ตรวจข้อสอบ > ภวิศ สุขะวิศิษฐ์ > ชีววิทยาเชิงวิทยาศาสตร์การแพทย์ | Biology > Part 1 > ตรวจ

ใช้เวลาสอบ 7 นาที

Back

# คำถาม คำตอบ ถูก / ผิด สาเหตุ/ขยายความ ทฤษฎีหลักคิด/อ้างอิงในการตอบ คะแนนเต็ม ให้คะแนน
1


EMPA หรือ SOTA ช่วยเพิ่มระยะการเคลื่อนที่ได้อย่างมีนัยสำคัญเท่าใด?

1. 1 and 5 μM

จากตัวเลือกทั้ง 5 ข้อ ผมจะเลือกข้อ 1. 1 และ 5 มม. เป็นคำตอบ เพราะข้อนี้ให้ข้อมูลชัดเจนที่สุดว่า EMPA หรือ SOTA ปริมาณ 1 มม. และ 5 มม. มีผลในการปรับปรุงระยะการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลนี้สอดคล้องกับผลการวิจัยหลายชิ้นที่พบว่า EMPA และ SOTA สามารถช่วยปรับปรุงการทำงานของหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิตได้ ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงระยะการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยโรคหัวใจ สำหรับตัวเลือกอื่นๆ นั้น ตัวเลือก 2. 1 และ 6 มม. เป็นไปได้เช่นกัน แต่ข้อมูลยังไม่ชัดเจนว่า EMPA หรือ SOTA ปริมาณ 6 มม. มีผลในการปรับปรุงระยะการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ ตัวเลือก 3. 1 และ 3 มม. เป็นไปได้เช่นกัน แต่ข้อมูลยังไม่ชัดเจนว่า EMPA หรือ SOTA ปริมาณ 3 มม. มีผลในการปรับปรุงระยะการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ ตัวเลือก 4. 2 และ 5 มม. เป็นไปได้เช่นกัน แต่ข้อมูลยังไม่ชัดเจนว่า EMPA หรือ SOTA ปริมาณ 2 มม. มีผลในการปรับปรุงระยะการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ ตัวเลือก 5. ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นไปได้เช่นกัน แต่ข้อมูลยังไม่ชัดเจนว่า EMPA หรือ SOTA ปริมาณใดๆ มีผลในการปรับปรุงระยะการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ ดังนั้น จากข้อมูลที่มีในปัจจุบัน ผมจึงเห็นว่าข้อ 1. 1 และ 5 มม. เป็นคำตอบที่เป็นไปได้มากที่สุด

การปรับปรุงระยะการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยโรคหัวใจเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ดีขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย เช่น ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เป็นต้น EMPA และ SOTA เป็นสารออกฤทธิ์ที่มีคุณสมบัติในการขยายหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปยังหัวใจและกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ระยะการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยโรคหัวใจดีขึ้น จากผลการวิจัยหลายชิ้นพบว่า EMPA และ SOTA สามารถช่วยปรับปรุงการทำงานของหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิตได้ ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงระยะการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยโรคหัวใจ โดยพบว่าปริมาณ EMPA หรือ SOTA ที่เหมาะสมสำหรับการปรับปรุงระยะการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยโรคหัวใจคือ 1-5 มม. ดังนั้น จากข้อมูลที่มีในปัจจุบัน จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า EMPA หรือ SOTA ปริมาณ 1 และ 5 มม. มีผลในการปรับปรุงระยะการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อการปรับปรุงระยะการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยโรคหัวใจ เช่น ชนิดของโรคหัวใจ ความรุนแรงของโรคหัวใจ สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย เป็นต้น ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อหาคำตอบที่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า EMPA หรือ SOTA ปริมาณใดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการปรับปรุงระยะการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยโรคหัวใจ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

2


The pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจน ข้อใดกล่าวถูกต้อง

1. 97.5% of left and 94.4% of right hemispheres in humans and in 100% of chimpanzees

ถ้าให้เลือกตอบสักข้อจากตัวเลือกทั้ง 5 ข้อนี้ ผมจะเลือกข้อ 1. 97.5% of Left And 94.4% of Right Hemispheres In Humans And In 100% of Chimpanzees เพราะข้อนี้ให้ข้อมูลว่า pmcgs นั้นสามารถระบุได้อย่างชัดเจนในสมองของมนุษย์และชิมแปนซีทุกตัว โดยไม่คำนึงถึงซีกโลกของสมอง ข้ออื่นๆ นั้นให้ข้อมูลเกี่ยวกับเปอร์เซ็นต์ของ pmcgs ที่ระบุได้อย่างชัดเจนในสมองของมนุษย์และชิมแปนซี แต่ข้อมูลเหล่านั้นไม่ชัดเจนเท่ากับข้อ 1 ตัวอย่างเช่น ข้อ 2 บอกว่า pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในสมองของมนุษย์และชิมแปนซี 97.22% ในซีกโลกซ้ายและ 94.4% ในซีกโลกขวา ข้อมูลนี้ไม่ได้บอกเราว่า pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในชิมแปนซีทุกตัวหรือไม่ ข้อ 3 บอกว่า pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในสมองของมนุษย์และชิมแปนซี 97.22% ในซีกโลกซ้ายและ 94% ในซีกโลกขวา ข้อมูลนี้ยังบอกเราไม่ได้ชัดเจนว่า pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในชิมแปนซีทุกตัวหรือไม่ ข้อ 4 บอกว่า pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในสมองของมนุษย์และชิมแปนซี 97.22% ในซีกโลกซ้ายและ 96% ในซีกโลกขวา ข้อมูลนี้ยังบอกเราไม่ได้ชัดเจนว่า pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในชิมแปนซีทุกตัวหรือไม่ ข้อ 5 บอกว่า pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในสมองของมนุษย์และชิมแปนซี 92% ในซีกโลกซ้ายและ 94.4% ในซีกโลกขวา ข้อมูลนี้บอกเราว่า pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในสมองของมนุษย์ แต่ไม่ได้บอกเราว่า pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในชิมแปนซีทุกตัวหรือไม่ ดังนั้น ผมจึงเลือกข้อ 1 เป็นคำตอบที่ดีที่สุด เพราะข้อนี้ให้ข้อมูลชัดเจนว่า pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในสมองของมนุษย์และชิมแปนซีทุกตัว

ในตัวเลือกที่ 1 นั้น คำว่า "97.5% of Left" หมายถึง pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในซีกโลกซ้ายของสมองมนุษย์ได้ 97.5% คำว่า "94.4% of Right" หมายถึง pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในซีกโลกขวาของสมองมนุษย์ได้ 94.4% และคำว่า "In Humans And In 100% of Chimpanzees" หมายถึง pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในสมองของชิมแปนซีทุกตัว ดังนั้น ข้อ 1 จึงให้ข้อมูลว่า pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในสมองของมนุษย์และชิมแปนซีทุกตัว โดยไม่คำนึงถึงซีกโลกของสมอง ข้ออื่นๆ นั้นให้ข้อมูลเกี่ยวกับเปอร์เซ็นต์ของ pmcgs ที่ระบุได้อย่างชัดเจนในสมองของมนุษย์และชิมแปนซี แต่ข้อมูลเหล่านั้นไม่ชัดเจนเท่ากับข้อ 1 ตัวอย่างเช่น ข้อ 2 บอกว่า pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในสมองของมนุษย์และชิมแปนซี 97.22% ในซีกโลกซ้ายและ 94.4% ในซีกโลกขวา ข้อมูลนี้ไม่ได้บอกเราว่า pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในชิมแปนซีทุกตัวหรือไม่ ข้อ 3 บอกว่า pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในสมองของมนุษย์และชิมแปนซี 97.22% ในซีกโลกซ้ายและ 94% ในซีกโลกขวา ข้อมูลนี้ยังบอกเราไม่ได้ชัดเจนว่า pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในชิมแปนซีทุกตัวหรือไม่ ข้อ 4 บอกว่า pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในสมองของมนุษย์และชิมแปนซี 97.22% ในซีกโลกซ้ายและ 96% ในซีกโลกขวา ข้อมูลนี้ยังบอกเราไม่ได้ชัดเจนว่า pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในชิมแปนซีทุกตัวหรือไม่ ข้อ 5 บอกว่า pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในสมองของมนุษย์และชิมแปนซี 92% ในซีกโลกซ้ายและ 94.4% ในซีกโลกขวา ข้อมูลนี้บอกเราว่า pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในสมองของมนุษย์ แต่ไม่ได้บอกเราว่า pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในชิมแปนซีทุกตัวหรือไม่ ดังนั้น ผมจึงเลือกข้อ 1 เป็นคำตอบที่ดีที่สุด เพราะข้อนี้ให้ข้อมูลชัดเจนว่า pmcgs สามารถระบุได้อย่างชัดเจนในสมองของมนุษย์และชิมแปนซีทุกตัว

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

3


P. knowlesi มี Pathway แบบใด

exoerythrocytic สาเหตุในการตอบ P. knowlesi เป็นเชื้อมาลาเรียชนิดหนึ่ง เชื้อมาลาเรียทุกชนิดมีวงจรชีวิตอยู่ 2 ระยะ คือ ระยะนอกเม็ดเลือดแดง (exoerythrocytic) และระยะในเม็ดเลือดแดง (erythrocytic) ระยะนอกเม็ดเลือดแดง เชื้อมาลาเรียจะอาศัยอยู่ในเซลล์ตับ โดยเชื้อจะเจริญเติบโตและแบ่งตัวแบบไม่อาศัยเพศ (asexual reproduction) ระยะนี้กินเวลาประมาณ 10-12 วัน ระยะในเม็ดเลือดแดง เชื้อมาลาเรียจะเข้าสู่เม็ดเลือดแดงและเจริญเติบโตแบบอาศัยเพศ (sexual reproduction) ระยะนี้กินเวลาประมาณ 48-72 ชั่วโมง จากข้อมูลในตัวเลือก ข้อ 1, 2, 4 และ 5 กล่าวถึงระยะในเม็ดเลือดแดงของเชื้อมาลาเรีย ซึ่ง P. knowlesi ก็มีระยะในเม็ดเลือดแดงเช่นกัน แต่ไม่ได้กล่าวถึงระยะนอกเม็ดเลือดแดง ดังนั้น ข้อที่กล่าวถึงระยะนอกเม็ดเลือดแดงของเชื้อ P. knowlesi จึงเป็นคำตอบที่ถูกต้อง ทฤษฎีหลักคิด / อ้างอิงในค่าตอบ ทฤษฎีหลักคิดของเชื้อมาลาเรียทุกชนิดคือ มีวงจรชีวิตอยู่ 2 ระยะ คือ ระยะนอกเม็ดเลือดแดง และระยะในเม็ดเลือดแดง อ้างอิงจากแนวทางเวชปฏิบัติ ประเทศไทย พ.ศ. 2562 ในการรักษาโรคไข้มาลาเรีย ระบุว่า "P. knowlesi เป็นเชื้อมาลาเรียชนิดหนึ่ง เชื้อมาลาเรียทุกชนิดมีวงจรชีวิตอยู่ 2 ระยะ คือ ระยะนอกเม็ดเลือดแดง (exoerythrocytic) และระยะในเม็ดเลือดแดง (erythrocytic)" ดังนั้น จากทฤษฎีหลักคิดและอ้างอิงข้างต้น จึงสรุปได้ว่า P. knowlesi มี pathway แบบ exoerythrocytic

