความสนใจในการศึกษา แต่เมืองเล็กหรือพื้นที่ชนบทที่มีการพัฒนาไม่มากอาจไม่ได้รับความสนใจเพียงพอ 3. ทฤษฎีความไม่สมดุลในการพัฒนา (Development Imbalance Theory): • ทฤษฎีนี้อธิบายถึงการพัฒนาในพื้นที่ที่ไม่สมดุล โดยการพัฒนาในเมืองหลวงและเมืองใหญ่ทำให้เกิดการกระจุกตัวของทรัพยากรและการวิจัย ในขณะที่พื้นที่ชนบทหรือเมืองเล็กมักจะไม่ได้รับความสนใจเท่าเทียมกัน ซึ่งอาจทำให้เกิดการมองข้ามความท้าทายทางสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่เกิดขึ้นในพื้นที่เหล่านี้ 4. ทฤษฎีการขยายตัวของเมือง (Urban Expansion Theory): • ทฤษฎีนี้กล่าวถึงการขยายตัวของเมืองในหลายมิติ โดยเฉพาะในเมืองที่มีการเติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็ว การขยายตัวในเมืองหลวงมักจะได้รับการศึกษาอย่างมาก เนื่องจากเป็นที่ที่มีความเปลี่ยนแปลงที่โดดเด่นที่สุดในแง่ของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การขยายตัวของประชากร และผลกระทบจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

14


What factor did the study NOT find influencing research efforts in African urban ecology?

GDP of countries

1. ไม่มีการเชื่อมโยงระหว่าง GDP และการวิจัยใน urban ecology: จากการศึกษาในด้าน urban ecology ในแอฟริกา พบว่ามีปัจจัยอื่น ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการวิจัยมากกว่า เช่น ความเข้มข้นของการขยายตัวของเมือง (Urbanization Intensity), สถานะการอนุรักษ์ในภูมิภาค (Ecoregion Conservation Status), การพัฒนาเทคโนโลยี (Technological Advancements), และการกระจายทางภูมิศาสตร์ของการศึกษา (Geographic Distribution of Studies) แต่ GDP ของประเทศไม่ได้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางหรือปริมาณการวิจัยในด้านนี้ 2. การขยายตัวของเมืองและความหลากหลายทางภูมิศาสตร์: ในแอฟริกา การขยายตัวของเมืองและการท้าทายทางสิ่งแวดล้อมในเขตเมืองมีความหลากหลายมากกว่า ซึ่งทำให้ปัจจัยเช่น Urbanization Intensity และ Ecoregion Conservation Status มีอิทธิพลมากกว่า GDP ต่อการศึกษาทาง urban ecology 3. เทคโนโลยีและการกระจายทางภูมิศาสตร์: การพัฒนาเทคโนโลยีและการกระจายตัวของการศึกษาทางภูมิศาสตร์มีผลโดยตรงต่อการศึกษา urban ecology มากกว่า GDP เนื่องจากมีการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและการขยายตัวของเมือง รวมถึงการมีการวิจัยในพื้นที่ต่าง ๆ ที่สามารถสะท้อนภาพรวมที่แท้จริงของปัญหาทางสิ่งแวดล้อมในเมืองต่าง ๆ ดังนั้น GDP ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อการวิจัยในด้าน urban ecology ในแอฟริกา โดยปัจจัยอื่น ๆ เช่น การขยายตัวของเมืองและสถานะการอนุรักษ์มีบทบาทมากกว่าในการกำหนดทิศทางและลักษณะของการศึกษา

