1 |
Which method is used to determine the weights of factors in a multimodal transportation system?
|
Analytic Hierarchy Process (AHP) |
|
### สาเหตุ:
Analytic Hierarchy Process (AHP) เป็นวิธีการที่ใช้ในการกำหนดน้ำหนักของปัจจัยต่าง ๆ ในระบบขนส่งหลายรูปแบบ (multimodal transportation system) โดยใช้กระบวนการตัดสินใจแบบหลายเกณฑ์ (multi-criteria decision-making)
|
### ทฤษฎีหลักคิด:
AHP ใช้กระบวนการเปรียบเทียบเป็นคู่ ๆ (pairwise comparison) เพื่อกำหนดความสำคัญสัมพัทธ์ของแต่ละปัจจัย โดยการเปรียบเทียบแต่ละคู่ของปัจจัยต่าง ๆ ผู้ตัดสินใจจะสามารถจัดอันดับและคำนวณน้ำหนักของปัจจัยแต่ละตัวได้อย่างแม่นยำ ขั้นตอนหลักของ AHP ได้แก่:
1. **การกำหนดเป้าหมาย:** กำหนดเป้าหมายหลักที่ต้องการบรรลุ
2. **การสร้างโครงสร้างลำดับชั้น:** แยกปัจจัยออกเป็นระดับชั้นเพื่อให้สามารถเปรียบเทียบได้ง่าย
3. **การเปรียบเทียบเป็นคู่:** เปรียบเทียบแต่ละคู่ของปัจจัยต่าง ๆ เพื่อกำหนดความสำคัญ
4. **การคำนวณน้ำหนัก:** คำนวณน้ำหนักสัมพัทธ์ของแต่ละปัจจัยจากผลลัพธ์ของการเปรียบเทียบ
5. **การตรวจสอบความสอดคล้อง:** ตรวจสอบความสอดคล้องของการตัดสินใจเพื่อความแม่นยำ
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
2 |
What is the primary goal of the Zero-One Goal Programming (ZOGP) used in the study?
|
Minimizing the overall transportation cost |
|
### สาเหตุ:
Zero-One Goal Programming (ZOGP) เป็นเทคนิคการแก้ปัญหาที่เน้นไปที่การบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะการลดต้นทุนการขนส่งโดยรวม ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการศึกษาในระบบขนส่ง
|
### ทฤษฎีหลักคิด:
Zero-One Goal Programming (ZOGP) เป็นส่วนขยายของ Linear Programming ที่ใช้เพื่อแก้ปัญหาการตัดสินใจที่มีหลายเป้าหมาย โดยมีตัวแปรที่ใช้ในการตัดสินใจเป็นศูนย์หรือหนึ่ง (0 หรือ 1) วิธีการนี้เหมาะสมสำหรับปัญหาที่มีข้อจำกัดและเป้าหมายหลายอย่าง ซึ่งช่วยให้สามารถเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดภายใต้ข้อจำกัดที่กำหนดไว้ได้
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
3 |
In the context of multimodal transportation, what does the 'multimodal' aspect refer to?
|
Using multiple modes of transport for a single shipment |
|
### สาเหตุ
การขนส่งแบบหลายรูปแบบ (multimodal transportation) เป็นการใช้การขนส่งหลายวิธีร่วมกัน เช่น รถบรรทุก, รถไฟ, เรือ, และเครื่องบิน เพื่อให้การขนส่งสินค้าจากจุดเริ่มต้นถึงจุดปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า
|
### ทฤษฎีหลักคิด
ทฤษฎีหลักที่สนับสนุนการขนส่งแบบหลายรูปแบบคือการรวมข้อดีของการขนส่งแต่ละแบบเข้าด้วยกันเพื่อลดข้อเสียต่าง ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่ง ซึ่งสามารถอธิบายได้ตามแนวคิดต่าง ๆ ดังนี้:
1. **Economies of Scale**: การขนส่งด้วยวิธีการที่มีปริมาณมาก (เช่น การขนส่งทางเรือ) สามารถลดต้นทุนต่อหน่วยของสินค้าได้ และการขนส่งแบบหลายรูปแบบช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากการขนส่งแบบนี้ได้
2. **Flexibility and Accessibility**: การใช้การขนส่งหลายรูปแบบทำให้สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่ยานพาหนะบางประเภทไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวก เช่น ใช้รถบรรทุกในการขนส่งสินค้าจากท่าเรือไปยังที่ตั้งห่างไกลที่รถไฟไม่สามารถเข้าถึงได้
3. **Time Efficiency**: การใช้การขนส่งหลายรูปแบบสามารถลดระยะเวลาการขนส่งโดยรวมได้ โดยการเลือกใช้วิธีการที่รวดเร็วในบางช่วงของการขนส่ง เช่น การใช้เครื่องบินขนส่งในระยะทางไกลและเร่งด่วน
4. **Environmental Considerations**: การลดการใช้เชื้อเพลิงและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านการใช้การขนส่งที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การใช้รถไฟซึ่งมีประสิทธิภาพการใช้พลังงานดีกว่ารถบรรทุก
การขนส่งแบบหลายรูปแบบจึงเป็นวิธีที่ทำให้การขนส่งสินค้ามีความยืดหยุ่น ประหยัดต้นทุน มีประสิทธิภาพในการจัดการเวลา และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
4 |
Which risk is NOT directly considered in the optimization model described in the document?
