1 |
ผู้เข้าร่วมอธิบายเว็บไซต์และแนวทางปฏิบัติของ Taskforce อย่างไร
|
น่าเชื่อถือ มีคุณค่า และเชื่อถือได้ |
|
เว็บไซต์ของ Taskforce:
ออกแบบอย่างเป็นมิตรกับผู้ใช้: เว็บไซต์ถูกออกแบบให้ใช้งานง่ายและสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
ข้อมูลที่อัปเดตอย่างสม่ำเสมอ: เว็บไซต์มีการอัปเดตข้อมูลและแนวทางการรักษาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ใช้งานสามารถมั่นใจได้ว่าพวกเขาได้รับข้อมูลที่เป็นปัจจุบันที่สุด
เครื่องมือการค้นหาและการนำทาง: มีเครื่องมือการค้นหาที่มีประสิทธิภาพและการจัดเรียงข้อมูลที่ชัดเจน ทำให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลเฉพาะที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
|
แนวทางปฏิบัติของ Taskforce:
มีความชัดเจนและเป็นประโยชน์: แนวทางการรักษาและการดูแลคนไข้ที่มี COVID-19 ได้รับการเขียนอย่างชัดเจนและเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานในชีวิตประจำวันของแพทย์และพยาบาล
หลักฐานตามหลักวิทยาศาสตร์: แนวทางเหล่านี้พัฒนาโดยอ้างอิงจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในขณะนั้น
ความยืดหยุ่นและการปรับปรุง: แนวทางมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับปรุงได้ตามหลักฐานใหม่ที่เกิดขึ้น ทำให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
2 |
การประเมินเน้นย้ำถึงอะไรเกี่ยวกับการใช้แนวปฏิบัติในการดำรงชีวิตในช่วงที่มีการระบาดใหญ่?
|
มูลค่าระหว่างฐานหลักฐานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและขยายตัว |
|
-การประเมินเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีแนวทางปฏิบัติที่สามารถอัปเดตได้อย่างรวดเร็วตามหลักฐานใหม่ที่เกิดขึ้น
-การที่ฐานหลักฐานเปลี่ยนแปลงและขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ ทำให้แนวทางปฏิบัติที่มีการอัปเดตอย่างต่อเนื่องมีความสำคัญมาก
-ความสามารถในการปรับปรุงและปรับเปลี่ยนแนวทางตามหลักฐานใหม่ๆ ทำให้มั่นใจได้ว่าแนวทางการดูแลผู้ป่วยจะยังคงมีประสิทธิภาพและทันสมัยที่สุด
|
-การประเมินเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีแนวทางปฏิบัติที่สามารถอัปเดตได้อย่างรวดเร็วตามหลักฐานใหม่ที่เกิดขึ้น
-การที่ฐานหลักฐานเปลี่ยนแปลงและขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ ทำให้แนวทางปฏิบัติที่มีการอัปเดตอย่างต่อเนื่องมีความสำคัญมาก
-ความสามารถในการปรับปรุงและปรับเปลี่ยนแนวทางตามหลักฐานใหม่ๆ ทำให้มั่นใจได้ว่าแนวทางการดูแลผู้ป่วยจะยังคงมีประสิทธิภาพและทันสมัยที่สุด
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
3 |
การกล่าวถึงผลกระทบที่หลากหลายอะไรบ้างในบทความที่เกี่ยวข้องกับแนวปฏิบัตินี้
|
ผลกระทบที่หลากหลายในสภาพแวดล้อม ตั้งแต่ระดับทางคลินิกไปจนถึงระดับนโยบาย |
|
บทความกล่าวถึงผลกระทบของแนวปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วย COVID-19 ในหลายๆ ด้าน
ผลกระทบครอบคลุมตั้งแต่การปรับปรุงการปฏิบัติทางคลินิก, การตัดสินใจในการดูแลผู้ป่วย, ไปจนถึงการกำหนดนโยบายระดับประเทศ
แนวทางปฏิบัติไม่เพียงแค่มีประโยชน์ต่อบุคลากรทางการแพทย์ในการดูแลผู้ป่วย แต่ยังมีผลต่อการวางนโยบายและการจัดการระบบสาธารณสุขในช่วงการระบาดใหญ่