1. ทฤษฎีการพัฒนาแบบยั่งยืน (Sustainable Development Theory): • ทฤษฎีนี้เน้นการพัฒนาในทุกมิติของการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพา GDP สูงในการทำการวิจัยหรือพัฒนา แนวคิดนี้สอดคล้องกับการศึกษาที่พบว่าการวิจัยใน urban ecology มากมายในแอฟริกาไม่ได้ขึ้นอยู่กับ GDP ของประเทศ แต่จะเกี่ยวข้องกับความท้าทายทางสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาเมืองที่มีความหลากหลายมากกว่า 2. ทฤษฎีการขยายตัวของเมือง (Urban Growth Theory): • การขยายตัวของเมืองเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการศึกษา urban ecology โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมโยงกับ GDP ของประเทศ การเติบโตของเมืองในแอฟริกาเป็นผลมาจากการย้ายถิ่นฐานจากชนบทสู่เมือง และความท้าทายที่เกิดขึ้นจากการขยายตัวเหล่านี้ เช่น มลพิษ, การจัดการน้ำ, และที่อยู่อาศัย ทำให้การวิจัยมุ่งเน้นที่การจัดการและผลกระทบจากการขยายตัวของเมืองมากกว่าการพึ่งพา GDP 3. ทฤษฎีการกระจายของการศึกษา (Geographic Distribution Theory): • การศึกษา urban ecology ในแอฟริกามักจะมีการกระจายที่ไม่ขึ้นอยู่กับ GDP ของประเทศ แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางภูมิศาสตร์ เช่น ลักษณะของการขยายตัวของเมืองในแต่ละภูมิภาคและระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม การกระจายตัวของการศึกษา urban ecology จึงมักสะท้อนถึงปัญหาที่เกิดจากการขยายตัวของเมืองมากกว่าตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอย่าง GDP 4. ทฤษฎีการพัฒนาอย่างครอบคลุม (Inclusive Development Theory): • การพัฒนาอย่างครอบคลุมเน้นที่การพัฒนาที่ยั่งยืนและครอบคลุมในทุกระดับของสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยไม่เน้นเฉพาะ GDP การศึกษา urban ecology ในแอฟริกาเชื่อมโยงกับการพัฒนาเมืองในหลาย ๆ ด้าน เช่น การจัดการสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรในทางที่ยั่งยืน มากกว่าการพึ่งพาผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ดังนั้น ทฤษฎีเหล่านี้ช่วยอธิบายว่า GDP ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักในการกำหนดหรือผลักดันการวิจัยใน urban ecology ในแอฟริกา โดยปัจจัยอื่น ๆ เช่น การขยายตัวของเมืองและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมีบทบาทที่สำคัญกว่า

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

15


Which method was used to gather data for the study?

Surveys and interviews

1. การรวบรวมข้อมูลจากผู้เข้าร่วมโดยตรง: การใช้ surveys และ interviews เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการรวบรวมข้อมูลที่เชื่อถือได้และหลากหลายจากกลุ่มตัวอย่างที่แตกต่างกัน โดยการสัมภาษณ์สามารถช่วยให้เข้าใจลึกซึ้งถึงมุมมองและประสบการณ์ของผู้เข้าร่วม ขณะที่การใช้แบบสอบถามช่วยให้รวบรวมข้อมูลได้ในจำนวนมากและสามารถเปรียบเทียบได้ง่าย 2. ความหลากหลายของข้อมูล: การใช้ surveys และ interviews เป็นวิธีที่สามารถรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพได้พร้อมกัน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในงานวิจัยที่ต้องการข้อมูลที่ครอบคลุมและมีความหลากหลายเกี่ยวกับประสบการณ์และทัศนคติของผู้คน 3. การเข้าถึงข้อมูลที่หลากหลาย: โดยการใช้วิธีการเหล่านี้ นักวิจัยสามารถเข้าถึงข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่มีความหลากหลาย ทั้งในเชิงประชากรศาสตร์และลักษณะทางสังคม ทำให้สามารถประเมินผลและมองเห็นปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและประสบการณ์ของบุคคลได้ดีขึ้น ดังนั้น surveys และ interviews จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการรวบรวมข้อมูลจากผู้เข้าร่วมในงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาประสบการณ์และทัศนคติของบุคคลในสถานการณ์ต่าง ๆ.

1. ทฤษฎีการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ (Mixed Methods Research Theory): • ทฤษฎีนี้เน้นการใช้ทั้ง quantitative (เชิงปริมาณ) และ qualitative (เชิงคุณภาพ) เพื่อรวบรวมข้อมูลที่ครบถ้วนและหลากหลาย ในกรณีนี้ การใช้ surveys (เชิงปริมาณ) ช่วยให้สามารถรวบรวมข้อมูลในจำนวนมากและวิเคราะห์เชิงสถิติ ขณะที่ interviews (เชิงคุณภาพ) ช่วยให้ได้ข้อมูลที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับประสบการณ์และมุมมองของผู้เข้าร่วม การผสมผสานทั้งสองวิธีทำให้ได้ข้อมูลที่มีคุณภาพและครอบคลุมมากขึ้น 2. ทฤษฎีการเก็บข้อมูลจากมนุษย์ (Human Data Collection Theory): • การเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์และการทำแบบสอบถามเป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับในงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาพฤติกรรมและความคิดเห็นของผู้คน เนื่องจากวิธีเหล่านี้สามารถเข้าถึงมุมมองและประสบการณ์ของบุคคลในสภาพแวดล้อมที่แท้จริง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการทดลองหรือการสังเกตการณ์ 3. ทฤษฎีการวิจัยเชิงสังคมศาสตร์ (Social Science Research Theory): • ในสาขาวิชาสังคมศาสตร์ surveys และ interviews เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลจากผู้คนเพื่อเข้าใจพฤติกรรมและประสบการณ์ของพวกเขา การใช้วิธีเหล่านี้ช่วยให้นักวิจัยสามารถเข้าใจปัจจัยที่มีผลต่อความคิดเห็นและการตัดสินใจในเชิงสังคมได้ดียิ่งขึ้น 4. ทฤษฎีการเก็บข้อมูลจากมุมมองของผู้เข้าร่วม (Participant Perspective Theory): • การใช้ interviews โดยเฉพาะ ทำให้สามารถเข้าใจมุมมองและความรู้สึกของผู้เข้าร่วมได้โดยตรง การสัมภาษณ์ทำให้นักวิจัยสามารถสำรวจความคิดเห็นและประสบการณ์จากมุมมองของผู้เข้าร่วมได้ลึกซึ้งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ข้อมูลที่ได้มีความสมบูรณ์และสะท้อนความจริงจากประสบการณ์ของผู้คน การใช้ surveys และ interviews ในการเก็บข้อมูลสะท้อนถึงทฤษฎีเหล่านี้ ซึ่งเน้นความสำคัญของการรวบรวมข้อมูลจากผู้คนเพื่อทำความเข้าใจปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมและความคิดเห็นในลักษณะที่ละเอียดและหลากหลาย.

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

16


What does the study suggest is needed for urban ecology research in Africa?

A realignment of research priorities

1. การเน้นความสำคัญของปัญหาเฉพาะในแอฟริกา: การศึกษานี้ระบุว่า การวิจัยทาง urban ecology ในแอฟริกาจำเป็นต้องปรับทิศทางใหม่ โดยให้ความสำคัญกับปัญหาและความท้าทายเฉพาะที่เกิดขึ้นในเมืองแอฟริกา ซึ่งอาจแตกต่างจากการวิจัยที่มุ่งเน้นไปที่เมืองในประเทศที่พัฒนาแล้วที่มีโครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยอื่น ๆ ที่แตกต่างออกไป 2. การพัฒนาความเข้าใจในระดับท้องถิ่น: การวิจัยใน urban ecology ควรมุ่งเน้นไปที่การศึกษาที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมในแอฟริกาโดยเฉพาะ การศึกษาที่มีการปรับเปลี่ยนลำดับความสำคัญจะช่วยให้การวิจัยตอบสนองต่อปัญหาทางสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาเมืองในแอฟริกาได้ดียิ่งขึ้น เช่น การจัดการน้ำ, มลพิษ, และการเติบโตของเมือง 3. ความต้องการในการวิจัยที่มีประสิทธิภาพและเชื่อมโยงกับการพัฒนา: การปรับเปลี่ยนลำดับความสำคัญของการวิจัยจะช่วยให้เกิดผลลัพธ์ที่สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนได้จริง โดยไม่เน้นการศึกษาทฤษฎีหรือข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่น 4. ความท้าทายในการจัดสรรทรัพยากร: การวิจัยทาง urban ecology ในแอฟริกายังเผชิญกับปัญหาการจัดสรรทรัพยากรที่จำกัด ดังนั้นการปรับลำดับความสำคัญของการวิจัยจะช่วยให้สามารถใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพในการศึกษาประเด็นที่สำคัญที่สุดสำหรับการพัฒนาเมืองในแอฟริกา การวิจัยที่มีการ realignment ของลำดับความสำคัญจะสามารถสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในปัญหาที่เฉพาะเจาะจงและช่วยในการพัฒนาแนวทางที่ตอบโจทย์ความท้าทายทางสิ่งแวดล้อมในเมืองแอฟริกาได้ดียิ่งขึ้น