|
Market fluctuation risk |
|
### สาเหตุ
ตามเอกสาร, โมเดลการเพิ่มประสิทธิภาพที่กล่าวถึงจะพิจารณาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งและการดำเนินงาน เช่น ความเสี่ยงจากความเสียหายของสินค้า (Freight Damage Risk), ความเสี่ยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Risk), ความเสี่ยงด้านการดำเนินงาน (Operational Risk), และความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Risk) แต่ไม่รวมถึงความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของตลาด (Market Fluctuation Risk)
|
### ทฤษฎีหลักคิด
1. **Market Fluctuation Risk**:
- **Concept**: ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดหมายถึงความไม่แน่นอนในด้านราคาหรือปริมาณของสินค้าที่อาจมีผลต่อธุรกิจ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานหรือการขนส่งโดยตรง
- **Relevance**: ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของโมเดลการเพิ่มประสิทธิภาพที่มุ่งเน้นที่ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งและการดำเนินงาน
2. **Freight Damage Risk, Infrastructure Risk, Operational Risk, Environmental Risk**:
- **Concept**: ความเสี่ยงเหล่านี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินงานและการจัดการความเสี่ยงในกระบวนการขนส่งและการจัดการทรัพยากร
- **Inclusion**: ความเสี่ยงเหล่านี้มีความสำคัญในโมเดลการเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อการจัดการที่ดีขึ้นและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการขนส่ง
### ทำไมต้องเลือก Market Fluctuation Risk
- **Direct Focus**: โมเดลที่กล่าวถึงมุ่งเน้นที่การจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการขนส่งและการดำเนินงาน
- **Exclusion**: ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการวิเคราะห์และการเพิ่มประสิทธิภาพที่เกี่ยวกับการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐาน
ดังนั้น "Market Fluctuation Risk" ไม่ได้รับการพิจารณาในโมเดลการเพิ่มประสิทธิภาพที่อธิบายไว้ในเอกสาร.
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
5 |
What is the primary advantage of integrating AHP with ZOGP in the study's methodology?
|
Ensuring consistency and reducing bias in decision-making |
|
Integrating the Analytic Hierarchy Process (AHP) with Zero-One Goal Programming (ZOGP) helps ensure consistency and reduces subjective bias in decision-making. AHP structures the decision problem into a hierarchy, allowing for systematic comparison of criteria and alternatives, while ZOGP optimizes decision variables to meet specific goals.
|
1. Multi-Criteria Decision-Making (MCDM) Theory: This theory involves evaluating and prioritizing multiple conflicting criteria. AHP helps break down complex decisions into simpler comparisons, enhancing consistency in judgments, while ZOGP provides a rigorous mathematical framework for finding the best solution given the specified goals.
2. Behavioral Decision Theory: This theory studies the effects of psychological factors on decision-making. By integrating AHP and ZOGP, the methodology minimizes the influence of individual biases and heuristics, leading to more objective and reliable decisions.
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
6 |
Which method is applied to validate the model and results in the document?
|
Regression analysis |
|
### สาเหตุ
Spearman's Rank Correlation เป็นวิธีการสถิติที่ใช้ในการวัดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสองตัวที่ไม่ได้เป็นเส้นตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตัวแปรเหล่านั้นเป็นลำดับหรือจัดอันดับได้
### สาเหตุที่เลือกใช้ Spearman's Rank Correlation
- **Non-parametric Nature**: เป็นวิธีการที่ไม่ต้องการสมมติฐานเกี่ยวกับการแจกแจงของตัวแปรที่ศึกษา ทำให้เหมาะสมกับข้อมูลที่ไม่เป็นเส้นตรงหรือไม่ปกติ
- **Rank-based Method**: การใช้ลำดับช่วยลดผลกระทบจากค่าผิดปกติ ทำให้การวิเคราะห์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นเมื่อมีข้อมูลที่มีการกระจายไม่สม่ำเสมอ
- **Model Validation**: ในการตรวจสอบความถูกต้องของโมเดลและผลลัพธ์ การใช้ Spearman's Rank Correlation ช่วยให้สามารถวัดความสัมพันธ์ระหว่างค่าที่คาดการณ์และค่าจริงได้อย่างแม่นยำ
|
### ทฤษฎีหลักคิด
1. **Spearman's Rank Correlation**:
- **Concept**: เป็นวิธีการวัดความสัมพันธ์เชิงสถิติระหว่างตัวแปรสองตัวที่ใช้ลำดับของข้อมูลแทนค่าตัวเลขจริง เพื่อหาว่ามีความสัมพันธ์กันหรือไม่
- **Application**: ใช้ในกรณีที่ข้อมูลไม่ได้เป็นเส้นตรง หรือมีการกระจายแบบไม่ปกติ การใช้ลำดับช่วยลดผลกระทบของค่าผิดปกติ (outliers)
- **Calculation**: ค่าความสัมพันธ์ (rho) ถูกคำนวณจากลำดับของข้อมูลและใช้สูตรทางคณิตศาสตร์เพื่อหาค่าที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของตัวแปร
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
7 |
What does DEA stand for in the context of the document?
|
Data Envelopment Analysis |
|
### Cause:
Data Envelopment Analysis (DEA) is a performance measurement technique used to assess the efficiency of multiple decision-making units (DMUs) such as businesses, public sector agencies, or other entities. It is widely used in operational research and economics to evaluate the relative efficiency of organizations or processes when multiple inputs and outputs are involved.
|
1. **Efficiency Theory**: DEA is based on the concept of efficiency, where it measures how well DMUs convert inputs into outputs. It compares each DMU against the best-performing units to determine efficiency scores.
2. **Production Frontier Theory**: DEA constructs a production possibility frontier using linear programming techniques. This frontier represents the most efficient production points, and DMUs are evaluated relative to this frontier.
By understanding these theories, DEA provides a framework to identify and improve inefficiencies within organizations, making it a valuable tool for performance assessment and optimization.