|
บทความกล่าวถึงผลกระทบของแนวปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วย COVID-19 ในหลายๆ ด้าน
ผลกระทบครอบคลุมตั้งแต่การปรับปรุงการปฏิบัติทางคลินิก, การตัดสินใจในการดูแลผู้ป่วย, ไปจนถึงการกำหนดนโยบายระดับประเทศ
แนวทางปฏิบัติไม่เพียงแค่มีประโยชน์ต่อบุคลากรทางการแพทย์ในการดูแลผู้ป่วย แต่ยังมีผลต่อการวางนโยบายและการจัดการระบบสาธารณสุขในช่วงการระบาดใหญ่
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
4 |
สถานะของเนื้อเรื่องมีการสำรวจอะไรบ้างในการประเมิน
|
อุปสรรคและปัจจัยที่ทำให้เกิดผลกระทบและการดูดซึม |
|
การประเมินสำรวจถึงอุปสรรคที่ขัดขวางการนำแนวปฏิบัติไปใช้ และปัจจัยที่ช่วยให้การนำแนวปฏิบัติเหล่านี้เกิดผลกระทบเชิงบวก
วิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้แนวปฏิบัติถูกดูดซึมเข้าสู่การปฏิบัติทางคลินิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
|
อุปสรรคและปัจจัยที่ทำให้เกิดผลกระทบและการดูดซึม
-การประเมินสำรวจถึงอุปสรรคที่ขัดขวางการนำแนวปฏิบัติไปใช้ และปัจจัยที่ช่วยให้การนำแนวปฏิบัติเหล่านี้เกิดผลกระทบเชิงบวก
-วิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้แนวปฏิบัติถูกดูดซึมเข้าสู่การปฏิบัติทางคลินิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-มุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจว่ามีอะไรที่ส่งผลต่อการใช้งานแนวปฏิบัติอย่างแพร่หลายและการยอมรับในวงกว้าง
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
5 |
เขียนอธิบาย | การตรวจสอบผลกระทบของแนวปฏิบัติในการดำเนินชีวิตทั้งต่อการปฏิบัติทางคลินิกและการกำหนดนโยบาย ดังที่เน้นไว้ในการประเมินผลกระทบเหล่านี้มีส่วนช่วยในการจัดการโดยรวมของโควิด-19 อย่างไร และมีผลกระทบอะไรบ้างต่อการพัฒนาแนวปฏิบัติและกลยุทธ์การดำเนินการในอนาคต
|
การตรวจสอบผลกระทบของแนวปฏิบัติทั้งต่อการปฏิบัติทางคลินิกและการกำหนดนโยบายมีความสำคัญในการจัดการการระบาดของโควิด-19 โดยการประเมินนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้มีการปรับปรุงแนวทางและการปฏิบัติในปัจจุบัน แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการวางแผนและเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินในอนาคต ทำให้การตอบสนองต่อโรคระบาดมีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น |
|
-ผลกระทบต่อการปฏิบัติทางคลินิก:
มาตรฐานการดูแลผู้ป่วย,
การตัดสินใจทางการแพทย์
การฝึกอบรมและการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้
-ผลกระทบต่อการกำหนดนโยบาย:
การจัดทำมาตรการสาธารณสุข
การวางแผนและการบริหารจัดการทรัพยากร
การสื่อสารกับสาธารณชน
-ผลกระทบต่อการพัฒนาแนวปฏิบัติและกลยุทธ์การดำเนินการในอนาคต:
การปรับปรุงแนวทาง
การสร้างระบบการตอบสนอง
การเรียนรู้จากประสบการณ์
|
ผลกระทบต่อการปฏิบัติทางคลินิก:
มาตรฐานการดูแลผู้ป่วย: แนวปฏิบัติที่อัปเดตอย่างต่อเนื่องช่วยให้การดูแลผู้ป่วยมีมาตรฐานและเป็นไปตามหลักฐานที่ดีที่สุดในขณะนั้น ซึ่งทำให้ผลลัพธ์ทางการรักษาดีขึ้น
การตัดสินใจทางการแพทย์: แนวทางที่ชัดเจนและเชื่อถือได้ช่วยลดความไม่แน่นอนในการตัดสินใจทางการแพทย์ และทำให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