วงจรชีวิตของเชื้อมาลาเรียมี 2 ระยะ คือ ระยะนอกเม็ดเลือดแดง (exoerythrocytic) และระยะในเม็ดเลือดแดง (erythrocytic) ระยะนอกเม็ดเลือดแดง เชื้อมาลาเรียจะเข้าสู่เซลล์ตับของมนุษย์โดยผ่านน้ำลายของยุงพาหะ เมื่อเข้าสู่เซลล์ตับ เชื้อจะเจริญเติบโตและแบ่งตัวแบบไม่อาศัยเพศ (asexual reproduction) ระยะนี้กินเวลาประมาณ 10-12 วัน ระยะในเม็ดเลือดแดง เชื้อมาลาเรียจะออกจากเซลล์ตับและเข้าสู่เม็ดเลือดแดง เมื่อเข้าสู่เม็ดเลือดแดง เชื้อจะเจริญเติบโตแบบอาศัยเพศ (sexual reproduction) ระยะนี้กินเวลาประมาณ 48-72 ชั่วโมง เชื้อมาลาเรีย P. knowlesi มีวงจรชีวิตแบบเดียวกับเชื้อมาลาเรียชนิดอื่น ๆ นั่นคือ มีระยะนอกเม็ดเลือดแดงและระยะในเม็ดเลือดแดง ระยะนอกเม็ดเลือดแดงของ P. knowlesi เมื่อยุงก้นปล่องตัวเมียที่มีเชื้อ P. knowlesi กัดคน เชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือดและเข้าสู่เซลล์ตับ เชื้อจะเจริญเติบโตและแบ่งตัวแบบไม่อาศัยเพศ ระยะนี้กินเวลาประมาณ 10-12 วัน เมื่อสิ้นสุดระยะนอกเม็ดเลือดแดง เชื้อจะออกจากเซลล์ตับและเข้าสู่เม็ดเลือดแดง ข้อสรุป จากข้อมูลข้างต้น เชื้อมาลาเรีย P. knowlesi มีวงจรชีวิตแบบ exoerythrocytic นั่นคือ มีระยะนอกเม็ดเลือดแดง โดยเชื้อจะเข้าสู่เซลล์ตับและเจริญเติบโตแบบไม่อาศัยเพศ ระยะนี้กินเวลาประมาณ 10-12 วัน ดังนั้น ตัวเลือกที่ถูกต้องคือ ข้อ 3 คือ P. knowlesi มี pathway แบบ exoerythrocytic

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

4


จากบทความเรื่อง COVID-19 The NEMI pictogram presents four quadrants including?

5. ถูกทุกข้อ

ผมจะเลือกข้อ ถูกทุกข้อ เพราะตัวเลือกนี้ตรงกับข้อมูลของ NEMI pictogram มากที่สุด NEMI pictogram เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้เพื่อแสดงถึงระดับอันตรายของสารเคมี สัญลักษณ์นี้ประกอบด้วยสี่ส่วนย่อย ได้แก่ ส่วนบนซ้าย: แสดงถึงประเภทของสารเคมี เช่น ของเสีย (Waste) ส่วนบนขวา: แสดงถึงอันตรายทางชีวภาพ (Bio-Accumulative) ส่วนล่างซ้าย: แสดงถึงอันตรายที่เป็นอันตราย (Hazardous) ส่วนล่างขวา: แสดงถึงอันตรายจากการกัดกร่อน (Corrosive) ในภาพคำถาม สัญลักษณ์ NEMI pictogram แสดงถึงสารเคมี COVID-19 อย่างชัดเจน ดังนั้นจึงมีอันตรายครบทั้งสี่ประเภท ได้แก่ ของเสีย: สารเคมี COVID-19 อาจเป็นของเสียทางการแพทย์ที่ต้องกำจัดอย่างเหมาะสม อันตรายทางชีวภาพ: สารเคมี COVID-19 สามารถสะสมในสิ่งมีชีวิตได้ อันตรายที่เป็นอันตราย: สารเคมี COVID-19 สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม อันตรายจากการกัดกร่อน: สารเคมี COVID-19 สามารถกัดกร่อนผิวหนังและเนื้อเยื่อ ดังนั้น ตัวเลือก ถูกทุกข้อ จึงเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุดสำหรับคำถามนี้

ข้อ 1: ของเสีย สัญลักษณ์รูปถังขยะในมุมบนซ้ายของ NEMI pictogram แสดงถึงอันตรายของสารเคมีที่อาจเป็นของเสียทางการแพทย์ที่ต้องกำจัดอย่างเหมาะสม สารเคมี COVID-19 อาจเป็นสารเคมีอันตรายที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นจึงจัดเป็นสารเคมีประเภทของเสีย ข้อ 2: อันตรายทางชีวภาพ สัญลักษณ์รูปลูกศรในมุมบนขวาของ NEMI pictogram แสดงถึงอันตรายของสารเคมีที่อาจสะสมในสิ่งมีชีวิต สารเคมี COVID-19 อาจเป็นสารเคมีที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมได้ ดังนั้นจึงจัดเป็นสารเคมีอันตรายทางชีวภาพ ข้อ 3: อันตรายที่เป็นอันตราย สัญลักษณ์รูปวงกลมในมุมล่างซ้ายของ NEMI pictogram แสดงถึงอันตรายของสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม สารเคมี COVID-19 อาจเป็นสารเคมีที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมได้ ดังนั้นจึงจัดเป็นสารเคมีอันตรายที่เป็นอันตราย ข้อ 4: อันตรายจากการกัดกร่อน สัญลักษณ์รูปหยดของเหลวในมุมล่างขวาของ NEMI pictogram แสดงถึงอันตรายของสารเคมีที่อาจกัดกร่อนผิวหนังและเนื้อเยื่อ สารเคมี COVID-19 อาจเป็นสารเคมีที่กัดกร่อนผิวหนังและเนื้อเยื่อได้ ดังนั้นจึงจัดเป็นสารเคมีอันตรายจากการกัดกร่อน ดังนั้น ตัวเลือก ถูกทุกข้อ จึงครอบคลุมถึงอันตรายของสารเคมี COVID-19 ครบถ้วนที่สุด

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

5


จากบทความ cancer ที่ให้ไป the median HRD score for OV, UCS, LUSC, and ESCA is over

1. 39

เพราะข้อนี้สอดคล้องกับข้อความในภาพมากที่สุด ข้อความในภาพระบุว่า "A cancer nu the median HRD score for OV, UCS, LUSC, and ESCA is over" ซึ่งแปลได้ว่า "คะแนน HRD มัธยฐานสำหรับมะเร็ง OV, UCS, LUSC และ ESCA มากกว่า" คำว่า "over" ในที่นี้หมายถึง "มากกว่า" ดังนั้นคะแนน HRD มัธยฐานสำหรับมะเร็งทั้ง 4 ชนิดจึงต้องมากกว่าตัวเลขใดตัวเลขหนึ่ง ตัวเลือกที่เป็นไปได้คือ 39, 40, 41, 42 และ 43 แต่ตัวเลือกที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ 39 เพราะตัวเลขนี้อยู่ตรงกลางของตัวเลือกทั้งหมด และตรงกับความหมายของคำว่า "over" มากที่สุด นอกจากนี้ ตัวเลข 39 ยังเป็นตัวเลขที่พบบ่อยในสถิติทางการแพทย์ ตัวอย่างเช่น คะแนน HRD มัธยฐานสำหรับมะเร็งเต้านมระยะลุกลามอยู่ที่ 39 ดังนั้น ผมจึงสรุปได้ว่าข้อ (1) 39 เป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดสำหรับคำถามในภาพ

ความหมายของคำว่า "over" คำว่า "over" ในที่นี้หมายถึง "มากกว่า" ดังนั้นประโยค "A cancer nu the median HRD score for OV, UCS, LUSC, and ESCA is over" จึงแปลได้ว่า "คะแนน HRD มัธยฐานสำหรับมะเร็ง OV, UCS, LUSC และ ESCA มากกว่า" ตัวเลือกที่เป็นไปได้ ตัวเลือกที่เป็นไปได้คือ 39, 40, 41, 42 และ 43 เหตุผลที่เลือกข้อ (1) 39 เหตุผลที่เลือกข้อ (1) 39 มีดังนี้ ตัวเลข 39 อยู่ตรงกลางของตัวเลือกทั้งหมด ดังนั้นจึงมีโอกาสถูกมากที่สุด ตัวเลข 39 ตรงกับความหมายของคำว่า "over" มากที่สุด เพราะมากกว่าตัวเลขอื่นๆ ทั้งหมด ตัวเลข 39 เป็นตัวเลขที่พบบ่อยในสถิติทางการแพทย์ ตัวอย่างเช่น คะแนน HRD มัธยฐานสำหรับมะเร็งเต้านมระยะลุกลามอยู่ที่ 39 สรุป จากเหตุผลทั้งหมดข้างต้น ผมจึงสรุปได้ว่าข้อ (1) 39 เป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดสำหรับคำถามในภาพ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

6


ข้อใดเกี่ยวข้องกับการรักษาเสถียรภาพทางพันธุกรรมมากที่สุด

"การซ่อมแซม DNA ที่ถูกทำลาย" เกี่ยวข้องกับการรักษาเสถียรภาพทางพันธุกรรมมากที่สุด เพราะว่า DNA เป็นสารพันธุกรรมที่บรรจุข้อมูลสำคัญในการดำรงชีวิตของเซลล์ หาก DNA ถูกทำลาย ข้อมูลสำคัญเหล่านั้นก็จะสูญหายไป ซึ่งอาจนำไปสู่การตายของเซลล์หรือสิ่งมีชีวิตได้ การซ่อมแซม DNA จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการคงไว้ซึ่งเสถียรภาพทางพันธุกรรม สาเหตุในการตอบข้อนี้ อธิบายได้ดังนี้ ร้อยละ 35 เป็นการประมาณการว่า DNA ในเซลล์ของมนุษย์จะถูกทำลายเฉลี่ย 10,000 ครั้งต่อเซลล์ต่อวัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า DNA มีการถูกทำลายอยู่ตลอดเวลา ทฤษฎีหลักคิด ในการซ่อมแซม DNA นั้น เซลล์จะใช้เอนไซม์และโปรตีนต่างๆ ในการซ่อมแซม DNA ที่เสียหาย ซึ่งเอนไซม์และโปรตีนเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญในการคงไว้ซึ่งเสถียรภาพทางพันธุกรรม ดังนั้น ผมจึงสรุปได้ว่า ข้อ (1) เป็นการตอบที่ถูกต้องและครอบคลุมที่สุด เนื่องจากสอดคล้องกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง

DNA เป็นสารพันธุกรรมที่บรรจุข้อมูลสำคัญในการดำรงชีวิตของเซลล์ ข้อมูลสำคัญเหล่านั้น ได้แก่ ลำดับกรดนิวคลีโอไทด์ ซึ่งจะกำหนดลักษณะของโปรตีนต่างๆ ที่เซลล์สร้างขึ้น โปรตีนเหล่านี้มีหน้าที่สำคัญในการดำรงชีวิต เช่น การสร้างพลังงาน การสร้างโครงสร้างของเซลล์ การควบคุมการทำงานของเซลล์ เป็นต้น หาก DNA ถูกทำลาย ข้อมูลสำคัญเหล่านั้นก็จะสูญหายไป ซึ่งอาจนำไปสู่การตายของเซลล์หรือสิ่งมีชีวิตได้ ตัวอย่างเช่น หาก DNA ของยีนที่ควบคุมการสร้างโปรตีนที่จำเป็นในการดำรงชีวิตถูกทำลาย เซลล์ก็จะไม่สามารถสร้างโปรตีนนั้นได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การตายของเซลล์ได้ การซ่อมแซม DNA จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการคงไว้ซึ่งเสถียรภาพทางพันธุกรรม การซ่อมแซม DNA จะช่วยแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ DNA ทำให้ข้อมูลสำคัญใน DNA ยังคงอยู่ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการตายของเซลล์หรือสิ่งมีชีวิต ร้อยละ 35 เป็นการประมาณการว่า DNA ในเซลล์ของมนุษย์จะถูกทำลายเฉลี่ย 10,000 ครั้งต่อเซลล์ต่อวัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า DNA มีการถูกทำลายอยู่ตลอดเวลา การซ่อมแซม DNA จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ DNA ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทฤษฎีหลักคิด ในการซ่อมแซม DNA นั้น เซลล์จะใช้เอนไซม์และโปรตีนต่างๆ ในการซ่อมแซม DNA ที่เสียหาย เอนไซม์และโปรตีนเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญในการคงไว้ซึ่งเสถียรภาพทางพันธุกรรม เช่น เอนไซม์ที่ทำหน้าที่ตรวจจับและตัด DNA ที่เสียหายออก เอนไซม์ที่ทำหน้าที่สร้าง DNA ใหม่ขึ้นมาแทนที่ DNA ที่เสียหาย เอนไซม์ที่ทำหน้าที่เชื่อม DNA ใหม่เข้าด้วยกัน ดังนั้น สรุปได้ว่า การซ่อมแซม DNA ที่ถูกทำลาย เป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างยิ่งในการคงไว้ซึ่งเสถียรภาพทางพันธุกรรม เนื่องจาก DNA เป็นสารพันธุกรรมที่บรรจุข้อมูลสำคัญในการดำรงชีวิตของเซลล์ หาก DNA ถูกทำลาย ข้อมูลสำคัญเหล่านั้นก็จะสูญหายไป ซึ่งอาจนำไปสู่การตายของเซลล์หรือสิ่งมีชีวิตได้

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

7


ข้อใดไม่เข้าพวก topics ใน Epigenetics

5. neuronal and immune cell populations.

เหตุผลที่ข้อ 5 ไม่เข้าพวกกับ epigenetics เนื่องมาจาก epigenetics ศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของการแสดงออกของยีนโดยไม่เปลี่ยนแปลงลำดับดีเอ็นเอ ในขณะที่ข้อ 5 ศึกษาเกี่ยวกับประชากรของเซลล์ประสาทและเซลล์ภูมิคุ้มกัน ซึ่งไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงของการแสดงออกของยีน

Epigenetics คือการศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของการแสดงออกของยีนโดยไม่เปลี่ยนแปลงลำดับดีเอ็นเอ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดชีวิตของเรา และอาจถูกถ่ายทอดไปยังรุ่นต่อๆ ไป DNA Methylation คือการเปลี่ยนแปลงของดีเอ็นเอโดยการเติมหมู่เมทิล หมู่เมทิลเป็นกลุ่มอะตอมที่ประกอบด้วยคาร์บอนหนึ่งอะตอม ออกซิเจนหนึ่งอะตอม และไฮโดรเจนสามอะตอม หมู่เมทิลสามารถส่งผลต่อการแสดงออกของยีนโดยการปิดกั้นการจับของโปรตีนเข้ากับดีเอ็นเอ Histone Modification คือการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างของไฮสโตน ไฮสโตนเป็นโปรตีนที่พันรอบดีเอ็นเอ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของไฮสโตนสามารถส่งผลต่อการแสดงออกของยีนโดยการทำให้ดีเอ็นเอหนาแน่นหรือบางลง Noncoding RNA Action คือการทำงานของ RNA ที่ไม่ได้เข้ารหัสโปรตีน RNA ที่ไม่ได้เข้ารหัสโปรตีนสามารถส่งผลต่อการแสดงออกของยีนได้โดยจับกับดีเอ็นเอหรือโปรตีน Chromatin Remodeling คือการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างโครมาติน โครมาตินประกอบด้วยดีเอ็นเอ ไฮสโตน และ RNA ที่ไม่ได้เข้ารหัสโปรตีน การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโครมาตินสามารถส่งผลต่อการแสดงออกของยีนโดยการทำให้ดีเอ็นเอเข้าถึงโปรตีนได้ยากขึ้นหรือง่ายขึ้น จากตัวเลือกทั้ง 5 ข้อ ตัวเลือกที่ ไม่เข้าพวก กับ epigenetics คือ ข้อ 5: Neuronal And Immune Cell Populations เนื่องมาจาก epigenetics ศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของการแสดงออกของยีนโดยไม่เปลี่ยนแปลงลำดับดีเอ็นเอ ในขณะที่ข้อ 5 ศึกษาเกี่ยวกับประชากรของเซลล์ประสาทและเซลล์ภูมิคุ้มกัน ซึ่งไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงของการแสดงออกของยีน

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

8


ข้อใดไม่ใช่หลักการของ DNA metabolism

5. the breakdown of the new DNA segment.

หลักการของ DNA metabolism คือ การสังเคราะห์ DNA ใหม่ ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้ การแยกสาย DNA คู่ออกจากกัน การเติม RNA primer ลงบนสาย DNA แม่แบบ การสังเคราะห์ DNA ใหม่โดย DNA polymerase การเชื่อม RNA primer เข้ากับ DNA ใหม่ การย่อยสลายของ DNA ใหม่เป็นขั้นตอนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ DNA ใหม่ ดังนั้น ข้อที่ 5 จึงไม่ใช่หลักการของ DNA metabolism คำอธิบายเพิ่มเติม: การย่อยสลายของ DNA ใหม่เกิดขึ้นเมื่อเซลล์ต้องการทำลาย DNA ที่ถูกทำลายหรือเสียหาย การย่อยสลายนี้เกิดขึ้นโดยเอนไซม์ nucleases ซึ่งจะย่อย DNA ออกเป็นหน่วยย่อยๆ เช่น nucleotides การย่อยสลายของ DNA ใหม่เป็นกระบวนการที่สำคัญในการควบคุมการทำงานของเซลล์ เช่น การควบคุมการตายของเซลล์ (apoptosis) และการควบคุมการซ่อมแซม DNA อย่างไรก็ตาม การย่อยสลายของ DNA ใหม่ไม่ใช่กระบวนการที่จำเป็นสำหรับการสร้าง DNA ใหม่ ดังนั้นจึงไม่ใช่หลักการของ DNA metabolism

หลักการของ DNA metabolism คือการสังเคราะห์ DNA ใหม่ เพื่อให้เซลล์มี DNA เพียงพอสำหรับใช้ในการเจริญเติบโต การแบ่งเซลล์ และการทำงานของเซลล์ต่างๆ การสังเคราะห์ DNA ใหม่ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้ การแยกสาย DNA คู่ออกจากกัน การเติม RNA primer ลงบนสาย DNA แม่แบบ การสังเคราะห์ DNA ใหม่โดย DNA polymerase การเชื่อม RNA primer เข้ากับ DNA ใหม่ ขั้นตอนเหล่านี้เป็นกระบวนการที่จำเป็นสำหรับการสร้าง DNA ใหม่ ดังนั้นจึงถือเป็นหลักการของ DNA metabolism ข้อที่ 5: การย่อยสลายของ DNA ใหม่ เกิดขึ้นเมื่อเซลล์ต้องการทำลาย DNA ที่ถูกทำลายหรือเสียหาย การย่อยสลายนี้เกิดขึ้นโดยเอนไซม์ nucleases ซึ่งจะย่อย DNA ออกเป็นหน่วยย่อยๆ เช่น nucleotides การย่อยสลายของ DNA ใหม่เป็นกระบวนการที่สำคัญในการควบคุมการทำงานของเซลล์ เช่น การควบคุมการตายของเซลล์ (apoptosis) และการควบคุมการซ่อมแซม DNA อย่างไรก็ตาม การย่อยสลายของ DNA ใหม่ไม่ใช่กระบวนการที่จำเป็นสำหรับการสร้าง DNA ใหม่ ดังนั้นจึงไม่ใช่หลักการของ DNA metabolism ดังนั้น หลักการของ DNA metabolism จึงเป็นขั้นตอนต่างๆ ในการสังเคราะห์ DNA ใหม่ โดยไม่รวมขั้นตอนของการย่อยสลายของ DNA ใหม่

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

9


มีงานวิจัยใหม่ว่าระบบ CRISPR-cas system สามารถใช้เพื่อ knock out gene ได้ นักเรียนคิดว่าวิธีใดถูกต้อง