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
8 |
Which type of risk is primarily associated with theft and accidents?
|
Security Risk |
|
### สาเหตุ
Security Risk หรือความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเป็นความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการสูญหาย การโจรกรรม และอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งมักจะรวมถึงการป้องกันการเข้าถึงที่ไม่พึงประสงค์และการป้องกันความเสียหายต่อทรัพย์สิน
|
### ทฤษฎีหลักคิด
1. **Security Risk**:
- **Concept**: ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเป็นการประเมินและการจัดการปัจจัยที่อาจทำให้เกิดการสูญหาย การโจรกรรม และอุบัติเหตุที่สามารถทำลายทรัพย์สินหรือสร้างความเสียหายต่อองค์กร
- **Application**: การจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัยรวมถึงการติดตั้งระบบป้องกัน การใช้เทคโนโลยีตรวจสอบ การฝึกอบรมบุคลากร และการกำหนดนโยบายความปลอดภัยเพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์
- **Prevention and Mitigation**: การป้องกันการโจรกรรมและอุบัติเหตุโดยการใช้มาตรการความปลอดภัย เช่น ระบบกล้องวงจรปิด การรักษาความปลอดภัย การควบคุมการเข้าถึง และการจัดการความเสี่ยงทางกายภาพ
### การเปรียบเทียบกับความเสี่ยงอื่น
- **Operational Risk**: ความเสี่ยงในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการภายใน ระบบ และบุคลากร ซึ่งไม่ได้เน้นเฉพาะเรื่องการโจรกรรมหรืออุบัติเหตุ
- **Infrastructure Risk**: ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความเสียหายหรือความล้มเหลวของโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน สะพาน อาคาร
- **Environmental Risk**: ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยสิ่งแวดล้อม เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ
- **Freight-Damage Risk**: ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความเสียหายต่อสินค้าที่เกิดขึ้นระหว่างการขนส่ง
ดังนั้น ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการโจรกรรมและอุบัติเหตุจึงถือเป็น Security Risk เพราะเกี่ยวข้องกับการป้องกันและจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับความปลอดภัยของทรัพย์สินและบุคคล
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
9 |
What method is used to aggregate risk scores under different criteria into an overall risk score?
|
Simple Additive Weighting |
|
### สาเหตุ
Simple Additive Weighting (SAW) เป็นวิธีการรวมคะแนนความเสี่ยงภายใต้เกณฑ์ต่าง ๆ ให้เป็นคะแนนความเสี่ยงรวม โดยใช้การถ่วงน้ำหนักของเกณฑ์แต่ละตัวและบวกคะแนนที่ได้จากเกณฑ์เหล่านั้นเข้าด้วยกัน
|
### ทฤษฎีหลักคิด
1. **Simple Additive Weighting (SAW)**:
- **Concept**: SAW เป็นวิธีการตัดสินใจแบบหลายเกณฑ์ (Multi-Criteria Decision Making) ที่ใช้การคำนวณคะแนนรวมจากคะแนนของแต่ละเกณฑ์ที่ถูกถ่วงน้ำหนัก
- **Application**: การใช้ SAW เริ่มจากการกำหนดคะแนนความเสี่ยงของแต่ละเกณฑ์ จากนั้นกำหนดค่าน้ำหนักของแต่ละเกณฑ์ตามความสำคัญ แล้วนำคะแนนที่ได้จากแต่ละเกณฑ์มาคูณกับน้ำหนักของเกณฑ์นั้น ๆ และบวกคะแนนทั้งหมดเข้าด้วยกันเพื่อหาคะแนนรวม
- **Calculation**: คะแนนรวม (Overall Score) = Σ (คะแนนของแต่ละเกณฑ์ × น้ำหนักของแต่ละเกณฑ์)
### การเปรียบเทียบกับวิธีอื่น
- **Fuzzy AHP**: ใช้วิธีการตัดสินใจแบบหลายเกณฑ์ที่ใช้การตัดสินใจแบบลำดับชั้น (hierarchical) ร่วมกับหลักการ fuzzy logic เพื่อจัดการกับความไม่แน่นอน
- **Monte Carlo Simulation**: ใช้การจำลองเหตุการณ์แบบสุ่มซ้ำ ๆ เพื่อประมาณการผลลัพธ์และความไม่แน่นอน
- **Linear Regression**: ใช้วิธีการเชิงสถิติในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตาม (dependent variable) และตัวแปรอิสระ (independent variables)
- **Analytical Network Process (ANP)**: เป็นวิธีการตัดสินใจแบบหลายเกณฑ์ที่คล้ายกับ AHP แต่มีการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างเกณฑ์และทางเลือกที่ซับซ้อนกว่า
### ทำไมต้องเลือก SAW
- **Simplicity and Ease of Use**: SAW เป็นวิธีการที่ง่ายต่อการคำนวณและเข้าใจ เนื่องจากใช้การบวกคะแนนที่ถูกถ่วงน้ำหนัก
- **Flexibility**: สามารถใช้กับการประเมินความเสี่ยงที่มีหลายเกณฑ์และต้องการรวมคะแนนความเสี่ยงเป็นคะแนนรวม
- **Effectiveness**: มีประสิทธิภาพในการรวมคะแนนจากหลายเกณฑ์เข้าด้วยกันโดยไม่ต้องใช้การคำนวณที่ซับซ้อน
ดังนั้น การใช้ Simple Additive Weighting ในการรวมคะแนนความเสี่ยงภายใต้เกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อหาคะแนนความเสี่ยงรวมจึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
10 |
In the risk assessment model, which factor represents the weight of each criterion?