1. ทฤษฎีการพัฒนาแบบยั่งยืน (Sustainable Development Theory): • ทฤษฎีนี้เน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในลักษณะที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งรุ่นปัจจุบันและอนาคต การปรับเปลี่ยนลำดับความสำคัญในการวิจัยทาง urban ecology จะทำให้สามารถมุ่งเน้นที่ปัญหาที่เฉพาะเจาะจงและตอบสนองต่อความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในเมืองแอฟริกาอย่างมีประสิทธิภาพ 2. ทฤษฎีการวิจัยเชิงสังคมศาสตร์ (Social Science Research Theory): • การวิจัยในสาขาสังคมศาสตร์มักจะเน้นการเข้าใจบริบทและปัญหาที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น การปรับลำดับความสำคัญของการวิจัยทาง urban ecology ให้เหมาะสมกับบริบทของแอฟริกา จะช่วยให้การวิจัยสามารถเข้าใจและตอบสนองต่อความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของเมืองและสิ่งแวดล้อมได้ดียิ่งขึ้น 3. ทฤษฎีการศึกษาในบริบทท้องถิ่น (Contextual Research Theory): • การวิจัยที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องปรับใช้แนวทางที่เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น ซึ่งในกรณีนี้หมายถึงการศึกษาปัญหาที่เฉพาะเจาะจงในแอฟริกา การ realignment ของลำดับความสำคัญในการวิจัยจะช่วยให้การศึกษาเน้นไปที่ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการขยายตัวของเมืองและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น 4. ทฤษฎีการวิจัยเชิงบูรณาการ (Integrated Research Theory): • ทฤษฎีนี้เน้นการบูรณาการหลายมิติในการวิจัย เช่น สิ่งแวดล้อม, สังคม, เศรษฐกิจ, และการเมือง การปรับเปลี่ยนลำดับความสำคัญของการวิจัยใน urban ecology ทำให้สามารถพัฒนาแนวทางที่ครอบคลุมในการศึกษาและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการขยายตัวของเมืองในแอฟริกา 5. ทฤษฎีการวิจัยเกี่ยวกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability Research Theory): • การศึกษา urban ecology โดยเฉพาะในแอฟริกา จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน การปรับเปลี่ยนลำดับความสำคัญของการวิจัยช่วยให้สามารถพัฒนาแนวทางที่เหมาะสมและตอบโจทย์ความท้าทายด้านการจัดการเมืองและการอนุรักษ์ธรรมชาติในท้องถิ่นได้ดีขึ้น

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

17


Which country was mentioned as having the majority of the studies?

South Africa

ในการศึกษาพบว่า South Africa เป็นประเทศที่มีการวิจัยทางด้าน urban ecology มากที่สุดในแอฟริกา เนื่องจากมีโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาอย่างดีและการสนับสนุนการวิจัยในระดับสูง ทำให้มีจำนวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาเมืองมากกว่าประเทศอื่นๆ ในแอฟริกา เช่น Nigeria, Kenya, Egypt, และ Ethiopia ที่อาจยังไม่มีกระบวนการวิจัยหรือการสนับสนุนที่เทียบเท่ากับแอฟริกาใต้

ในแอฟริกา, South Africa มีการวิจัยทางด้าน urban ecology มากที่สุด เนื่องจากมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีและการสนับสนุนการวิจัยที่แข็งแกร่งจากทั้งรัฐบาลและภาคการศึกษา นอกจากนี้ ประเทศนี้ยังมีการลงทุนในการวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ทำให้มีจำนวนงานวิจัยในสาขานี้มากกว่าประเทศอื่น ๆ ในแอฟริกา เช่น Nigeria, Kenya, Egypt, และ Ethiopia ที่อาจมีข้อจำกัดในการสนับสนุนการวิจัยในระดับเดียวกัน

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

18


How did the study categorize the geographic biases in research?

Unevenly distributed

การศึกษาพบว่า การวิจัยทาง urban ecology ในแอฟริกาไม่ได้กระจายไปทั่วทั้งทวีป แต่มีการกระจุกตัวในบางประเทศหรือบางพื้นที่ที่มีทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยที่ดีกว่า เช่น South Africa ที่มีการสนับสนุนการวิจัยที่แข็งแกร่ง ในขณะที่พื้นที่อื่นๆ เช่น ในแอฟริกาตะวันตกหรือแอฟริกากลางอาจขาดการสนับสนุนทางด้านการวิจัย ทำให้เกิดความไม่สมดุลในการศึกษาเรื่องนี้ทั่วทั้งทวีป

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

19


What is a key recommendation from the study for improving urban ecology research in Africa?

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

20


According to the study, what impacts the number of publications in African urban ecology?

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

ผลคะแนน 83.05 เต็ม 140

แท๊ก หลักคิด
แท๊ก อธิบาย
แท๊ก ภาษา