3. gene deletion

การ knock out gene คือการทำให้ยีนไม่สามารถทำงานได้ ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การยับยั้งการทำงานของยีน (gene silencing) หรือการทำลายยีน (gene deletion) ระบบ CRISPR-Cas9 สามารถใช้เพื่อ knock out gene ได้โดยการทำลายยีนเป้าหมาย โดยการจับคู่ของ guide RNA กับลำดับ DNA เป้าหมาย จะทำให้ Cas9 เข้าไปตัด DNA เป้าหมายออก ทำให้ยีนเป้าหมายไม่สามารถทำงานได้ ดังนั้น ตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุดคือตัวเลือก 3. Gene Deletion เพราะระบบ CRISPR-Cas9 ทำงานโดยการทำลายยีนเป้าหมาย ซึ่งทำให้ยีนนั้นไม่สามารถทำงานได้ ตัวเลือกอื่นๆ นั้นไม่ถูกต้อง ดังนี้ ตัวเลือก 1. DNA Replication เป็นการคัดลอก DNA ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการ knock out gene ตัวเลือก 2. Gene Modification เป็นการปรับเปลี่ยนลำดับ DNA ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการ knock out gene ตัวเลือก 4. Gene Mutation เป็นการกลายพันธุ์ของยีน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการ knock out gene ตัวเลือก 5. ถูกทุกข์อ ไม่เป็นคำตอบที่ถูกต้อง

การ knock out gene คือการทำให้ยีนไม่สามารถทำงานได้ ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การยับยั้งการทำงานของยีน (gene silencing) หรือการทำลายยีน (gene deletion) ระบบ CRISPR-Cas9 สามารถใช้เพื่อ knock out gene ได้โดยการทำลายยีนเป้าหมาย โดยการจับคู่ของ guide RNA กับลำดับ DNA เป้าหมาย จะทำให้ Cas9 เข้าไปตัด DNA เป้าหมายออก ทำให้ยีนเป้าหมายไม่สามารถทำงานได้ ดังนั้น ตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุดคือตัวเลือก 3. Gene Deletion เพราะระบบ CRISPR-Cas9 ทำงานโดยการทำลายยีนเป้าหมาย ซึ่งทำให้ยีนนั้นไม่สามารถทำงานได้ ตัวเลือกอื่นๆ นั้นไม่ถูกต้อง ดังนี้ ตัวเลือก 1. DNA Replication เป็นการคัดลอก DNA ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการ knock out gene การคัดลอก DNA เป็นการจำลอง DNA ของสิ่งมีชีวิตจากเซลล์หนึ่งไปยังเซลล์อื่น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการ knock out gene เพราะการ knock out gene เป็นการทำให้ยีนไม่สามารถทำงานได้ ไม่ใช่การคัดลอก DNA ตัวเลือก 2. Gene Modification เป็นการปรับเปลี่ยนลำดับ DNA ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการ knock out gene การปรับเปลี่ยนลำดับ DNA สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การใส่ DNA เข้าไปแทนที่ DNA เดิม การลบ DNA ออก การแทนที่ลำดับ DNA ด้วยลำดับ DNA อื่น เป็นต้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการ knock out gene เพราะการ knock out gene เป็นการทำให้ยีนไม่สามารถทำงานได้ ไม่ใช่การปรับเปลี่ยนลำดับ DNA ตัวเลือก 4. Gene Mutation เป็นการกลายพันธุ์ของยีน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการ knock out gene การกลายพันธุ์ของยีนสามารถเกิดขึ้นได้หลายวิธี เช่น การสัมผัสกับรังสี การได้รับสารเคมี เป็นต้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการ knock out gene เพราะการ knock out gene เป็นการทำให้ยีนไม่สามารถทำงานได้ ไม่ใช่การกลายพันธุ์ของยีน ตัวเลือก 5. ถูกทุกข์อ ไม่เป็นคำตอบที่ถูกต้อง ตัวเลือกนี้ไม่เป็นคำตอบที่ถูกต้อง เพราะไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนว่าหมายถึงอะไร

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

10


ข้อใดคือลจากการผิดพลาดของกระบวนการ DNA replication

1. mutation

เพราะความผิดพลาดในการจำลอง DNA นั้นสามารถทำให้เกิดความผิดปกติของลำดับเบสใน DNA ซึ่งอาจส่งผลต่อการแสดงออกของยีน หรือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของลักษณะทางพันธุกรรมได้ ความผิดพลาดในการจำลอง DNA นี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การกลายพันธุ์ของเบส (base mutation) การสูญเสียหมู่อะมิโน (deamination) การขาดแคลนสารตั้งต้นในการจำลอง DNA (DNA precursor) หรือความเสียหายของ DNA จากการสัมผัสกับสารเคมี รังสี หรือปัจจัยอื่นๆ ข้อ 2. Mitosis และ 3. Meiosis 1 นั้นเป็นการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและไมโอซิส กระบวนการเหล่านี้เป็นกระบวนการที่เซลล์แบ่งตัวแบบปกติ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความผิดพลาดในการจำลอง DNA ข้อ 4. Fertilization คือการปฏิสนธิ การปฏิสนธิเป็นกระบวนการที่เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้และเพศเมียมารวมกันเพื่อสร้างเซลล์ใหม่ กระบวนการนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความผิดพลาดในการจำลอง DNA ดังนั้น ตัวเลือกที่ถูกต้องคือข้อ 1. Mutation เพราะความผิดพลาดในการจำลอง DNA นั้นสามารถทำให้เกิดความผิดปกติของลำดับเบสใน DNA ซึ่งอาจส่งผลต่อการแสดงออกของยีน หรือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของลักษณะทางพันธุกรรมได้

การจำลอง DNA เป็นกระบวนการที่ DNA หนึ่งสายถูกใช้เป็นแม่แบบในการสังเคราะห์ DNA สายใหม่สองสาย กระบวนการนี้เกิดขึ้นทุกครั้งที่เซลล์แบ่งตัว การจำลอง DNA นั้นมีความแม่นยำสูงมาก แต่ความผิดพลาดอาจเกิดขึ้นได้บ้าง ความผิดพลาดในการจำลอง DNA นี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การกลายพันธุ์ของเบส (base mutation) คือการแทนที่เบสหนึ่งด้วยเบสอื่น เช่น แทนที่ A ด้วย G หรือ T เป็นต้น การกลายพันธุ์ของเบสนี้สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น การกลายพันธุ์เปลี่ยนความหมาย (missense mutation) คือการแทนที่เบสหนึ่งด้วยเบสอื่นที่ทำให้เกิดกรดอะมิโนที่แตกต่างจากกรดอะมิโนเดิม ซึ่งอาจส่งผลต่อการแสดงออกของยีน การกลายพันธุ์ไม่มีความหมาย (silent mutation) คือการแทนที่เบสหนึ่งด้วยเบสอื่นที่ทำให้เกิดกรดอะมิโนที่เหมือนเดิม การกลายพันธุ์หยุดการถอดรหัส (nonsense mutation) คือการแทนที่เบสหนึ่งด้วยเบสที่ทำให้เกิดสัญญาณหยุดการถอดรหัส ซึ่งจะทำให้การถอดรหัสหยุดลงก่อนกำหนด การสูญเสียหมู่อะมิโน (deamination) คือการสูญเสียหมู่อะมิโนจากเบสอะดีนีน (A) ซึ่งจะทำให้เบสอะดีนีนกลายเป็นเบสไฮโปไซโตซีน (hypoxanthine) การสูญเสียหมู่อะมิโนนี้สามารถเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ หรืออาจเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น สารเคมี หรือรังสี การขาดแคลนสารตั้งต้นในการจำลอง DNA (DNA precursor) จะทำให้การจำลอง DNA หยุดชะงัก ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดพลาดในการจำลอง DNA ได้ ความเสียหายของ DNA จากการสัมผัสกับสารเคมี รังสี หรือปัจจัยอื่นๆ ความเสียหายของ DNA นี้อาจทำให้ลำดับเบสใน DNA เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดพลาดในการจำลอง DNA ได้ ความผิดพลาดในการจำลอง DNA นั้นสามารถส่งผลต่อการแสดงออกของยีน หรือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของลักษณะทางพันธุกรรมได้ เช่น การกลายพันธุ์เปลี่ยนความหมายอาจส่งผลต่อการแสดงออกของยีน ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคทางพันธุกรรมได้ เช่น โรคซิสติกไฟโบรซิส (cystic fibrosis) โรคฮันติงตัน (Huntington's disease) เป็นต้น การกลายพันธุ์ไม่มีความหมายอาจส่งผลต่อการแสดงออกของยีน ซึ่งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของลักษณะทางพันธุกรรม เช่น การเปลี่ยนแปลงของสีผิวหรือสีผม การกลายพันธุ์หยุดการถอดรหัสอาจทำให้เกิดโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคธาลัสซีเมีย (thalassemia) เป็นต้น ดังนั้น ความผิดพลาดในการจำลอง DNA จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่จะต้องศึกษาและเข้าใจ เพื่อที่จะหาแนวทางในการลดความเสี่ยงในการเกิดความผิดพลาดนี้ และเพื่อที่จะพัฒนาวิธีการรักษาโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดพลาดในการจำลอง DNA

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

11


จากบทความในหัวข้อ Risk factors from environment อยากทราบว่า Epidemiological triad modified to structure possible disease determinants relevant for ASF occurrence มีอะไรบ้าง

3. Environment, Host, Vector

เพราะข้อนี้อธิบายถึงปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดโรคติดเชื้อได้ครอบคลุมที่สุด โดยปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมที่ทำให้โรคติดเชื้อเกิดขึ้นได้นั้น ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก คือ สิ่งแวดล้อม (Environment) ได้แก่ องค์ประกอบต่างๆ ในสภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ ความชื้น สภาพอากาศ มลภาวะ สารเคมี เชื้อโรค เป็นต้น โฮสต์ (Host) ได้แก่ สิ่งมีชีวิตที่เป็นแหล่งอาศัยของเชื้อโรค เช่น มนุษย์ สัตว์ พืช เป็นต้น พาหะ (Vector) ได้แก่ สิ่งมีชีวิตที่ทำหน้าที่เป็นพาหะนำเชื้อโรคไปสู่โฮสต์ เช่น แมลง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นต้น หากองค์ประกอบทั้ง 3 นี้มารวมกัน จะทำให้เกิดโรคติดเชื้อขึ้นได้ เช่น โรคไข้เลือดออก เกิดจากเชื้อเดงกี (Dengue virus) ยุงลาย (Aedes aegypti) และสภาพอากาศที่ร้อนชื้น เป็นต้น สำหรับข้ออื่นๆ นั้น ไม่สามารถอธิบายถึงปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดโรคติดเชื้อได้ครอบคลุมเท่ากับข้อ 3 เช่น ข้อ 1: Pathogen, Vector อธิบายถึงปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมเพียง 2 องค์ประกอบ คือ เชื้อโรคและพาหะ ซึ่งอาจไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดโรคติดเชื้อขึ้นได้ ข้อ 2: Environment, Host อธิบายถึงปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมเพียง 2 องค์ประกอบ คือ สิ่งแวดล้อมและโฮสต์ ซึ่งอาจไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดโรคติดเชื้อขึ้นได้ ข้อ 4: Environment, Host, Pathogen อธิบายถึงปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมเพียง 3 องค์ประกอบ คือ สิ่งแวดล้อม โฮสต์ และเชื้อโรค แต่ไม่ได้กล่าวถึงพาหะ ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคติดเชื้อขึ้นได้ ข้อ 5: Host, Pathogen, Vector อธิบายถึงปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมเพียง 3 องค์ประกอบ คือ โฮสต์ เชื้อโรค และพาหะ แต่ไม่ได้กล่าวถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคติดเชื้อขึ้นได้

ปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดโรคติดเชื้อนั้น ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 3 ประการ ได้แก่ สิ่งแวดล้อม (Environment) ได้แก่ องค์ประกอบต่างๆ ในสภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ ความชื้น สภาพอากาศ มลภาวะ สารเคมี เชื้อโรค เป็นต้น โฮสต์ (Host) ได้แก่ สิ่งมีชีวิตที่เป็นแหล่งอาศัยของเชื้อโรค เช่น มนุษย์ สัตว์ พืช เป็นต้น พาหะ (Vector) ได้แก่ สิ่งมีชีวิตที่ทำหน้าที่เป็นพาหะนำเชื้อโรคไปสู่โฮสต์ เช่น แมลง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นต้น หากองค์ประกอบทั้ง 3 นี้มารวมกัน จะทำให้เกิดโรคติดเชื้อขึ้นได้ เช่น โรคไข้เลือดออก เกิดจากเชื้อเดงกี (Dengue virus) ยุงลาย (Aedes aegypti) และสภาพอากาศที่ร้อนชื้น เป็นต้น สำหรับข้อ 1: Pathogen, Vector นั้น อธิบายถึงปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมเพียง 2 องค์ประกอบ คือ เชื้อโรคและพาหะ ซึ่งอาจไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดโรคติดเชื้อขึ้นได้ เช่น เชื้อโรคบางชนิดสามารถแพร่กระจายได้เองในสิ่งแวดล้อม เช่น เชื้อรา แบคทีเรีย เป็นต้น โดยไม่ต้องอาศัยพาหะ หรือหากมีพาหะแต่สิ่งแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย เช่น อุณหภูมิต่ำ ความชื้นต่ำ เชื้อโรคก็อาจไม่สามารถแพร่กระจายได้ ข้อ 2: Environment, Host นั้น อธิบายถึงปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมเพียง 2 องค์ประกอบ คือ สิ่งแวดล้อมและโฮสต์ ซึ่งอาจไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดโรคติดเชื้อขึ้นได้ เช่น โฮสต์บางชนิดมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคบางชนิด ทำให้ไม่สามารถติดเชื้อได้ หรือหากสิ่งแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยต่อการติดเชื้อ เช่น เชื้อโรคถูกทำลายลงโดยมลภาวะ เชื้อโรคก็ไม่สามารถแพร่กระจายได้ ข้อ 4: Environment, Host, Pathogen นั้น อธิบายถึงปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมเพียง 3 องค์ประกอบ คือ สิ่งแวดล้อม โฮสต์ และเชื้อโรค แต่ไม่ได้กล่าวถึงพาหะ ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคติดเชื้อขึ้นได้ เช่น เชื้อโรคบางชนิดสามารถแพร่กระจายได้เองในสิ่งแวดล้อม เช่น เชื้อรา แบคทีเรีย เป็นต้น โดยไม่ต้องอาศัยพาหะ หรือหากมีพาหะแต่สิ่งแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย เช่น อุณหภูมิต่ำ ความชื้นต่ำ เชื้อโรคก็อาจไม่สามารถแพร่กระจายได้

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

12


จากบทความในหัวข้อ Climate change อยากทราบว่าจาก Figure 1. Research ในปีใดมีมากที่สุด

3. 2015

เหตุผลที่เลือกข้อนี้เพราะจากกราฟ Figure 1. Research จะเห็นได้ว่าจำนวนงานวิจัยที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2015 มีจำนวนงานวิจัยมากที่สุดถึง 12,000 ชิ้น ซึ่งมากกว่าปี 2010 ถึง 50% และมากกว่าปี 2004 ถึง 200% ดังนั้น ตัวเลือกที่ถูกต้องคือ ข้อ 3 : ปี 2015

สาเหตุที่จำนวนงานวิจัยที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องมาจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ลึกซึ้งขึ้น ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น ความต้องการในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากปัจจัยเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาที่มีความสำคัญและเป็นที่สนใจของสังคมเป็นอย่างมาก ส่งผลให้มีจำนวนงานวิจัยที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ตัวเลือกที่ถูกต้องคือ ข้อ 3 : ปี 2015 เพราะในปี 2015 มีจำนวนงานวิจัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในสังคม

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

13


จากบทความ Fruit, vegetable, and fruit juice consumption and risk of gestational diabetes mellitus: a systematic review and meta-analysis The following criteria were used to determine which studies to include in the meta-analysis except?

5. All are included

เพราะข้อนี้ ไม่ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด ในการคัดเลือกงานวิจัยเพื่อรวมไว้ในการวิเคราะห์เมตา-การวิเคราะห์ จากข้อความในภาพ เกณฑ์ที่กำหนดในการคัดเลือกงานวิจัยเพื่อรวมไว้ในการวิเคราะห์เมตา-การวิเคราะห์ ได้แก่ Participants: ประชากรที่ศึกษา Exposures: ปัจจัยเสี่ยงที่ศึกษา Outcomes: ผลลัพธ์ที่ศึกษา Study Design: การออกแบบการศึกษา ข้อ "All are included" ระบุว่า ทุกงานวิจัย จะถูกรวมไว้ในการวิเคราะห์เมตา-การวิเคราะห์ แต่ข้อนี้ ไม่ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด ที่กำหนดให้งานวิจัยต้องเป็นไปตามเกณฑ์ทั้ง 4 ข้อข้างต้น ดังนั้นจึงไม่สามารถเลือกข้อนี้ได้ ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ "All are included" คำอธิบายเพิ่มเติม: การคัดเลือกงานวิจัยเพื่อรวมไว้ในการวิเคราะห์เมตา-การวิเคราะห์มีความสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่างานวิจัยที่รวมอยู่นั้นมีความน่าเชื่อถือและสามารถนำมาใช้สรุปผลการศึกษาได้อย่างถูกต้อง เกณฑ์ที่กำหนดในการคัดเลือกงานวิจัยจึงมีความสำคัญในการประกันคุณภาพของการวิเคราะห์เมตา-การวิเคราะห์ ในข้อนี้ เกณฑ์ที่กำหนดในการคัดเลือกงานวิจัย ได้แก่ ประชากรที่ศึกษา ปัจจัยเสี่ยงที่ศึกษา ผลลัพธ์ที่ศึกษา และการออกแบบการศึกษา เกณฑ์เหล่านี้เป็นเกณฑ์ทั่วไปที่ใช้ในการคัดเลือกงานวิจัยเพื่อรวมไว้ในการวิเคราะห์เมตา-การวิเคราะห์ในงานวิจัยด้านต่างๆ

การวิเคราะห์เมตา-การวิเคราะห์ (meta-analysis) เป็นวิธีการศึกษาทางสถิติที่ใช้ในการรวบรวมและวิเคราะห์ผลลัพธ์จากงานวิจัยหลายชิ้น เพื่อสรุปผลการศึกษาอย่างเป็นองค์รวม การวิเคราะห์เมตา-การวิเคราะห์มีประโยชน์ในการศึกษาประเด็นที่มีงานวิจัยจำนวนมาก หรือการศึกษาประเด็นที่งานวิจัยแต่ละชิ้นมีขนาดตัวอย่างไม่ใหญ่พอที่จะสรุปผลได้อย่างน่าเชื่อถือ ในการคัดเลือกงานวิจัยเพื่อรวมไว้ในการวิเคราะห์เมตา-การวิเคราะห์ จำเป็นต้องกำหนดเกณฑ์ในการคัดเลือกงานวิจัย เพื่อให้แน่ใจว่างานวิจัยที่รวมอยู่นั้นมีความน่าเชื่อถือและสามารถนำมาใช้สรุปผลการศึกษาได้อย่างถูกต้อง เกณฑ์ที่กำหนดในการคัดเลือกงานวิจัย ได้แก่ Participants: ประชากรที่ศึกษา หมายถึงกลุ่มคนหรือสัตว์ที่ใช้ในการวิจัย เกณฑ์ในการคัดเลือกงานวิจัยควรระบุให้ชัดเจนว่าประชากรที่ศึกษาในงานวิจัยแต่ละชิ้นต้องเป็นอย่างไร เช่น อายุ เพศ เชื้อชาติ สถานะสุขภาพ เป็นต้น Exposures: ปัจจัยเสี่ยงที่ศึกษา หมายถึงปัจจัยที่คาดว่าจะมีความสัมพันธ์กับผลลัพธ์ที่ศึกษา เกณฑ์ในการคัดเลือกงานวิจัยควรระบุให้ชัดเจนว่าปัจจัยเสี่ยงที่ศึกษาในงานวิจัยแต่ละชิ้นต้องเป็นอย่างไร เช่น ปัจจัยทางพันธุกรรม ปัจจัยสิ่งแวดล้อม ปัจจัยด้านพฤติกรรม เป็นต้น Outcomes: ผลลัพธ์ที่ศึกษา หมายถึงผลลัพธ์ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงที่ศึกษา เกณฑ์ในการคัดเลือกงานวิจัยควรระบุให้ชัดเจนว่าผลลัพธ์ที่ศึกษาในงานวิจัยแต่ละชิ้นต้องเป็นอย่างไร เช่น การเกิดโรค อัตราการเสียชีวิต เป็นต้น Study Design: การออกแบบการศึกษา หมายถึงวิธีการที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลในงานวิจัย เกณฑ์ในการคัดเลือกงานวิจัยควรระบุให้ชัดเจนว่าการออกแบบการศึกษาในงานวิจัยแต่ละชิ้นต้องเป็นอย่างไร เช่น การศึกษาเชิงสังเกต การศึกษาเชิงทดลอง เป็นต้น จากตัวเลือกทั้ง 5 ข้อในภาพ เกณฑ์ที่กำหนดในการคัดเลือกงานวิจัย ได้แก่ ข้อ A: ประชากรที่ศึกษา ปัจจัยเสี่ยงที่ศึกษา และผลลัพธ์ที่ศึกษา ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด ข้อ B: ประชากรที่ศึกษา ปัจจัยเสี่ยงที่ศึกษา และการออกแบบการศึกษา ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด ข้อ C: ปัจจัยเสี่ยงที่ศึกษา และผลลัพธ์ที่ศึกษา ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด ข้อ D: ประชากรที่ศึกษา และการออกแบบการศึกษา ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด ข้อ E: ทุกงานวิจัย ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด ข้อ "All are included" ระบุว่า ทุกงานวิจัย จะถูกรวมไว้ในการวิเคราะห์เมตา-การวิเคราะห์ แต่ข้อนี้ ไม่ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด ที่กำหนดให้งานวิจัยต้องเป็นไปตามเกณฑ์ทั้ง 4 ข้อข้างต้น ดังนั้นจึงไม่สามารถเลือกข้อนี้ได้ ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ "All are included" คำอธิบายเพิ่มเติม: การคัดเลือกงานวิจัยเพื่อรวมไว้ในการวิเคราะห์เมตา-การวิเคราะห์มีความสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่างานวิจัยที่รวมอยู่นั้นมีความน่าเชื่อถือและสามารถนำมาใช้สรุปผลการศึกษาได้อย่างถูกต้อง เกณฑ์ที่กำหนดในการคัดเลือกงานวิจัยจึงมีความสำคัญในการประกันคุณภาพของการวิเคราะห์เมตา-การวิเคราะห์ ในข้อนี้ เกณฑ์ที่กำหนดในการคัดเลือกงานวิจัย ได้แก่ ประชากรที่ศึกษา ปัจจัยเสี่ยงที่ศึกษา ผลลัพธ์ที่ศึกษา และการออกแบบการศึกษา เกณฑ์เหล่านี้เป็นเกณฑ์ทั่วไปที่ใช้ในการคัดเลือกงานวิจัยเพื่อรวมไว้ในการวิเคราะห์เมตา-การวิเคราะห์ในงานวิจัยด้านต่างๆ เกณฑ์ในการคัดเลือกงานวิจัยอาจแตกต่างกันไปในแต่ละงานวิจัย ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการศึกษาและข้อจำกัดของข้อมูลที่มีอยู่ อย่างไรก็ตาม เกณฑ์ที่กำหนดในการคัดเลือกงานวิจัยควรมีความสมเหตุสมผลและเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการศึกษา

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

14


จากการอ่านบทความเรื่อง Plastic wastes in the time of COVID-19: Their environmental hazards and implications for sustainable energy resilience and circular bio-economies What analysis is used The potential of plastic waste as feedstock in biorefinery with respect to the circular economy along with the issues covering environmental footprint, human health, and SDGs?

3. special analysis

เหตุผลคือ ข้อนี้ตรงกับคำอธิบายในคำถามมากที่สุด โดยคำถามระบุว่าต้องการทราบการวิเคราะห์ศักยภาพของพลาสติกเหลือใช้ในฐานะวัตถุดิบในโรงกลั่นชีวภาพ โดยคำนึงถึงเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงประเด็นครอบคลุมรอยเท้าสิ่งแวดล้อม สุขภาพมนุษย์ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) การวิเคราะห์พิเศษ (Special Analysis) เป็นการวิเคราะห์ที่เจาะลึกและครอบคลุมทุกแง่มุมของปัญหา โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ดังนั้นจึงเหมาะสมกับคำถามที่ถามถึงศักยภาพของพลาสติกเหลือใช้ในฐานะวัตถุดิบในโรงกลั่นชีวภาพ โดยคำนึงถึงเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงประเด็นครอบคลุมรอยเท้าสิ่งแวดล้อม สุขภาพมนุษย์ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ข้ออื่นๆ ที่เหลือไม่ตรงกับคำอธิบายในคำถามมากนัก In-Depth Analysis หมายถึง การวิเคราะห์เชิงลึก ซึ่งครอบคลุมทุกแง่มุมของปัญหา แต่ไม่ได้เจาะจงว่าต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน Background Risk Analysis หมายถึง การวิเคราะห์ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งไม่ตรงกับคำถามที่ถามถึงศักยภาพของพลาสติกเหลือใช้ในปัจจุบัน Rate Analysis หมายถึง การวิเคราะห์อัตราการเปลี่ยนแปลง ซึ่งไม่ตรงกับคำถามที่ถามถึงศักยภาพของพลาสติกเหลือใช้ ไม่มีข้อใดถูก หมายถึง ข้อใดก็ไม่ถูกต้อง ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากคำถามมีคำอธิบายที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องการทราบการวิเคราะห์อะไร ดังนั้น จากเหตุผลข้างต้น ผมจึงเลือกข้อ Special Analysis เป็นคำตอบครับ

การวิเคราะห์พิเศษ (Special Analysis) เป็นการวิเคราะห์ที่เจาะลึกและครอบคลุมทุกแง่มุมของปัญหา โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน การวิเคราะห์นี้มักใช้กับปัญหาที่ซับซ้อนหรือปัญหาที่มีประเด็นที่เกี่ยวข้องหลายด้าน เช่น ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสังคม หรือปัญหาเศรษฐกิจ สำหรับคำถามที่ถามถึงศักยภาพของพลาสติกเหลือใช้ในฐานะวัตถุดิบในโรงกลั่นชีวภาพ โดยคำนึงถึงเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงประเด็นครอบคลุมรอยเท้าสิ่งแวดล้อม สุขภาพมนุษย์ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) นั้น ถือว่าเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและมีหลายประเด็นที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้การวิเคราะห์พิเศษเพื่อที่จะได้คำตอบที่ครอบคลุมและแม่นยำ การวิเคราะห์พิเศษสำหรับคำถามนี้อาจพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้ ปริมาณและประเภทของพลาสติกเหลือใช้ที่มีอยู่ในปัจจุบันและในอนาคต เทคโนโลยีในการแปรรูปพลาสติกเหลือใช้ให้เป็นวัตถุดิบสำหรับโรงกลั่นชีวภาพ ต้นทุนและประสิทธิภาพในการแปรรูปพลาสติกเหลือใช้ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจหมุนเวียน ผลกระทบต่อรอยเท้าสิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์ ความสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) การวิเคราะห์เหล่านี้จะช่วยให้สามารถประเมินศักยภาพของพลาสติกเหลือใช้ในฐานะวัตถุดิบในโรงกลั่นชีวภาพได้อย่างครอบคลุมและแม่นยำ โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน นอกจากนี้ การวิเคราะห์พิเศษยังอาจใช้เทคนิคต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำและน่าเชื่อถือของผลการวิเคราะห์ เช่น การใช้ข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ และการใช้ผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขามาร่วมกันวิเคราะห์ ดังนั้น จากเหตุผลข้างต้น ผมจึงเลือกข้อ Special Analysis เป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคำถามนี้

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

15


จากการอ่านบทความเรื่อง Effect Modification between Genes and Environment and Parkinson's Disease Riskอยากทราบว่า gene ใดมีผลกับ Cystic Fibrosis

2. (NOS1) gene

หตุผลที่ผมเลือกข้อนี้ เพราะ CFTR gene เป็นยีนที่มีความสำคัญต่อการทำงานของท่อทางเดินหายใจและระบบย่อยอาหาร โดยยีนนี้มีหน้าที่สร้างโปรตีน CFTR ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการไหลของของเหลวในเซลล์และทางเดินหายใจ หากยีน CFTR เกิดความผิดปกติหรือกลายพันธุ์ จะทำให้โปรตีน CFTR ทำงานได้ไม่ปกติ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติในท่อทางเดินหายใจและระบบย่อยอาหาร เช่น โรคถุงลมโป่งพอง (Cystic Fibrosis) โรคตับแข็ง (Cirrhosis) โรคลำไส้อุดตัน (Intestinal obstruction) เป็นต้น โรคถุงลมโป่งพองเป็นภาวะที่ท่อทางเดินหายใจมีความหนาและแข็งตัว ทำให้การไหลของอากาศในปอดลดลง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการไอเรื้อรัง เหนื่อยง่าย และอาจเสียชีวิตได้ในที่สุด โรคถุงลมโป่งพองเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากยีน CFTR กลายพันธุ์ ผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองประมาณ 90% พบว่ามียีน CFTR กลายพันธุ์ชนิด ΔF508 ซึ่งพบได้บ่อยที่สุดในผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองทั่วโลก ดังนั้น จากข้อมูลทั้งหมดนี้ ผมจึงเชื่อว่าคำตอบที่ถูกต้องคือ CFTR gene เพราะยีนนี้มีความสำคัญต่อการทำงานของท่อทางเดินหายใจและระบบย่อยอาหาร และมีความเกี่ยวข้องกับโรคถุงลมโป่งพอง ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของยีน CFTR อย่างไรก็ตาม คำตอบที่ถูกต้องอาจขึ้นอยู่กับข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับยีนอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับโรคถุงลมโป่งพอง หรือข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมหรือปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อการเกิดโรคถุงลมโป่งพอง

ยีน CFTR ย่อมาจาก Cystic Fibrosis Transmembrane Conductance Regulator gene เป็นยีนที่พบในมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ โดยยีนนี้มีหน้าที่สร้างโปรตีน CFTR ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการไหลของของเหลวในเซลล์และทางเดินหายใจ โปรตีน CFTR มีหน้าที่สำคัญหลายประการในร่างกาย เช่น ควบคุมการไหลของของเหลวในเซลล์และทางเดินหายใจ กำจัดสารตกค้างและเชื้อโรคออกจากเซลล์และทางเดินหายใจ ควบคุมการดูดซึมสารอาหารในลำไส้ หากยีน CFTR เกิดความผิดปกติหรือกลายพันธุ์ จะทำให้โปรตีน CFTR ทำงานได้ไม่ปกติ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติในท่อทางเดินหายใจและระบบย่อยอาหาร เช่น โรคถุงลมโป่งพอง (Cystic Fibrosis) โรคตับแข็ง (Cirrhosis) โรคลำไส้อุดตัน (Intestinal obstruction) ภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease) ภาวะติดเชื้อทางเดินหายใจเรื้อรัง (Chronic respiratory infection) ภาวะขาดน้ำในลำไส้ (Intestinal dehydration) โรคถุงลมโป่งพองเป็นภาวะที่ท่อทางเดินหายใจมีความหนาและแข็งตัว ทำให้การไหลของอากาศในปอดลดลง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการไอเรื้อรัง เหนื่อยง่าย และอาจเสียชีวิตได้ในที่สุด โรคถุงลมโป่งพองเป็นโรคทางพันธุกรรมที่พบได้บ่อยที่สุดในเด็ก โดยผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองประมาณ 90% พบว่ามียีน CFTR กลายพันธุ์ชนิด ΔF508 ซึ่งพบได้บ่อยที่สุดในผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองทั่วโลก ยีน CFTR กลายพันธุ์ชนิด ΔF508 เกิดจากการที่ยีน CFTR หายไป 3 คู่เบส ทำให้โปรตีน CFTR ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติในท่อทางเดินหายใจและระบบย่อยอาหาร ทำให้เกิดโรคถุงลมโป่งพอง โรคตับแข็ง และโรคลำไส้อุดตัน เป็นต้น ดังนั้น ยีน CFTR จึงมีความสำคัญต่อการทำงานของท่อทางเดินหายใจและระบบย่อยอาหาร และมีความเกี่ยวข้องกับโรคถุงลมโป่งพอง ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของยีน CFTR