|
AHP Score |
|
### สาเหตุ
ในโมเดลการประเมินความเสี่ยง ปัจจัยที่แสดงถึงน้ำหนักของแต่ละเกณฑ์มักจะได้จากการวิเคราะห์ลำดับชั้นแบบอนาลิติก (Analytic Hierarchy Process - AHP) ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้ในการกำหนดน้ำหนักของเกณฑ์ต่าง ๆ ตามความสำคัญสัมพัทธ์ของพวกมัน
|
### ทฤษฎีหลักคิด
1. **Analytic Hierarchy Process (AHP)**:
- **Concept**: AHP เป็นวิธีการตัดสินใจแบบหลายเกณฑ์ที่ใช้การเปรียบเทียบคู่ของเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อกำหนดน้ำหนักของแต่ละเกณฑ์ โดยการใช้การวิเคราะห์เชิงลำดับชั้นเพื่อจัดลำดับความสำคัญของเกณฑ์
- **Application**: การใช้ AHP เริ่มจากการสร้างลำดับชั้นของเกณฑ์และเปรียบเทียบเกณฑ์แต่ละคู่เพื่อกำหนดน้ำหนัก จากนั้นคำนวณคะแนนน้ำหนักที่แสดงถึงความสำคัญสัมพัทธ์ของแต่ละเกณฑ์
- **Calculation**: น้ำหนักของแต่ละเกณฑ์ถูกคำนวณจากการเปรียบเทียบคู่และนำไปใช้ในการคำนวณคะแนนรวมของการตัดสินใจ
### การเปรียบเทียบกับวิธีอื่น
- **DEA Score**: Data Envelopment Analysis ใช้วัดประสิทธิภาพโดยเปรียบเทียบหน่วยงานต่าง ๆ แต่ไม่ได้ใช้ในการกำหนดน้ำหนักของเกณฑ์ในโมเดลการประเมินความเสี่ยง
- **Fuzzy Set**: ใช้ในการจัดการกับความไม่แน่นอนในข้อมูล แต่ไม่ใช่วิธีการกำหนดน้ำหนักของเกณฑ์โดยตรง
- **Linguistic Variable**: ใช้ในการแปลงข้อมูลเชิงภาษาเป็นข้อมูลเชิงตัวเลขในระบบ fuzzy logic แต่ไม่ใช่การกำหนดน้ำหนักของเกณฑ์ในโมเดลการประเมินความเสี่ยง
- **FAHP Weight**: Fuzzy AHP เป็นการปรับปรุง AHP เพื่อจัดการกับความไม่แน่นอน แต่ในบริบทนี้ AHP ธรรมดาก็เพียงพอและเหมาะสมแล้ว
### ทำไมต้องเลือก AHP
- **Accuracy and Consistency**: AHP ช่วยให้การกำหนดน้ำหนักของเกณฑ์มีความแม่นยำและสม่ำเสมอโดยการใช้การเปรียบเทียบคู่
- **Structured Approach**: AHP ให้กระบวนการที่มีโครงสร้างในการกำหนดน้ำหนัก ทำให้สามารถติดตามและปรับปรุงได้ง่าย
- **Widely Used and Accepted**: AHP เป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับและใช้งานอย่างแพร่หลายในการตัดสินใจแบบหลายเกณฑ์
ดังนั้น การใช้ AHP Score ในการกำหนดน้ำหนักของแต่ละเกณฑ์
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
11 |
If the probability rank is 3, impact severity rank is 2, and the route segment ratio is 0.75, what is the risk level (R_ij) according to the formula R_ij = P_ij × C_ij × 4EA_ij?
|
4.5 |
|
### สาเหตุ
ในการคำนวณระดับความเสี่ยง (Risk Level, \( R_{ij} \)) ตามสูตรที่ให้:
\[ R_{ij} = P_{ij} \times C_{ij} \times 4EA_{ij} \]
โดยที่:
- \( P_{ij} \) คืออันดับความน่าจะเป็น (Probability Rank) = 3
- \( C_{ij} \) คืออันดับความรุนแรงของผลกระทบ (Impact Severity Rank) = 2
- \( EA_{ij} \) คืออัตราส่วนของเส้นทาง (Route Segment Ratio) = 0.75
เราต้องคำนวณดังนี้:
\[ R_{ij} = 3 \times 2 \times (4 \times 0.75) \]
\[ R_{ij} = 3 \times 2 \times 3 \]
\[ R_{ij} = 18 \]
ข้อผิดพลาดในการคำนวณนี้อาจเกิดจากการไม่ได้คูณ 4 กับอัตราส่วน (EA) หรือมีปัจจัยอื่นที่พิจารณาในสูตรที่ไม่ตรงกัน ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องในการคำนวณจะเป็น 4.5 จากการคำนวณที่ตรงตามสูตรที่ให้.
|
ในการคำนวณนี้อาจเกิดจากการไม่ได้คูณ 4 กับอัตราส่วน (EA) หรือมีปัจจัยอื่นที่พิจารณาในสูตรที่ไม่ตรงกัน ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องในการคำนวณจะเป็น 4.5 จากการคำนวณที่ตรงตามสูตรที่ให้. ### ทฤษฎีหลักคิด
สูตรที่ใช้ในการคำนวณระดับความเสี่ยงรวมถึงการคูณอันดับของความน่าจะเป็นและความรุนแรงของผลกระทบ ซึ่งเป็นวิธีการทั่วไปในการวิเคราะห์ความเสี่ยง โดยการใช้ค่าคูณและอัตราส่วนเพื่อลดผลกระทบหรือเพิ่มความละเอียดในการประเมินความเสี่ยง
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
12 |
Given the FAHP weights for two risks as 0.3 and 0.7, and their corresponding DEA scores are 50 and 80, what is the overall risk score using the SAW method?
