1 |
|
4.พันธะไฮโดรเจนคล้ายกัน |
|
เกิดจากการเดาโดยสังเกตจากข้อมูลที่โจทย์ให้มา
|
-
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
2 |
|
3. Neostigmine |
|
เกิดจากการเดาโดยสังเกตจากข้อมูลที่โจทย์ให้มา
|
-
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
3 |
|
5. ถูกมากกว่า 1 ข้อ |
|
พิจารณาจากตัวเลือกทั้งหมด ข้อนี้มีโอกาศเป็นไปได้มากที่สุด
|
จากที่โจทย์ถามมา ข้อใดเป็นลักษณะโมเลกุลที่เหมือนข้ออื่น ย่อมมีคำตอบมากกว่าหนึ่งอยุ่เเล้ว
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
4 |
|
3. Neostigmine |
|
เกิดจากการเดาโดยสังเกตจากข้อมูลที่โจทย์ให้มา
|
-
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
5 |
การจับยากับตำแหน่งจับของโปรตีน disulfide bond ไม่เกี่ยวข้องกับโรคใด
|
5. ผิดมากกว่า 1 ข้อ |
|
พิจารณาจากตัวเลือกทั้งหมด ข้อนี้มีโอกาศเป็นไปได้มากที่สุด
|
การจับยากับตำแหน่งจับของโปรตีน disulfide bond ไม่เกี่ยวข้องกับโรคใดๆ โดยตรง แต่มีความสำคัญในการพัฒนายาใหม่ๆ หรือการปรับปรุงยาเดิมๆ เพื่อให้สามารถจับตำแหน่งที่แน่นอนของโปรตีนต่างๆ ที่ทำหน้าที่สร้าง disulfide bond ซึ่งเป็นการยึดติดกันของกลุ่มจุลธรรมชาติที่ช่วยให้โปรตีนเกิดการพับหรือดำเนินการที่จำเป็นต่อการทำงานของโปรตีนนั้น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญในการออกแบบยาใหม่ หรือปรับปรุงยาเดิมเพื่อให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น และมีผลกระทบที่น้อยต่อร่างกายของผู้รับประทานยาอีกด้วย
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
6 |
ความเข้มข้นของยาในกระแสเลือดของผู้ป่วยหลังจาก t ชั่วโมง จำลองตามสูตร C (t) = 5(8)^t โดยที่ C วัดเป็นมิลลิกรัมต่อลิตร ความเข้มข้นของยาจะเป็น 80 มิลลิกรัมต่อลิตร ที่กี่ชั่วโมง
|
3. 1.89 |
|
พิจารณาจากตัวเลือกทั้งหมด ข้อนี้มีโอกาศเป็นไปได้มากที่สุด
|
มันอยุ่ในการคำนวณ
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
7 |
ข้อใดเกี่ยวข้องกับ plasma measures of GFAP
|
4. CSQ levels |
|
พิจารณาจากตัวเลือกทั้งหมด ข้อนี้มีโอกาศเป็นไปได้มากที่สุด
|
ข้อเกี่ยวข้องกับ plasma measures of GFAP คือการวัดระดับ GFAP ในเลือด (plasma) เพื่อใช้ในการวินิจฉัยการเจ็บป่วยที่ทำให้เนื้อเยื่อสมองเสียหาย เช่น การชนที่ทำให้เกิดสัญญาณนิวรอนที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายกับเนื้อเยื่อสมอง รวมถึงช่วงหลังอุบัติเหตุที่เป็นไปได้ว่าจะทำให้เกิดความเสียหายกับเนื้อเยื่อสมอง วิธีการวัด plasma measures of GFAP มีความสามารถในการวินิจฉัยว่าร่างกายมีการเสียหายเนื่องจากการชนหรือไม่พอดี โดยวัดจำนวน GFAP ในเลือดที่ได้รับออกซิเจนต่ำสุด (minimum plasma GFAP level) ในช่วง 6-12 ชั่วโมงหลังการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุแล้วเปรียบเทียบกับระดับ GFAP ของบุคคลปกติ ระดับ GFAP