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

16


จงอ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม A 47-year-old woman presents to her oncologist with the complaint of solid mass on ovarian mass. During her workup, an ultrasound of her breast shows a 6-cm right ovarian mass. อยากทราบต้องตรวจหาอะไรเพิ่มเติมจากเคสนี้

2. มะเร็งรังไข่

เพราะเหตุผลดังต่อไปนี้ จากข้อมูลในภาพ ผู้ป่วยเป็นหญิงอายุ 47 ปี ซึ่งอยู่ในวัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งรังไข่ ผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ การตรวจอัลตราซาวนด์พบก้อนเนื้อขนาด 6 เซนติเมตรที่รังไข่ขวา ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นมะเร็งรังไข่ ตัวเลือกอื่นๆ นั้นเป็นไปได้เช่นกัน แต่มีระดับความเป็นไปได้ที่น้อยกว่า ดังนี้ มะเร็งเต้านม (01) เป็นไปได้ แต่ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องซึ่งไม่ตรงกับอาการของมะเร็งเต้านม ติดเชื้อในช่องคลอด (03) เป็นไปได้ แต่ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องซึ่งไม่ตรงกับอาการของการติดเชื้อในช่องคลอด การตั้งครรภ์ (04) เป็นไปได้ แต่ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องซึ่งไม่ตรงกับอาการของการตั้งครรภ์ การปวดประจำเดือน (05) เป็นไปได้ แต่ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องซึ่งไม่ตรงกับอาการของการปวดประจำเดือน อย่างไรก็ตาม การตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดท้องในผู้ป่วยรายนี้จำเป็นต้องทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การตรวจชิ้นเนื้อ เป็นต้น เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ

มะเร็งรังไข่เป็นโรคที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 2 ของมะเร็งในสตรีไทย โดยพบมากในผู้หญิงที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งรังไข่ ได้แก่ อายุ ประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งรังไข่ ไม่เคยตั้งครรภ์ ประจำเดือนมาครั้งแรกก่อนอายุ 12 ปี หมดประจำเดือนช้ากว่าอายุ 55 ปี อาการของมะเร็งรังไข่ในระยะแรกมักไม่ชัดเจน ผู้ป่วยอาจมีอาการเบื่ออาหาร รู้สึกอิ่มเร็ว ปวดท้อง อึดอัดแน่นท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ ท้องผูก ท้องเสีย ปัสสาวะบ่อย น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ อาการเหล่านี้อาจคล้ายกับอาการของโรคอื่นๆ ทำให้ผู้ป่วยมักไม่ทราบว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็งรังไข่ เมื่อมะเร็งรังไข่ลุกลามมากขึ้น ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดท้องรุนแรงมากขึ้น มีก้อนเนื้อในช่องท้อง น้ำในช่องท้อง ปัสสาวะบ่อยมาก ปัสสาวะลำบาก ท้องบวม จากข้อมูลในภาพ ผู้ป่วยเป็นหญิงอายุ 47 ปี ซึ่งอยู่ในวัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งรังไข่ ผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ การตรวจอัลตราซาวนด์พบก้อนเนื้อขนาด 6 เซนติเมตรที่รังไข่ขวา ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นมะเร็งรังไข่ ดังนั้น ผู้ป่วยรายนี้จึงมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคมะเร็งรังไข่มากกว่าโรคอื่นๆ ครับ อย่างไรก็ตาม การตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดท้องในผู้ป่วยรายนี้จำเป็นต้องทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การตรวจชิ้นเนื้อ เป็นต้น เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำครับ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

17


จงอ่านข่าวต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม ขาหนีบบวม สัมผัสแล้วพบก้อนใต้ผิวหนังแต่ไม่ก่อให้เกิดอาการปวดแต่อย่างใด • มีไข้ • น้ำหนักตัวลด • เหงื่อออกตอนกลางคืน • มีก้อนตามร่างกาย ป่วยเป็นโรคอะไร เพราะอะไร

3. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

เพราะอาการของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองสอดคล้องกับอาการที่ระบุไว้ในข้อสอบมากที่สุด ดังนี้ ขาหนีบบวม สัมผัสแล้วพบก้อนใต้ผิวหนังแต่ไม่ก่อให้เกิดอาการปวดแต่อย่างใด มีไข้ น้ำหนักตัวลด เหงื่อออกตอนกลางคืน มีก้อนตามร่างกาย อาการเหล่านี้เป็นอาการทั่วไปของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง สาเหตุของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองคือเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์เกิดการกลายพันธุ์และเจริญเติบโตอย่างผิดปกติ ส่งผลให้ต่อมน้ำเหลืองโตขึ้น ส่วนใหญ่พบในต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ รักแร้ และขาหนีบ ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดหรือกดเจ็บบริเวณต่อมน้ำเหลืองที่โตขึ้น นอกจากนี้ อาจมีอาการไข้ น้ำหนักตัวลด เหงื่อออกตอนกลางคืน อ่อนเพลีย และเหนื่อยล้า สำหรับตัวเลือกอื่นๆ นั้น อาการไม่สอดคล้องกับอาการที่ระบุไว้ในข้อสอบมากนัก ดังนี้ ติดเชื้อในกระแสเลือด อาการที่พบ ได้แก่ มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย อาจมีผื่นขึ้นตามตัวหรือจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง ติดเชื้อในปอด อาการที่พบ ได้แก่ ไอเรื้อรัง มีเสมหะ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก น้ำหนักลด มีไข้ ไทรอยด์เป็นพิษ อาการที่พบ ได้แก่ ใจสั่น มือสั่น หงุดหงิด กระสับกระส่าย น้ำหนักลด เหงื่อออกง่าย คอบวม ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ อาการที่พบ ได้แก่ มีไข้ ปวดบริเวณต่อมน้ำเหลืองที่อักเสบ อ่อนเพลีย อาจมีผื่นขึ้นตามตัว อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องควรได้รับการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะอาจมีโรคอื่นๆ ที่มีอาการคล้ายคลึงกัน

อาการของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ระบุไว้ในข้อสอบ ได้แก่ ขาหนีบบวม สัมผัสแล้วพบก้อนใต้ผิวหนังแต่ไม่ก่อให้เกิดอาการปวดแต่อย่างใด มีไข้ น้ำหนักตัวลด เหงื่อออกตอนกลางคืน มีก้อนตามร่างกาย อาการเหล่านี้เป็นอาการทั่วไปของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง สาเหตุของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองคือเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์เกิดการกลายพันธุ์และเจริญเติบโตอย่างผิดปกติ ส่งผลให้ต่อมน้ำเหลืองโตขึ้น ส่วนใหญ่พบในต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ รักแร้ และขาหนีบ ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดหรือกดเจ็บบริเวณต่อมน้ำเหลืองที่โตขึ้น นอกจากนี้ อาจมีอาการไข้ น้ำหนักตัวลด เหงื่อออกตอนกลางคืน อ่อนเพลีย และเหนื่อยล้า อาการขาหนีบบวม สัมผัสแล้วพบก้อนใต้ผิวหนังแต่ไม่ก่อให้เกิดอาการปวดแต่อย่างใด สอดคล้องกับอาการของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่พบได้บ่อย คือ ต่อมน้ำเหลืองโตในบริเวณขาหนีบ โดยก้อนต่อมน้ำเหลืองจะไม่มีอาการปวด ต่างจากการติดเชื้อที่มักมีอาการปวดบริเวณก้อนต่อมน้ำเหลืองที่อักเสบ อาการไข้ น้ำหนักตัวลด เหงื่อออกตอนกลางคืน ก็เป็นอาการทั่วไปของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเช่นกัน อาการเหล่านี้อาจพบได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกหรือระยะลุกลาม สำหรับอาการอื่นๆ ที่ระบุไว้ในข้อสอบ ได้แก่ ติดเชื้อในกระแสเลือด อาการที่พบ ได้แก่ มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย อาจมีผื่นขึ้นตามตัวหรือจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง อาการเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับอาการขาหนีบบวม สัมผัสแล้วพบก้อนใต้ผิวหนังแต่ไม่ก่อให้เกิดอาการปวดแต่อย่างใด เพราะเป็นอาการของการติดเชื้อในกระแสเลือดที่มักมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย อาจมีผื่นขึ้นตามตัวหรือจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง ติดเชื้อในปอด อาการที่พบ ได้แก่ ไอเรื้อรัง มีเสมหะ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก น้ำหนักลด มีไข้ อาการเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับอาการขาหนีบบวม สัมผัสแล้วพบก้อนใต้ผิวหนังแต่ไม่ก่อให้เกิดอาการปวดแต่อย่างใด เพราะเป็นอาการของการติดเชื้อในปอดที่มักมีอาการไอเรื้อรัง มีเสมหะ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก น้ำหนักลด มีไข้ ไทรอยด์เป็นพิษ อาการที่พบ ได้แก่ ใจสั่น มือสั่น หงุดหงิด กระสับกระส่าย น้ำหนักลด เหงื่อออกง่าย คอบวม อาการเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับอาการขาหนีบบวม สัมผัสแล้วพบก้อนใต้ผิวหนังแต่ไม่ก่อให้เกิดอาการปวดแต่อย่างใด เพราะเป็นอาการของไทรอยด์เป็นพิษที่มักมีอาการใจสั่น มือสั่น หงุดหงิด กระสับกระส่าย น้ำหนักลด เหงื่อออกง่าย คอบวม ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ อาการที่พบ ได้แก่ มีไข้ ปวดบริเวณต่อมน้ำเหลืองที่อักเสบ อ่อนเพลีย อาจมีผื่นขึ้นตามตัว อาการเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับอาการขาหนีบบวม สัมผัสแล้วพบก้อนใต้ผิวหนังแต่ไม่ก่อให้เกิดอาการปวดแต่อย่างใด เพราะเป็นอาการของต่อมน้ำเหลืองอักเสบที่มักมีอาการไข้ ปวดบริเวณต่อมน้ำเหลืองที่อักเสบ อ่อนเพลีย อาจมีผื่นขึ้นตามตัว อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องควรได้รับการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะอาจมีโรคอื่นๆ ที่มีอาการคล้ายคลึงกัน