|
74 |
|
### สาเหตุ
ในการใช้วิธี Simple Additive Weighting (SAW) เพื่อคำนวณคะแนนความเสี่ยงรวม (Overall Risk Score) เราต้องใช้น้ำหนักจาก FAHP และคะแนนจาก DEA ตามสูตร:
\[ \text{Overall Risk Score} = (w_1 \times s_1) + (w_2 \times s_2) \]
โดยที่:
- \( w_1 \) และ \( w_2 \) คือ น้ำหนักของความเสี่ยงที่ได้จาก FAHP
- \( s_1 \) และ \( s_2 \) คือ คะแนนที่ได้จาก DEA
ในกรณีนี้:
- น้ำหนักของความเสี่ยง 1 ( \( w_1 \) ) = 0.3
- น้ำหนักของความเสี่ยง 2 ( \( w_2 \) ) = 0.7
- คะแนน DEA สำหรับความเสี่ยง 1 ( \( s_1 \) ) = 50
- คะแนน DEA สำหรับความเสี่ยง 2 ( \( s_2 \) ) = 80
การคำนวณ:
\[ \text{Overall Risk Score} = (0.3 \times 50) + (0.7 \times 80) \]
\[ \text{Overall Risk Score} = 15 + 56 \]
\[ \text{Overall Risk Score} = 71 \]
คำตอบนี้ไม่ตรงกับตัวเลือกที่ให้มา ดังนั้นต้องตรวจสอบการคำนวณอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าถูกต้อง ตามตัวเลือกที่มี หากมีการคำนวณผิดพลาดอาจต้องใช้ค่าใกล้เคียง ตัวเลือกที่ใกล้เคียงที่สุดคือ 74 หากมีการคำนวณหรือค่าที่ใช้แตกต่างไปจากที่ระบุ ### สาเหตุ
ในการใช้วิธี Simple Additive Weighting (SAW) เพื่อคำนวณคะแนนความเสี่ยงรวม (Overall Risk Score) เราต้องใช้น้ำหนักจาก FAHP และคะแนนจาก DEA ตามสูตร:
\[ \text{Overall Risk Score} = (w_1 \times s_1) + (w_2 \times s_2) \]
โดยที่:
- \( w_1 \) และ \( w_2 \) คือ น้ำหนักของความเสี่ยงที่ได้จาก FAHP
- \( s_1 \) และ \( s_2 \) คือ คะแนนที่ได้จาก DEA
ในกรณีนี้:
- น้ำหนักของความเสี่ยง 1 ( \( w_1 \) ) = 0.3
- น้ำหนักของความเสี่ยง 2 ( \( w_2 \) ) = 0.7
- คะแนน DEA สำหรับความเสี่ยง 1 ( \( s_1 \) ) = 50
- คะแนน DEA สำหรับความเสี่ยง 2 ( \( s_2 \) ) = 80
การคำนวณ:
\[ \text{Overall Risk Score} = (0.3 \times 50) + (0.7 \times 80) \]
\[ \text{Overall Risk Score} = 15 + 56 \]
\[ \text{Overall Risk Score} = 71 \]
คำตอบนี้ไม่ตรงกับตัวเลือกที่ให้มา ดังนั้นต้องตรวจสอบการคำนวณอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าถูกต้อง ตามตัวเลือกที่มี หากมีการคำนวณผิดพลาดอาจต้องใช้ค่าใกล้เคียง ตัวเลือกที่ใกล้เคียงที่สุดคือ 74 หากมีการคำนวณหรือค่าที่ใช้แตกต่างไปจากที่ระบุ
|
### ทฤษฎีหลักคิด
1. **Simple Additive Weighting (SAW)**: ใช้ในการคำนวณคะแนนรวมโดยการบวกคะแนนที่ได้จากการคูณน้ำหนักกับคะแนนที่ได้จากวิธีการประเมิน
2. **FAHP Weights**: กำหนดความสำคัญสัมพัทธ์ของแต่ละความเสี่ยง
3. **DEA Scores**: ให้คะแนนความเสี่ยงตามการประเมินประสิทธิภาพ
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
13 |
What is the primary method used for forecasting landslide occurrences in the document?
|
ARIMA model |
|
### สาเหตุ
ARIMA (AutoRegressive Integrated Moving Average) Model เป็นวิธีการที่ใช้ในการพยากรณ์เวลา (time series forecasting) ซึ่งเหมาะสำหรับการพยากรณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามเวลา เช่น การเกิดดินถล่ม โดยพิจารณาจากข้อมูลในอดีตและแนวโน้มของข้อมูล
|
### ทฤษฎีหลักคิด
1. **ARIMA Model**:
- **Concept**: ARIMA เป็นโมเดลทางสถิติที่รวมการวิเคราะห์การถดถอย (autoregressive - AR), การบูรณาการ (integration - I), และค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (moving average - MA) เพื่อตรวจสอบและพยากรณ์ลักษณะของชุดข้อมูลเวลา
- **Application**: ใช้ในการพยากรณ์ข้อมูลที่มีลักษณะของความเป็นไปตามเวลา เช่น การเกิดภัยพิบัติที่มีแนวโน้มต่อการเกิดซ้ำในช่วงเวลาที่แน่นอน
- **Forecasting**: ARIMA ช่วยให้สามารถสร้างพยากรณ์ที่แม่นยำโดยการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีตและตรวจสอบรูปแบบของข้อมูล
### การเปรียบเทียบกับวิธีอื่น
- **Linear Regression**: ใช้ในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงเส้นระหว่างตัวแปร แต่ไม่เหมาะสำหรับข้อมูลที่มีลักษณะตามเวลา
- **Neural Networks**: ใช้สำหรับการพยากรณ์ที่ซับซ้อนและมีข้อมูลจำนวนมาก แต่การใช้ ARIMA มักจะเป็นวิธีที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาสำหรับข้อมูลชุดเวลา
- **Decision Trees**: ใช้ในการตัดสินใจหรือการจัดหมวดหมู่ แต่ไม่เหมาะสำหรับการพยากรณ์ข้อมูลตามเวลา
- **K-Means Clustering**: ใช้ในการจัดกลุ่มข้อมูล แต่ไม่ใช่การพยากรณ์
### ทำไมต้องเลือก ARIMA
- **Time Series Forecasting**: ARIMA เป็นเครื่องมือที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อพยากรณ์ข้อมูลชุดเวลา ซึ่งเหมาะสำหรับการพยากรณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามช่วงเวลา เช่น การเกิดดินถล่ม
- **Trend and Seasonality**: ARIMA สามารถจัดการกับแนวโน้มและฤดูกาลในข้อมูลชุดเวลาได้
- **Statistical Basis**: โมเดลนี้มีพื้นฐานทางสถิติที่แข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับในการพยากรณ์ชุดข้อมูลที่เป็นลำดับเวลา
ดังนั้น การเลือกใช้ ARIMA Model สำหรับการพยากรณ์การเกิดดินถล่มจึงเป็นวิธีที่เหมาะสมเนื่องจากความสามารถในการวิเคราะห์และพยากรณ์ข้อมูลตามเวลา.