การฝึกอบรมและการเรียนรู้: แนวปฏิบัติที่อัปเดตอย่างสม่ำเสมอเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญสำหรับการฝึกอบรมและการเรียนรู้ของบุคลากรทางการแพทย์ ทำให้พวกเขาสามารถปรับตัวและพัฒนาทักษะใหม่ๆ ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้
ผลกระทบต่อการกำหนดนโยบาย:
การจัดทำมาตรการสาธารณสุข: แนวปฏิบัติที่อิงหลักฐานช่วยให้การกำหนดนโยบายสาธารณสุขมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้การควบคุมการระบาดเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การวางแผนและการบริหารจัดการทรัพยากร: ข้อมูลที่ได้รับจากการปฏิบัติทางคลินิกช่วยในการวางแผนและจัดการทรัพยากรทางการแพทย์ เช่น การจัดสรรวัคซีน การจัดการผู้ป่วยในโรงพยาบาล และการบริหารจัดการอุปกรณ์ทางการแพทย์
การสื่อสารกับสาธารณชน: แนวทางที่ชัดเจนและอัปเดตช่วยให้การสื่อสารกับประชาชนมีความแม่นยำและเชื่อถือได้ ลดความสับสนและความกังวลของประชาชน
ผลกระทบต่อการพัฒนาแนวปฏิบัติและกลยุทธ์การดำเนินการในอนาคต:
การปรับปรุงแนวทาง: การประเมินผลกระทบจากการใช้งานจริงช่วยให้มีข้อมูลสำหรับการปรับปรุงแนวทางในอนาคต ทำให้แนวทางที่ใช้มีความสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
การสร้างระบบการตอบสนอง: ผลกระทบที่ได้รับการตรวจสอบช่วยให้การพัฒนาระบบการตอบสนองที่รวดเร็วและยืดหยุ่นในอนาคตเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การเรียนรู้จากประสบการณ์: ข้อมูลจากการประเมินผลกระทบช่วยให้สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาและนำไปใช้ในการพัฒนาแนวทางและกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อรับมือกับโรคระบาดในอนาคต
|
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
6 |
ระบบวิเคราะห์การเคลื่อนไหววัดในด้านใดประกอบด้วยอะไร
|
ข้อมูลการเคลื่อนไหวและแรง |
|
ระบบวิเคราะห์การเคลื่อนไหวในบทความนี้มุ่งเน้นไปที่การวัดข้อมูลการเคลื่อนไหวของนิ้วมือและแรงที่ใช้ในการประกอบชิ้นส่วน เพื่อช่วยในการพัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถทำงานได้เหมือนมนุษย์
|
สรุปบทความ: บทความเน้นไปที่การวัดการเคลื่อนไหวและแรงที่ปลายนิ้วมนุษย์ในการประกอบชิ้นส่วนที่มีความแม่นยำสูง
รายละเอียดของกระบวนการวิจัย: บทความกล่าวถึงการใช้เทคโนโลยี Motion Capture สำหรับบันทึกการเคลื่อนไหวของนิ้วมือและการใช้เซ็นเซอร์แรงเพื่อวัดแรงที่ใช้
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
7 |
การยืนยันอะไรหลังจากตรวจสอบระบบวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของการประกอบ
|
ข้อมูลกำลังระหว่างงานจริงสามารถรับได้อย่างถูกต้อง |
|
การตรวจสอบระบบวิเคราะห์การเคลื่อนไหวมีจุดประสงค์หลักที่จะยืนยันว่าข้อมูลที่ได้จากการทดสอบสามารถใช้งานได้อย่างถูกต้องในสภาวะการทำงานจริงของระบบประกอบชิ้นส่วนได้เช่นเดียวกับในการทดลองทางวิทยาศาสตร์
|
การทดสอบและการยืนยันข้อมูล: หลังจากการตรวจสอบระบบวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของการประกอบชิ้นส่วน จะมีการทดสอบข้อมูลในสภาพการทำงานจริงเพื่อยืนยันว่าข้อมูลที่ได้มีความถูกต้องและสามารถนำไปใช้ในการประกอบชิ้นส่วนได้โดยเชื่อถือได้.