ที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นสัญญาณชี้วัดว่ามีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยเนื่องจากการชนหรืออุบัติเหตุที่ทำให้เกิดความเสียหายกับเนื้อเยื่อสมอง ผลการวิจัยจะช่วยให้แพทย์และผู้ดูแลสามารถตรวจวินิจฉัยและให้การรักษาที่เหมาะสมแก่ผู้ป่วยได้แม่นยำมากขึ้น โดยไม่ต้องใช้วิธีการซับซ้อนที่เป็นอันตรายเช่นการนำเข้าสารเคมีตรวจวิเคราะห์ภายในสมอง (invasive brain tissue sampling)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
8 |
ข้อความใดต่อไปนี้ถูกต้องเกี่ยวกับอันตรกิริยาการจับที่เป็นไปได้ของเอไมด์ทุติยภูมิ
|
3. สามารถมีส่วนร่วมในพันธะไฮโดรเจนได้ทั้งในฐานะผู้ให้พันธะไฮโดรเจนและตัวรับพันธะไฮโดรเจน |
|
เกิดจากการเดาโดยสังเกตจากข้อมูลที่โจทย์ให้มา
|
-
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
9 |
ความเข้มข้นของยาในกระแสเลือดของผู้ป่วยหลังจาก t ชั่วโมง จำลองตามสูตร C (t) = 5(0.5)^t โดยที่ C วัดเป็นมิลลิกรัมต่อลิตร ต้องใช้เวลานานเท่าใดที่ความเข้มข้นจะลดลงถึง 70% ของระดับเริ่มต้น
|
1. 3.8 hr |
|
พิจารณาจากตัวเลือกทั้งหมด ข้อนี้มีโอกาศเป็นไปได้มากที่สุด
|
ใช้สูตรลดลงของยาเท่ากับ 70% หรือ C(t) = C0(0.3)^t เพื่อหาเวลาที่ความเข้มข้นลดลงถึง 70% ของระดับเริ่มต้น
0.7C0 = 5(0.5)^t
0.7C0/5 = (0.5)^t
log(0.7C0/5) = tlog(0.5)
t = log(0.7C0/5)/log(0.5)
เมื่อ C0 = 5 จะได้
t = log(0.7(5)/5)/log(0.5) = 1.51 ชั่วโมง
ดังนั้น จะใช้เวลาประมาณ 1.51 ชั่วโมง ในการลดลงความเข้มข้นของยาถึงระดับ 70% ของระดับเริ่มต้น หรือเหลือปริมาณยาอยู่ 30% ของปริมาณเริ่มต้นที่ตั้งไว้
|
5 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
10 |
ข้อใดมีผลต่อ Aβ-dependent tau phosphorylation
|
1. Astrocyte reactivity |
|
เกิดจากการเดาโดยสังเกตจากข้อมูลที่โจทย์ให้มา
|
-
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
11 |
Drug Concentrations
Exponential functions can be used to model the concentration of a drug in a patient’s body. Suppose the concentration of Drug X in a patient’s bloodstream is modeled by,
C (t) = C0 e^(-rt),
ถ้า r = 0.041 /hr
Co = 9 mg/L
t = 7
จากสมการจงหาความเข้มข้นของยา ณ เวลาที่ฉีด
|
3. 0.99 mg/L |
|
พิจารณาจากตัวเลือกทั้งหมด ข้อนี้มีโอกาศเป็นไปได้มากที่สุด
|
C(7) = 9e^(-0.041*7) mg/L
C(7) ≈ 5.23 mg/L
ดังนั้น ความเข้มข้นของยาในเลือด ณ เวลาที่ฉีด คือ 5.23 mg/L
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
12 |
Drug Concentrations Exponential functions can be used to model the concentration of a drug in a patient’s body. Suppose the concentration of Drug X in a patient’s bloodstream is modeled by, C (t) = C0 e^(-rt),
จงหาค่า r ถ้า Initial concentration = 10 mg/L
3 mg/L is shown after 9 hours.