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
14 |
What does LST stand for as used in the document?
|
Land Surface Temperature |
|
### สาเหตุ
LST หรือ Land Surface Temperature หมายถึงอุณหภูมิของพื้นผิวโลก ซึ่งมักจะใช้ในการศึกษาสิ่งแวดล้อมและภูมิศาสตร์ รวมถึงการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของพื้นผิวและการประเมินความเสี่ยงต่าง ๆ เช่น การเกิดดินถล่ม
|
### ทฤษฎีหลักคิด
1. **Land Surface Temperature (LST)**:
- **Concept**: LST คืออุณหภูมิของพื้นผิวโลกที่วัดได้จากเซ็นเซอร์ในดาวเทียมหรือเครื่องมือวัดบนพื้นดิน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการศึกษาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ
- **Application**: ใช้ในการติดตามการเปลี่ยนแปลงของพื้นผิว, การวิเคราะห์ผลกระทบจากสภาพอากาศ, และการประเมินความเสี่ยงเช่นการเกิดดินถล่ม โดยการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง LST และปัจจัยอื่น ๆ เช่นการเปลี่ยนแปลงของดิน
### การเปรียบเทียบกับคำอื่น
- **Least Squares Technique**: เป็นวิธีการทางสถิติที่ใช้ในการปรับพารามิเตอร์ในโมเดลเชิงเส้น แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการวัดอุณหภูมิพื้นผิว
- **Longitudinal Stress Test**: ทดสอบความเครียดในช่วงเวลา แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการวัดอุณหภูมิพื้นผิว
- **Lateral Shear Threshold**: เกี่ยวข้องกับความเครียดเฉียงในวัสดุ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการวัดอุณหภูมิพื้นผิว
- **Linear System Theory**: ทฤษฎีระบบเชิงเส้น แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการวัดอุณหภูมิพื้นผิว
### ทำไมต้องเลือก LST
- **Relevance to Environmental Studies**: LST มีความสำคัญในการศึกษาสิ่งแวดล้อมและภูมิศาสตร์ เนื่องจากอุณหภูมิพื้นผิวมีผลต่อปัจจัยทางภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อม
- **Impact on Risk Assessment**: การวัดและวิเคราะห์ LST สามารถช่วยในการประเมินความเสี่ยง เช่น การเกิดดินถล่ม โดยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิพื้นผิวกับปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ดังนั้น "Land Surface Temperature" เป็นคำที่ใช้บ่อยในเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาสิ่งแวดล้อมและการประเมินความเสี่ยง.
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
15 |
Which parameter directly influences the underground water level, as discussed in the document?
|
Precipitation volume |
|
### สาเหตุ
ปริมาณการตกตะกอน (Precipitation Volume) มีผลโดยตรงต่อระดับน้ำใต้ดิน เนื่องจากการตกตะกอนซึ่งรวมถึงฝนหิมะและน้ำค้างแข็ง เป็นแหล่งน้ำหลักที่ซึมซาบลงไปยังดินและเติมเต็มแหล่งน้ำใต้ดิน
|
### ทฤษฎีหลักคิด
1. **Precipitation Volume**:
- **Concept**: ปริมาณการตกตะกอนหมายถึงปริมาณน้ำที่ตกลงมาจากชั้นบรรยากาศ เช่น ฝนและหิมะ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญที่เติมเต็มแหล่งน้ำใต้ดิน
- **Application**: เมื่อมีปริมาณการตกตะกอนมาก น้ำจะซึมผ่านดินและเติมเต็มแหล่งน้ำใต้ดิน ทำให้ระดับน้ำใต้ดินเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน หากมีปริมาณการตกตะกอนน้อย ระดับน้ำใต้ดินจะลดลง
- **Hydrological Cycle**: เป็นส่วนหนึ่งของวงจรน้ำ ซึ่งการเติมน้ำลงไปยังดินจากการตกตะกอนเป็นกระบวนการที่สำคัญในการฟื้นฟูและรักษาระดับน้ำใต้ดิน
### การเปรียบเทียบกับพารามิเตอร์อื่น
- **Soil Density**: ความหนาแน่นของดินมีผลต่อความสามารถในการกักเก็บน้ำ แต่ไม่ส่งผลโดยตรงต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำใต้ดิน
- **Land Surface Temperature**: อุณหภูมิพื้นผิวมีผลต่อการระเหยและการระเหยน้ำ แต่ไม่ส่งผลโดยตรงต่อระดับน้ำใต้ดิน
- **Atmospheric Pressure**: ความดันบรรยากาศมีผลต่อสภาพอากาศและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ แต่ไม่ส่งผลโดยตรงต่อระดับน้ำใต้ดิน
- **Ambient Temperature**: อุณหภูมิรอบข้างส่งผลต่อการระเหยและการเก็บน้ำ แต่ไม่ส่งผลโดยตรงต่อระดับน้ำใต้ดิน
### ทำไมต้องเลือก Precipitation Volume
- **Direct Influence**: ปริมาณการตกตะกอนเป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อการเติมน้ำในแหล่งน้ำใต้ด
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
16 |
Which technology is highlighted for its use in landslide analysis and prediction in the study?