ดังนั้น ข้อที่ถูกต้องคือ:
ข้อมูลกำลังระหว่างงานจริงสามารถรับได้อย่างถูกต้อง
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
8 |
ระบบหุ่นยนต์ที่นำเสนอมีจุดมุ่งหมายเพื่อขจัดความท้าทายในงานประกอบเฉพาะด้านใด
|
ขาดชิ้นส่วนที่แม่นยำ |
|
การประกอบชิ้นส่วนที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น ในงานผลิตหรือการประกอบชิ้นส่วนทางอุตสาหกรรม การขาดชิ้นส่วนที่แม่นยำอาจทำให้สินค้าไม่คุ้มค่าหรือต้องมีการส่งคืนสินค้าเกิดขึ้นซึ่งอาจเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการแก้ไขและปรับปรุง การใช้หลักคิดในการเลือกข้อนี้คือการใส่ใจถึงความแม่นยำและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ประกอบเป็นสำคัญ
|
ปัจจัยที่นำมาพิจารณาดังนี้:
ความสำคัญของความแม่นยำ: ในการประกอบชิ้นส่วนทางอุตสาหกรรมหรือการผลิตที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การประกอบอุปกรณ์ทางการแพทย์หรือชิ้นส่วนทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ การมีชิ้นส่วนที่แม่นยำเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงสุด.
ประสิทธิภาพของการทำงาน: การขาดชิ้นส่วนที่แม่นยำอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของการทำงานทั้งหมด เนื่องจากอาจทำให้ต้องทำงานเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาหรือการผลิตที่ไม่ตรงตามมาตรฐานที่กำหนดไว้.
ความเสี่ยงและความเสี่ยงทางธุรกิจ: การขาดชิ้นส่วนที่แม่นยำอาจทำให้เกิดความเสี่ยงทางธุรกิจ เช่น การขาดเงินรายได้จากการขายสินค้าที่ไม่ครบถ้วนหรือต้องใช้ทรัพยากรเพิ่มเติมในการแก้ไข.
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
9 |
อะไรคือสิ่งที่ทำให้งานติดตั้งที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลวในระบบที่เสนอ
|
บังคับข้อมูลที่ได้รับระหว่างภารกิจ |
|
การบังคับข้อมูลที่ได้รับระหว่างภารกิจมีความสำคัญในการประสบความสำเร็จในงานติดตั้ง สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการสื่อสารที่ชัดเจนและเพียงพอระหว่างทีมงานที่ทำงานร่วมกัน การทำงานให้เสร็จสิ้นตามเวลาที่กำหนดและรูปลักษณ์ภายนอกของชิ้นส่วนที่ประกอบเป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน แต่บังคับข้อมูลที่ได้รับระหว่างภารกิจจะช่วยให้ทีมงานทำงานได้อย่างมีระเบียบและประสิทธิภาพ
|
ความสำคัญของการสื่อสาร: การบังคับข้อมูลที่ได้รับระหว่างภารกิจเกี่ยวข้องกับการสื่อสารที่ชัดเจนภายในทีมงานและกับลูกค้า การทำให้ทุกคนในทีมเข้าใจและปฏิบัติตามขั้นตอนการทำงานอย่างถูกต้องจะช่วยให้งานติดตั้งเป็นไปได้ตามแผนและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ.
การบริหารจัดการ: การบังคับข้อมูลที่ได้รับระหว่างภารกิจเชื่อมโยงกับการบริหารจัดการที่ดีในการวางแผนและการดำเนินงาน การมีการควบคุมและการเลือกตัวเลือกที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในการทำงาน.
ความแม่นยำและความเชี่ยวชาญ: การบังคับข้อมูลที่เพียงพอและที่เป็นที่พึงพอใจจะช่วยให้ทีมงานสามารถปฏิบัติงานได้อย่างแม่นยำและมีความเชี่ยวชาญ ทำให้งานติดตั้งมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น.