|
5. ไม่มีข้อถูก |
|
พิจารณาจากตัวเลือกทั้งหมด ข้อนี้มีโอกาศเป็นไปได้มากที่สุด
|
หาก C0 = 10 mg/L และ C(9) = 3 mg/L
จากสมการ C(t) = C0 e^(-rt) จะได้
C(9) = C0 e^(-r*9)
3 = 10 e^(-9r)
แก้สมการเชิงลำดับที่มีหนึ่งตัวแปร
e^(-9r) = 3/10
-9r = ln(3/10)
r = -ln(3/10)/9
r ≈ 0.09277 /hr
ดังนั้นค่า r คือ 0.09277 /hr
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
13 |
Drug Concentrations
Exponential functions can be used to model the concentration of a drug in a patient’s body. Suppose the concentration of Drug X in a patient’s bloodstream is modeled by,
C (t) = Co e^(-rt),
จงหาสมการที่เป็นไปได้ หากยา x, มี r =0. 09 แล้วมีความเข้มข้นลดลง 80% จาก the model, C(t) = Co e^(-rt)
|
3. In 0.8 = -0.09t |
|
พิจารณาจากตัวเลือกทั้งหมด ข้อนี้มีโอกาศเป็นไปได้มากที่สุด
|
หากความเข้มข้นลดลง 80% จากสมการ C(t) = Co e^(-rt) จะได้
0.2Co = Co e^(-0.09t)
หรือ
e^(-0.09t) = 0.2
ln(e^(-0.09t)) = ln(0.2)
-0.09t = ln(0.2)
t = (ln(0.2))/-0.09
t ≈ 14.57
ดังนั้นสมการที่เป็นไปได้ช่วยในการแสดงความเข้มข้นของยา x หลังจากได้รับจากผู้ป่วยเป็นเวลา 14.57 ชั่วโมง คือ
C(t) = Co e^(-0.09t)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
14 |
การกลายพันธุ์ของยีนใดที่อาจส่งผลต่อระดับ Warfarin
|
5. ไม่มีข้อถูก |
|
พิจารณาจากตัวเลือกทั้งหมด ข้อนี้มีโอกาศเป็นไปได้มากที่สุด
|
ยีน CYP2C9 และ VKORC1 เป็นสองตัวที่มีผลต่อระดับ Warfarin ในร่างกายของมนุษย์
CYP2C9 เป็นยีนที่อยู่บนโครโมโซม 10 และรหัสสำหรับเอ็นไซม์ CYP2C9 ที่สร้างตัวกระตุ้นกระบวนการทำละลายยา Warfarin ซึ่งเป็นยาลดแรงของการจับตัวของวิตามิน K ในกระแสเลือด โดยการกลายพันธุ์ของยีน CYP2C9 สามารถส่งผลต่อความไวต่อการย่อยสลายของยา Warfarin และมีการเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นในการเกิดเลือดออก (bleeding) หรือร่วมกับความเสี่ยงที่ต่ำลงในการควบคุมการ凝เลือด (anticoagulation)
VKORC1 เป็นยีนที่รหัสสำหรับวิตามินK จากอาหาร ซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระแสเลือด โดย VKORC1 มีบทบาทในกระบวนการต่อยอดของวิตามินK ที่ได้รับจากเครื่องย่อยอาหาร กับ Warfarin ซึ่งออกฤทธิ์ในร่างกายโดยลดลงกระบวนการผลิตวิตามินK. การกลายพันธุ์ของ VKORC1 สามารถส่งผลต่อความต้องการของยา Warfarin ในการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดที่พบอยู่บ่อย,โรคหลอดเลือดสมอง,หรือโรคลำไส้ใหญ่ที่ต้องมีการควบคุมการมอบอาหารเข้าร่างกาย (enteral feeding)
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
15 |
เป็นเรื่องปกติที่จะให้ยา Warfarin ในขนาดเริ่มต้นที่แตกต่างกันกับผู้คนตามเชื้อชาติของพวกเขา หากให้น้อยเกินไปจะเกิดอะไรขึ้น
|
2. ทำให้เลือดออกมากเกินไป |
|
พิจารณาจากตัวเลือกทั้งหมด ข้อนี้มีโอกาศเป็นไปได้มากที่สุด
|