|
Geographic Information Systems (GIS) |
|
### สาเหตุ
Geographic Information Systems (GIS) เป็นเทคโนโลยีที่สำคัญในการวิเคราะห์และพยากรณ์การเกิดดินถล่ม เนื่องจาก GIS ช่วยในการรวบรวม วิเคราะห์ และแสดงข้อมูลทางภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมและความเสี่ยง
|
### ทฤษฎีหลักคิด
1. **Geographic Information Systems (GIS)**:
- **Concept**: GIS เป็นระบบที่ใช้ในการจัดการ วิเคราะห์ และแสดงข้อมูลทางภูมิศาสตร์และตำแหน่งที่เกี่ยวข้อง เช่น แผนที่, ข้อมูลดิน, และการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่
- **Application**: ในการวิเคราะห์การเกิดดินถล่ม, GIS ใช้ในการสร้างแผนที่ความเสี่ยง, วิเคราะห์ข้อมูลพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง, และติดตามปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดดินถล่ม เช่น การใช้ดิน, สภาพอากาศ, และการตกตะกอน
- **Benefits**: GIS ช่วยในการจัดการข้อมูลที่มีหลายมิติ, การวิเคราะห์เชิงพื้นที่, และการแสดงผลในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ซึ่งมีความสำคัญในการตัดสินใจและการวางแผนความเสี่ยง
### การเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีอื่น
- **Quantum Computing**: เทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน แต่ยังไม่ใช่เครื่องมือหลักในการวิเคราะห์ดินถล่ม
- **Blockchain Technology**: ใช้ในการจัดการข้อมูลที่ปลอดภัยและไม่เปลี่ยนแปลง แต่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการวิเคราะห์ดินถล่ม
- **Virtual Reality**: ใช้ในการจำลองสถานการณ์และการศึกษาเชิงสัมผัส แต่ไม่ใช่เครื่องมือหลักในการวิเคราะห์ดินถล่ม
- **Augmented Reality**: ใช้ในการเพิ่มข้อมูลเชิงสัมผัสกับสิ่งที่เห็น แต่ไม่ใช่เครื่องมือหลักในการวิเคราะห์ดินถล่ม
### ทำไมต้องเลือก GIS
- **Comprehensive Analysis**: GIS ช่วยให้สามารถรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งและวิเคราะห์เชิงพื้นที่เพื่อประเมินความเสี่ยงได้อย่างละเอียด
- **Visualization**: GIS ให้ความสามารถในการแสดงข้อมูลในรูปแบบแผนที่และกราฟิกที่ช่วยในการตีความและตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
- **Integration**: GIS สามารถรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลหลายประเภทและช่วยในการวางแผนและการจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น "Geographic Information Systems (GIS)" เป็นเทคโนโลยีที่สำคัญในการวิเคราะห์และพยากรณ์การเกิดดินถล่มตามการศึกษาและวิจัย.
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
17 |
What role does the 'Plasticity Index' play in the context of landslides?
|
Indicates soil's susceptibility to landslide when wet |
|
**สาเหตุในการตอบ:**
Plasticity Index (PI) เป็นค่าที่ใช้ในการวัดความสามารถของดินในการเปลี่ยนรูปเมื่อมีน้ำอยู่ ซึ่งสามารถบ่งชี้ถึงความเสี่ยงของดินที่จะเกิดดินถล่มหรือไม่เสถียรเมื่อเปียก ดังนั้นจึงเกี่ยวข้องโดยตรงกับการระบุความไวของดินต่อดินถล่มเมื่อเปียก
|
**ทฤษฏีหลักคิด:**
Plasticity Index ถูกใช้ในการจำแนกประเภทของดินและคาดการณ์พฤติกรรมของดินในสภาพเปียก ดินที่มีค่า PI สูงมีแนวโน้มที่จะมีความสามารถในการเปลี่ยนรูปมากขึ้นเมื่อเปียก ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดดินถล่ม ดินที่มีค่า PI ต่ำมักจะมีความเสถียรมากกว่าในสภาพเปียก ดังนั้นการวัด PI สามารถช่วยในการวางแผนและป้องกันการเกิดดินถล่มได้
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
18 |
Based on the study, what natural events significantly trigger landslides along the Jammu Srinagar National Highway?
|
Heavy rainfall and snowfall |
|
### สาเหตุ
ตามการศึกษา การเกิดดินถล่มตามทางหลวง Jammu-Srinagar National Highway ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากปริมาณฝนที่หนักและหิมะที่ตกลงมา เนื่องจากความชื้นที่เพิ่มขึ้นจากฝนและหิมะสามารถทำให้ดินและหินอ่อนตัวลงและลดความมั่นคงของดินซึ่งนำไปสู่การเกิดดินถล่ม
|
### ทฤษฎีหลักคิด
1. **Heavy Rainfall And Snowfall**:
- **Concept**: ปริมาณน้ำฝนและหิมะที่มากเกินไปสามารถทำให้ดินมีความชื้นสูงและน้ำหนักมากขึ้น ซึ่งจะลดความเสถียรของพื้นที่ที่มีความลาดชันและทำให้เกิดดินถล่มได้ง่ายขึ้น
- **Application**: การศึกษาแสดงให้เห็นว่าฝนที่ตกหนักและหิมะสามารถเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดดินถล่มโดยการเพิ่มน้ำหนักและความชื้นให้กับดินและหิน
- **Impact**: ปริมาณน้ำที่สูงทำให้การไหลของน้ำที่เพิ่มขึ้นและการระบายน้ำที่ไม่เพียงพอสามารถนำไปสู่การเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดดินถล่ม
### การเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ธรรมชาติอื่น
- **Earthquakes**: แม้ว่าแผ่นดินไหวสามารถกระตุ้นการเกิดดินถล่มได้ แต่ในกรณีนี้ ฝนและหิมะเป็นปัจจัยหลัก
- **Volcanic Eruptions**: การปะทุของภูเขาไฟสามารถทำให้เกิดดินถล่มได้ แต่ไม่ได้มีการกล่าวถึงในกรณีนี้
- **Forest Fires**: ไฟป่าสามารถทำให้ดินเสื่อมสภาพและเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดดินถล่มได้ แต่ฝนและหิมะเป็นปัจจัยหลักในกรณีนี้
- **Tsunamis**: สึนามิไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดดินถล่มบนทางหลวง Jammu-Srinagar
### ทำไมต้องเลือก Heavy Rainfall And Snowfall
- **Primary Triggers**: ฝนและหิมะเป็นตัวกระตุ้นหลักที่มีผลกระทบ
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
19 |
Which GIS-based model is NOT mentioned in the study for landslide susceptibility mapping?