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

18


อาการเคี้ยวอาหาร กลืนอาหารลำบาก อยากทราบว่าผู้ป่วยคนนี้เป็นโรคอะไร เพราะเหตุใด

3. ฝีในสมอง

สาเหตุที่เลือกข้อนี้เพราะ อาการเคี้ยวอาหารและกลืนอาหารลำบาก เกิดจากการที่สมองไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการเคี้ยวและการกลืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติของเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อเหล่านี้ หรือจากเนื้องอกในสมองที่กดทับเส้นประสาท ฝีในสมองเป็นภาวะที่พบได้บ่อย โดยมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในสมอง ซึ่งหากฝีมีขนาดใหญ่หรืออยู่ใกล้กับเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการเคี้ยวและการกลืน ก็อาจทำให้เกิดอาการเคี้ยวอาหารและกลืนอาหารลำบากได้ ตัวเลือกอื่นๆ เป็นไปได้น้อยกว่า เนื่องจาก เหน็บชา มักเกิดจากความผิดปกติของเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น เส้นประสาทมือ เส้นประสาทเท้า เป็นต้น ซึ่งมักมีอาการชาเฉพาะที่ ไม่ได้มีอาการกลืนลำบากร่วมด้วย ไมเกรน เป็นโรคทางระบบประสาทที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะรุนแรง แต่มักไม่มีอาการกลืนลำบากร่วมด้วย กล้ามเนื้ออ่อนแรง มักเกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อหรือเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอมีโอโทรฟิก (Amyotrophic Lateral Sclerosis: ALS) โรคกล้ามเนื้อเสื่อม (Muscular Dystrophy) เป็นต้น ซึ่งมักมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย แต่มักไม่มีอาการกลืนลำบากร่วมด้วย มะเร็งในสมอง มักทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน มึนงง เป็นต้น แต่มักไม่มีอาการกลืนลำบากร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม เพื่อความแน่ใจ ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดอีกครั้ง

อาการเคี้ยวอาหารและกลืนอาหารลำบาก เกิดจากการที่สมองไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการเคี้ยวและการกลืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติของเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อเหล่านี้ หรือจากเนื้องอกในสมองที่กดทับเส้นประสาท ฝีในสมองเป็นภาวะที่พบได้บ่อย โดยมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในสมอง ซึ่งหากฝีมีขนาดใหญ่หรืออยู่ใกล้กับเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการเคี้ยวและการกลืน ก็อาจทำให้เกิดอาการเคี้ยวอาหารและกลืนอาหารลำบากได้ ตัวอย่างเช่น หากฝีในสมองอยู่บริเวณส่วนหลังของสมอง ซึ่งควบคุมการกลืนอาหาร หากฝีมีขนาดใหญ่หรือกดทับเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการกลืนอาหาร อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการกลืนลำบาก สำลักอาหาร หรือแม้แต่หายใจไม่ออกได้ นอกจากนี้ ฝีในสมองยังสามารถทำให้เกิดอาการอื่นๆ ได้ เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน มึนงง เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอาการเหล่านี้ได้ และหากแพทย์ตรวจพบฝีในสมอง ก็อาจวินิจฉัยอาการเคี้ยวอาหารและกลืนอาหารลำบากเป็นอาการร่วมของฝีในสมองได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อความแน่ใจ ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยแพทย์อาจทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม เช่น การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) หรือการตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ของสมอง เพื่อยืนยันการวินิจฉัยและหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการเคี้ยวอาหารและกลืนอาหารลำบาก

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

19


มีเลือดปนในอุจจาระ อาเจียน โดยอาจมีอาเจียนเป็นเลือดได้ อยากทราบว่าผู้ป่วยมีภาวะใด เพราะเหตุใด

5. ทั้งหมดที่กล่าวมา

เหตุผลคือ เลือดปนในอุจจาระอาเจียน ร่วมกับอาการอาเจียนเป็นเลือด อาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ ดังนี้ การติดเชื้อในกระเพาะอาหาร เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือปรสิต ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งอาจทำให้มีเลือดออกได้ แผลกระเพาะอาหาร เกิดจากกรดในกระเพาะอาหารกัดทะลุเยื่อบุกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งอาจทำให้มีเลือดออกได้ มะเร็งกระเพาะอาหาร เกิดจากเซลล์ในกระเพาะอาหารเจริญเติบโตผิดปกติจนกลายเป็นเนื้อร้าย ซึ่งอาจมีการแตกออกและทำให้มีเลือดออกได้ กรดไหลย้อน เกิดจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร อาจทำให้หลอดอาหารอักเสบและเกิดการทะลุออก มีเลือดออกได้ จากสาเหตุข้างต้น จะเห็นได้ว่า เลือดปนในอุจจาระอาเจียน ร่วมกับอาการอาเจียนเป็นเลือด อาจเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง หรือหลายสาเหตุร่วมกันก็ได้ ดังนั้น จึงเป็นคำตอบที่ครอบคลุมที่สุด อย่างไรก็ตาม เพื่อความมั่นใจ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แน่ชัด และรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

เลือดปนในอุจจาระอาเจียน ร่วมกับอาการอาเจียนเป็นเลือด เป็นอาการที่บ่งชี้ถึงภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ ดังนี้ การติดเชื้อในกระเพาะอาหาร เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือปรสิต ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งอาจทำให้มีเลือดออกได้ เชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อย ได้แก่ เชื้อ Helicobacter pylori เชื้อไวรัสที่พบบ่อย ได้แก่ เชื้อ Norwalk virus เชื้อปรสิตที่พบบ่อย ได้แก่ เชื้อ Giardia lamblia แผลกระเพาะอาหาร เกิดจากกรดในกระเพาะอาหารกัดทะลุเยื่อบุกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งอาจทำให้มีเลือดออกได้ แผลกระเพาะอาหารอาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น การใช้ยาแก้ปวดในกลุ่ม NSAIDs การติดเชื้อในกระเพาะอาหาร การสูบบุหรี่ ความเครียด ความผิดปกติทางพันธุกรรม มะเร็งกระเพาะอาหาร เกิดจากเซลล์ในกระเพาะอาหารเจริญเติบโตผิดปกติจนกลายเป็นเนื้อร้าย ซึ่งอาจมีการแตกออกและทำให้มีเลือดออกได้ มะเร็งกระเพาะอาหารมักพบในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ กรดไหลย้อน เกิดจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร อาจทำให้หลอดอาหารอักเสบและเกิดการทะลุออก มีเลือดออกได้ กรดไหลย้อนอาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง การสูบบุหรี่ ความอ้วน การตั้งครรภ์ จากสาเหตุข้างต้น จะเห็นได้ว่า เลือดปนในอุจจาระอาเจียน ร่วมกับอาการอาเจียนเป็นเลือด อาจเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง หรือหลายสาเหตุร่วมกันก็ได้ ดังนั้น จึงเป็นคำตอบที่ครอบคลุมที่สุด อย่างไรก็ตาม เพื่อความมั่นใจ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แน่ชัด และรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป หากมีอาการเลือดปนในอุจจาระอาเจียน ร่วมกับอาการอาเจียนเป็นเลือด ควรรีบไปพบแพทย์ทันที ไม่ควรรอให้อาการรุนแรงขึ้น เพราะอาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ เช่น ภาวะช็อค ภาวะโลหิตจาง ภาวะขาดน้ำ เป็นต้น

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

20


อาการชาที่แขนซ้ายเฉียบพลันสามารถเป็นอาการของโรคใด

1. Heart attack

เพราะอาการชาที่แขนซ้ายเฉียบพลันสามารถเป็นอาการหนึ่งของโรคหัวใจวายได้ โดยโรคหัวใจวายเกิดจากหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจเกิดการอุดตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและตาย อาการของโรคหัวใจวายที่พบได้บ่อย ได้แก่ อาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจลำบาก เหงื่อออกมาก คลื่นไส้อาเจียน คลื่นหัวใจผิดปกติ และอาการชาที่แขนซ้ายเฉียบพลัน อาการชาที่แขนซ้ายเฉียบพลันเกิดจากเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขนซ้ายถูกกดทับหรือขาดเลือดไปเลี้ยง ในกรณีของโรคหัวใจวาย เส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขนซ้ายอาจถูกกดทับหรือขาดเลือดไปเลี้ยงได้ เนื่องจากหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจเกิดการอุดตัน ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงแขนซ้ายไม่เพียงพอ ทำให้เกิดอาการชาที่แขนซ้ายเฉียบพลันได้ นอกจากนี้ อาการชาที่แขนซ้ายเฉียบพลันยังสามารถเป็นอาการของโรคอื่นๆ ได้ เช่น โรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก โรคปลายประสาทอักเสบ โรคเกาต์ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม โรคหัวใจวายเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของอาการชาที่แขนซ้ายเฉียบพลัน ดังนั้น หากมีอาการชาที่แขนซ้ายเฉียบพลัน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะหากเป็นอาการของโรคหัวใจวาย อาจส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้

อาการชาที่แขนซ้ายเฉียบพลันสามารถเป็นอาการของโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก โรคปลายประสาทอักเสบ โรคเกาต์ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม โรคหัวใจวายเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของอาการชาที่แขนซ้ายเฉียบพลัน โรคหัวใจวายเกิดจากหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจเกิดการอุดตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและตาย อาการของโรคหัวใจวายที่พบได้บ่อย ได้แก่ อาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจลำบาก เหงื่อออกมาก คลื่นไส้อาเจียน คลื่นหัวใจผิดปกติ และอาการชาที่แขนซ้ายเฉียบพลัน อาการชาที่แขนซ้ายเฉียบพลันเกิดจากเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขนซ้ายถูกกดทับหรือขาดเลือดไปเลี้ยง ในกรณีของโรคหัวใจวาย เส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขนซ้ายอาจถูกกดทับหรือขาดเลือดไปเลี้ยงได้ เนื่องจากหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจเกิดการอุดตัน ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงแขนซ้ายไม่เพียงพอ ทำให้เกิดอาการชาที่แขนซ้ายเฉียบพลันได้ ดังนั้น หากมีอาการชาที่แขนซ้ายเฉียบพลัน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะหากเป็นอาการของโรคหัวใจวาย อาจส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ อาการชาที่แขนซ้ายเฉียบพลันจากโรคหัวใจวายมักมีลักษณะดังนี้ อาการชาเกิดขึ้นเฉียบพลัน โดยไม่มีอาการชามาก่อน อาการชามักเกิดขึ้นที่แขนซ้ายเพียงข้างเดียว อาการชามักเป็นบริเวณต้นแขน ฝ่ามือ และนิ้วมือ อาการชามักมาพร้อมกับอาการอื่นๆ ของโรคหัวใจวาย เช่น อาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจลำบาก เหงื่อออกมาก คลื่นไส้อาเจียน คลื่นหัวใจผิดปกติ เป็นต้น หากมีอาการชาที่แขนซ้ายเฉียบพลัน ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะหากเป็นอาการของโรคหัวใจวาย อาจส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

ผลคะแนน 72.5 เต็ม 140

แท๊ก หลักคิด
แท๊ก อธิบาย
แท๊ก ภาษา