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
10 |
เขียนอธิบาย | อภิปรายเกี่ยวกับการกำหนดค่าที่รายงานและความถูกต้องของระบบวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของชุดประกอบ ระบบนี้มีส่วนช่วยในการทำงานโดยรวมของระบบหุ่นยนต์ที่นำเสนออย่างไร และข้อมูลเชิงลึกใดบ้างที่สามารถได้รับจากการวิเคราะห์ข้อมูลการเคลื่อนไหวและแรงในระหว่างงานประกอบ
|
การกำหนดค่าที่รายงานและความถูกต้องของระบบวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของชุดประกอบเป็นกระบวนการที่สำคัญในการควบคุมการทำงานของหุ่นยนต์ที่ใช้ในงานประกอบอุตสาหกรรม ระบบวิเคราะห์การเคลื่อนไหวนี้ช่วยในการทำนายและควบคุมการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์ในขณะทำงาน โดยส่วนที่สำคัญของระบบประกอบด้วยการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวและแรงที่มีปลายมือของหุ่นยนต์ ซึ่งสามารถสร้างข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาและปรับปรุงการทำงานในอนาคต |
|
การกำหนดค่าที่รายงานและความถูกต้องของระบบวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของชุดประกอบ สามารถแบ่งออกเป็นหัวข้อหลัก ๆ ได้ดังนี้:
1.การกำหนดค่าที่รายงาน (Reporting Values):
เป็นการกำหนดวิธีการที่ระบบใช้ในการรายงานค่าการเคลื่อนไหวและแรงที่เกิดขึ้นในปลายมือของหุ่นยนต์ในขณะทำงาน
การรายงานนี้สามารถเป็นรูปแบบของค่าต่าง ๆ เช่น ค่าพิกัด (coordinates) ของการทำงาน, ความเร็ว (velocity), ความเร่ง (acceleration), แรงที่มีผลต่อการทำงาน, หรือพารามิเตอร์ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ
2.ความถูกต้องของระบบวิเคราะห์ (Accuracy of Analysis System):
เป็นการวิเคราะห์เกี่ยวกับความถูกต้องที่ระบบวิเคราะห์สามารถให้ได้ในการประมวลผลข้อมูลการเคลื่อนไหวและแรง
การควบคุมความถูกต้องนี้สามารถประกอบไปด้วยการแปลงข้อมูลจากเซ็นเซอร์หรืออุปกรณ์ตรวจวัดเป็นข้อมูลที่สามารถใช้ในการวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง
ความถูกต้องยังสามารถอ้างอิงถึงการเปรียบเทียบข้อมูลที่ได้จากระบบวิเคราะห์กับข้อมูลที่ได้จากวิศวกรรมทดลองหรืออุปกรณ์มาตรวัดอื่น ๆ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
|
การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวและแรงในระหว่างงานประกอบนี้ช่วยให้เข้าใจได้ลึกซึ้งเกี่ยวกับพฤติกรรมการทำงานของหุ่นยนต์ในสถานการณ์ต่าง ๆ และเป็นพื้นฐานสำคัญที่ใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงระบบการควบคุมในอุตสาหกรรม
|
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
11 |
อะไรคือจุดเน้นของแนวทางที่พัฒนาโดยสมาคมระหว่างประเทศเพื่อการบำบัดด้วยเซลล์และยีน
|
การคัดค้านการวิจัยทางคลินิก |
|
โดยสมาคมนี้เน้นถึงความสำคัญของการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีเซลล์และยีนที่มีการวิจัยทางคลินิกที่เชื่อถือได้และมีความปลอดภัย เพื่อป้องกันการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์เพื่อการตลาดและการใช้งานที่ไม่ปลอดภัยในผู้ป่วย
|
เกี่ยวกับเนื้อหาของ Position Paper จาก ISCT ที่เน้นการคัดค้านการวิจัยทางคลินิกที่ไม่มีข้อมูลหลักฐานเพียงพอหรือไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้สมาคมเชื่อว่าการป้องกันการตลาดผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์เป็นสิ่งสำคัญในการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีเซลล์และยีนที่มีคุณภาพและปลอดภัยให้กับผู้ป่วยและสาธารณชนทั่วไป