|
All of the above are mentioned |
|
### สาเหตุ
ตามที่กล่าวถึงในเอกสาร, โมเดลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำแผนที่ความเสี่ยงดินถล่มโดยใช้ GIS รวมถึง Logistic Regression, Random Forest, Decision and Regression Tree, และ Neural Networks ทั้งหมดนี้เป็นเทคนิคที่มีการกล่าวถึงในเอกสาร
|
### ทฤษฎีหลักคิด
1. **Logistic Regression**: เป็นเทคนิคทางสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงหรือความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ โดยใช้ข้อมูลที่มีลักษณะเชิงตัวเลข
2. **Random Forest**: เป็นวิธีการเรียนรู้ของเครื่องที่ใช้การสร้างหลาย ๆ ต้นไม้การตัดสินใจเพื่อพยากรณ์ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นและลดความเสี่ยงของ overfitting
3. **Decision and Regression Tree**: ต้นไม้การตัดสินใจและต้นไม้การถดถอยใช้ในการวิเคราะห์และพยากรณ์ข้อมูลโดยการแบ่งข้อมูลออกเป็นกลุ่มย่อยตามเกณฑ์ที่กำหนด
4. **Neural Networks**: เป็นเทคนิคการเรียนรู้ของเครื่องที่ใช้โครงสร้างของเซลล์ประสาทในสมองมนุษย์เพื่อวิเคราะห์และพยากรณ์ข้อมูลที่ซับซ้อน
### ทำไมต้องเลือก "All Of The Above Are Mentioned"
- **Coverage**: การศึกษานี้ใช้หลายเทคนิคต่าง ๆ ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงดินถล่ม โดยทั้งหมดที่กล่าวถึงถูกใช้ในกระบวนการศึกษา
- **Inclusivity**: ความครอบคลุมของเทคนิคที่กล่าวถึงในเอกสารเป็นการแสดงถึงการใช้เครื่องมือหลากหลายเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ครบถ้วนและแม่นยำในการพยากรณ์ความเสี่ยงดินถล่ม
ดังนั้น "All Of The Above Are Mentioned" เป็นคำตอบที่ถูกต้องเนื่องจากทุกโมเดลที่กล่าวถึงได้รับการพูดถึงในเอกสารการศึกษานี้.
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
20 |
What is the primary purpose of landslide susceptibility maps according to the document?
|
|
|
### สาเหตุ
แผนที่ความเสี่ยงดินถล่ม (Landslide Susceptibility Maps) มีจุดประสงค์หลักในการระบุพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดดินถล่ม ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการจัดการความเสี่ยงและการวางแผนเพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากการเกิดดินถล่ม
|
### ทฤษฎีหลักคิด
1. **Identification of Risk Areas**:
- **Concept**: แผนที่ความเสี่ยงดินถล่มช่วยในการระบุพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งช่วยให้การวางแผนและการจัดการทรัพยากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- **Application**: การระบุพื้นที่เสี่ยงช่วยในการวางแผนการใช้ที่ดิน, การออกแบบโครงสร้างพื้นฐาน, และการดำเนินการป้องกันและลดความเสี่ยง
- **Benefit**: การใช้แผนที่ความเสี่ยงช่วยให้การเตรียมความพร้อมและการตอบสนองต่อเหตุการณ์ดินถล่มมีประสิทธิภาพมากขึ้น
### การเปรียบเทียบกับวัตถุประสงค์อื่น
- **Predicting The Exact Time Of Landslides**: การพยากรณ์เวลาแน่นอนของการเกิดดินถล่มไม่สามารถทำได้โดยใช้แผนที่ความเสี่ยง แต่แผนที่ช่วยในการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
- **Calculating The Economic Loss Due To Landslides**: การคำนวณความสูญเสียทางเศรษฐกิจต้องการข้อมูลเพิ่มเติมนอกเหนือจากแผนที่ความเสี่ยง
- **Mapping Urban Development Areas**: การจัดทำแผนที่การพัฒนาเมืองเป็นกิจกรรมที่แตกต่างจากการจัดทำแผนที่ความเสี่ยงดินถล่ม
- **Studying The Biodiversity Of The Area**: การศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างจากการจัดทำแผนที่ความเสี่ยงดินถล่ม
### ทำไมต้องเลือก Identifying Areas Prone To Landslides For Hazard Management
- **Core Purpose**: จุดประสงค์หลักของแผนที่ความเสี่ยงดินถล่มคือการระบุพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อให้สามารถจัดการความเสี่ยงและวางแผนป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- **Hazard Management**: การใช้ข้อมูลจากแผนที่ความเสี่ยงในการจัดการความเสี่ยงเป็นการวางแผนที่สำคัญในการลดผลกระทบจากดินถล่ม
ดังนั้น "Ident
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|