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
12 |
บทความแนะนำว่าอะไรถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาดโน้มน้าวใจ (persuasive marketing) สำหรับเซลล์และผลิตภัณฑ์จากเซลล์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์
|
ผลการทดลองทางคลินิก |
|
การใช้ผลการทดลองทางคลินิกเป็นเครื่องมือทางการตลาดโน้มน้าวใจ (persuasive marketing) สามารถทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์หรือบริการมากขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลที่สมาคมมุ่งเน้นการคัดค้านการใช้ข้อมูลที่ไม่เพียงพอหรือผลการทดลองที่ไม่มีคุณภาพในการตลาดผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์
|
ใช้หลักคิดเกี่ยวกับวิธีการที่ผลการทดลองทางคลินิกถูกใช้เพื่อโน้มน้าวใจผู้บริโภคให้เชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ และการวิจัยทางคลินิกที่มีคุณภาพสูงถูกสนับสนุนเพื่อป้องกันการใช้ข้อมูลที่ไม่เพียงพอในการตลาดผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
13 |
จากวารสาร คณะกรรมการสมาคมระหว่างประเทศเพื่อการบำบัดด้วยเซลล์และยีนให้ภาพรวมของอะไรในคู่มือนี้
|
กลไกการรายงานอันตรายต่อผู้ป่วย |
|
คู่มือนี้ให้ภาพรวมเกี่ยวกับกลไกที่ใช้ในการรายงายความเสี่ยงที่เป็นไปได้ต่อผู้ป่วย เป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันการใช้เทคโนโลยีเซลล์และยีนที่ไม่มีการพิสูจน์ในทางที่ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้ป่วย
|
ใช้หลักคิดเกี่ยวกับการเน้นถึงการรายงายความเสี่ยงที่เป็นไปได้ต่อผู้ป่วยเป็นส่วนหนึ่งของคู่มือจากสมาคมระหว่างประเทศเพื่อการบำบัดด้วยเซลล์และยีน โดยการรายงายนี้เป็นการป้องกันผู้ป่วยจากการใช้เทคโนโลยีที่ไม่มีการพิสูจน์หรือไม่ปลอดภัยในการบำบัด
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
14 |
ข้อกังวลโดยรวมที่คณะกรรมการสมาคมระหว่างประเทศเพื่อการบำบัดด้วยเซลล์และยีนระบุไว้ในบทความคืออะไร
|
อันตรายต่อผู้ป่วยจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ |
|
คณะกรรมการกล่าวถึงความสำคัญของการป้องกันผู้ป่วยจากผลิตภัณฑ์ที่อาจเป็นอันตรายและไม่ได้รับการพิสูจน์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญในการกำกับดูแลและวางกฎหมายในส่วนของเซลล์และยีน
|
ใช้หลักคิดเกี่ยวกับความสำคัญของการป้องกันผู้ป่วยจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ และการสนับสนุนให้มีการตรวจสอบและการรับรองความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์เพื่อปกป้องผู้บริโภค
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
15 |
เขียนอธิบาย | ตรวจสอบบทบาทของโทเค็นแห่งความชอบธรรมทางวิทยาศาสตร์ในการทำการตลาดของผลิตภัณฑ์เซลล์และผลิตภัณฑ์จากเซลล์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ โทเค็นเหล่านี้มีอิทธิพลต่อการรับรู้ของสาธารณชนอย่างไร และสามารถใช้มาตรการใดได้บ้างเพื่อจัดการกับการใช้ความชอบธรรมทางวิทยาศาสตร์ในทางที่ผิดในอุตสาหกรรมที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง
|
การตรวจสอบบทบาทของโทเค็นแห่งความชอบธรรมทางวิทยาศาสตร์ (scientific legitimacy token) ในการทำการตลาดของผลิตภัณฑ์เซลล์และผลิตภัณฑ์จากเซลล์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์เป็นสิ่งสำคัญเพราะมีผลต่อการรับรู้ของสาธารณชนในการสนับสนุนหรือปฏิเสธผลิตภัณฑ์เหล่านั้น โทเค็นที่มีความชอบธรรมทางวิทยาศาสตร์อาจเป็นเช่นการเผยแพร่ผลการทดลองทางคลินิกที่ไม่สมบูรณ์หรือใช้ข้อมูลวิจัยที่ไม่เพียงพอเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์นั้นๆ แม้ว่าข้อมูลเหล่านี้จะไม่เพียงพอต่อการพิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์นั้น แต่มันสามารถสร้างภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ที่มีความเชื่อมั่นในกลุ่มผู้บริโภคได้
การจัดการกับการใช้โทเค็นแห่งความชอบธรรมทางวิทยาศาสตร์ในทางที่ผิดสามารถทำได้โดยการส่งเสริมให้มีการตรวจสอบและการรับรองของผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องทางวิทยาศาสตร์ การสนับสนุนนโยบายและกฎหมายที่เข้มงวดเพื่อกำกับดูแลการตลาดและการใช้งานผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ การส่งเสริมความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ในประชาชนเพื่อให้สามารถตีความข้อมูลได้อย่างถูกต้อง และการสนับสนุนให้มีการศึกษาและการสอนในหัวข้อที่เกี่ยวกับการพิจารณาความถูกต้องทางวิทยาศาสตร์ในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ก็เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถทำได้ในการจัดการกับปัญหานี้ |
|
เข้าใจถึงความสำคัญของการควบคุมและการสนับสนุนที่เกี่ยวกับความถูกต้องทางวิทยาศาสตร์ในการตลาดผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ โดยการพูดถึงการใช้โทเค็นของความชอบธรรมทางวิทยาศาสตร์ในการโฆษณาผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีการพิสูจน์อาจช่วยให้เข้าใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและความเสี่ยงต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้
|
ใช้หลักคิดเกี่ยวกับการเสริมความเข้าใจในความสำคัญของการตรวจสอบและการรับรองทางวิทยาศาสตร์ของผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เช่น การพูดถึงการใช้โทเค็นของความชอบธรรมทางวิทยาศาสตร์ในการโฆษณาผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ และการสนับสนุนนโยบายที่เข้มงวดเพื่อกำกับดูแลการตลาดและการใช้งานผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์
|
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
16 |
การตอบสนองที่ไม่ตรงกันคืออะไรเมื่อเปรียบเทียบกับในการศึกษานี้
|
ลำดับแบบไอโซโครนัสและแบบไม่ไอโซโครนัส |
|
การศึกษาพบว่าทารกแรกเกิดมีความสามารถในการจดจำลำดับเสียงที่มีลักษณะแบบไอโซโครนัส (isochronous) ได้ เช่น เสียงที่มีระยะเวลาเท่ากันหรือเป็นระยะเวลาที่แน่นอน โดยที่ไม่จำเป็นต้องพิจารณาความน่าจะเป็นของการเปลี่ยนแปลงในเสียงนั้นๆ
|
ารตอบสนองที่ไม่ตรงกันในการศึกษานี้หมายถึงการประมวลผลเสียงที่ไม่สามารถอธิบายได้โดยใช้การเรียนรู้ทางสถิติเกี่ยวกับความน่าจะเป็นของการเปลี่ยนแปลง (transition probabilities) ของเสียง
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
17 |
ผลลัพธ์แสดงอะไรเกี่ยวกับตำแหน่งเมตริกในลำดับไอโซโครนัส
|
ความแตกต่างที่ชัดเจนในลำดับกระวนกระวายใจ |
|
การศึกษาพบว่าในลำดับไอโซโครนัส มีความแตกต่างที่ชัดเจนในตำแหน่งเมตริกของเสียง โดยมีการเน้นที่ตำแหน่งที่เน้นเสียง (accented positions) ซึ่งเป็นลักษณะที่แตกต่างกันจากลำดับกระวนกระวายใจทั่วไปที่ไม่มีการเน้นตำแหน่งใดๆ อีกทั้งยังไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ทางสถิติในทารกแรกเกิดด้วย
|
การศึกษาพบว่าในลำดับไอโซโครนัส มีความแตกต่างที่ชัดเจนในตำแหน่งเมตริกของเสียง โดยมีการเน้นที่ตำแหน่งที่เน้นเสียง (accented positions) ซึ่งเป็นลักษณะที่แตกต่างกันจากลำดับกระวนกระวายใจทั่วไปที่ไม่มีการเน้นตำแหน่งใดๆ อีกทั้งยังไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ทางสถิติในทารกแรกเกิดด้วย
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
18 |
ผลการวิจัยที่ได้จากการศึกษาเกี่ยวกับการประมวลผลจังหวะการเต้นของหัวใจในทารกแรกเกิดสามารถสรุปได้อย่างไรบ้าง
|
การเรียนรู้ทางสถิติเพียงอย่างเดียวไม่สามารถอธิบายการประมวลผลแบบบีทได้อย่างสมบูรณ์ |
|
การศึกษาพบว่าการเรียนรู้ทางสถิติไม่เพียงพอในการอธิบายการประมวลผลแบบบีท (beat processing) ในทารกแรกเกิดอย่างสมบูรณ์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีปัจจัยหลากหลายที่มีผลต่อความสามารถในการรับรู้และประมวลผลจังหวะเสียงในทารกแรกเกิดเช่น Isochrony และปัจจัยอื่นที่อาจมีอิทธิพลด้วย
|
ใช้หลักของการวิเคราะห์ผลการศึกษาที่ได้รับจากวิจัยเป็นหลัก โดยการพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเพื่อให้ได้คำตอบที่สอดคล้องกับข้อสรุปหรือผลการวิจัยที่ได้เสร็จสิ้น
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
19 |
อะไรคือความสำคัญของผลการศึกษาในการทำความเข้าใจการประมวลผลการได้ยินของทารกแรกเกิด
|
การประมวลผลของ Beat มีอยู่ในทารกแรกเกิด |
|
ความสำคัญของผลการศึกษาในการทำความเข้าใจการประมวลผลการได้ยินของทารกแรกเกิดคือการประมวลผลของ Beat ที่พบว่ามีอยู่ในทารกแรกเกิด
|
การศึกษาเหล่านี้ช่วยในการเข้าใจว่าทารกแรกเกิดมีความสามารถในการรับรู้และประมวลผลจังหวะเสียง (beat processing) อย่างไร และมีความสำคัญในการพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาการได้ยินในช่วงแรกๆ ของชีวิต
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
20 |
เขียนอธิบาย | อภิปรายตรวจสอบความหมายของผลการศึกษาต่อความเข้าใจของเราเกี่ยวกับการประมวลผลการได้ยินในทารกแรกเกิด การปรากฏตัวของการประมวลผลแบบบีทท้าทายหรือเสริมแนวคิดก่อนหน้าของการเรียนรู้ทางสถิติในการรับรู้ทางการได้ยินตั้งแต่เนิ่นๆ อย่างไร
|
ผลการศึกษาช่วยในการเข้าใจว่าทารกแรกเกิดมีความสามารถในการประมวลผลจังหวะเสียง (beat processing) อย่างไร โดยการพิจารณาว่าการประมวลผลแบบบีทท้าทายหรือเสริมแนวคิดก่อนหน้าของการเรียนรู้ทางสถิติ มีผลต่อการรับรู้ทางการได้ยินของทารกแรกเกิดตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของชีวิตโดยไม่จำเป็นต้องพึงพอใจในการเรียนรู้ทางสถิติ |
|
ผลการศึกษาช่วยในการเข้าใจว่าทารกแรกเกิดมีความสามารถในการประมวลผลจังหวะเสียง (beat processing) อย่างไร โดยการพิจารณาว่าการประมวลผลแบบบีทท้าทายหรือเสริมแนวคิดก่อนหน้าของการเรียนรู้ทางสถิติ มีผลต่อการรับรู้ทางการได้ยินของทารกแรกเกิดตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของชีวิตโดยไม่จำเป็นต้องพึงพอใจในการเรียนรู้ทางสถิติ
|
ผลการศึกษาช่วยในการเข้าใจว่าทารกแรกเกิดมีความสามารถในการประมวลผลจังหวะเสียง (beat processing) อย่างไร โดยการพิจารณาว่าการประมวลผลแบบบีทท้าทายหรือเสริมแนวคิดก่อนหน้าของการเรียนรู้ทางสถิติ มีผลต่อการรับรู้ทางการได้ยินของทารกแรกเกิดตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของชีวิตโดยไม่จำเป็นต้องพึงพอใจในการเรียนรู้ทางสถิติ
|
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|