ให้ยา Warfarin ในขนาดเริ่มต้นที่แตกต่างกันไประหว่างชาติอาจเกิดความต่างสาเหตุจากพันธุกรรม ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการกลายพันธุ์ของยีน CYP2C9 และ VKORC1 ที่กล่าวไปข้างต้น หากให้น้อยเกินไปจะทำให้ระดับการย่อยสลายของยา Warfarin ไม่เพียงพอและไม่สามารถควบคุมการมอบอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเลือดออก (bleeding) เพิ่มขึ้น แต่หากให้มากเกินไปจะเกิดอาการเลือดหน้าอก (chest pain) หรือภาวะที่เป็นอันตรายต่อการเกิดภาวะโลหิตจาง (anemia) หรือการลำเอียงเลือดของเยื่อเนื้อในเครื่องมือหัตถการ ดังนั้นการให้ยา Warfarin ควรปรับเปลี่ยนขนาดตามความต้องการของแต่ละบุคคลในแต่ละชาติ โดยควรปรับค่า PT-INR ที่ตรวจวัดเป็นประจำ และควรประเมินความเสี่ยงในการเกิดภาวะเลือดออกอย่างถ่วงหน้าก่อนให้ยา Warfarin ทุกครั้ง
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
16 |
ข้อใดไม่ใช่กลไกการออกฤทธิ์ของ Gleevac
|
4. ผิดทุกข้อ |
|
เกิดจากการเดาโดยสังเกตจากข้อมูลที่โจทย์ให้มาเกิดจากการเดาโดยสังเกตจากข้อมูลที่โจทย์ให้มา
|
-
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
17 |
ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการขาดกลูโคส -6- ฟอสเฟต G6PD?
|
5. ผิดทุกข้อ |
|
เกิดจากการเดาโดยสังเกตจากข้อมูลที่โจทย์ให้มา
|
ไม่มีความเกี่ยวกับที่โจทย์ให้มาเลย
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
18 |
ข้อใดไม่ได้อธิบายสมมติฐาน Life on the Edge ที่เกี่ยวข้องกับโรคอะไมลอยด์
|
1. การดริฟท์ทางพันธุกรรมซึ่งเป็นการสะสมของการกลายพันธุ์แบบสุ่ม |
|
พิจารณาจากตัวเลือกทั้งหมด ข้อนี้มีโอกาศเป็นไปได้มากที่สุด
|
Life on the Edge เป็นหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับการศึกษาและการสืบค้นเรื่องการทำงานของโครงสร้างโมเลกุลในชีวิต โดยเฉพาะการศึกษาเรื่องโครงสร้างของโมเลกุล DNA และโปรตีน นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงเรื่องยีนและการสร้างโปรตีนจากยีน หนังสือนี้เป็นเอกสารที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่สนใจในการศึกษาการทำงานของโครงสร้างโมเลกุลในชีวิต
เมื่อพิจารณาเกี่ยวกับโรคอะไมลอยด์ หมายความว่าต้องพูดถึงการทำงานของโครงสร้างโมเลกุล DNA ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการสร้างโปรตีน โรคอะไมลอยด์เกิดขึ้นเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในยีน DNA ที่ทำให้เกิดการผลิตโปรตีนที่ผิดปกติ ซึ่งอาจก่อให้เกิดภาวะอักเสบและความผิดปกติในอวัยวะต่างๆภายในร่างกาย ดังนั้นเมื่อเราเข้าใจการทำงานของโครงสร้างโมเลกุล DNA และการสร้างโปรตีนอย่างลึกซึ้ง เราอาจจะเข้าใจได้ง่ายขึ้นเกี่ยวกับการเกิดโรคอะไมลอยด์และวิธีการรักษาในอนาคต
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
19 |
ข้อใดเกี่ยวข้องกับ Environmental toxicology
|
3. PCBs |
|
พิจารณาจากตัวเลือกทั้งหมด ข้อนี้มีโอกาศเป็นไปได้มากที่สุด
|
-
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
20 |
จาก Engineered brain-targeted drug delivery systems ที่ใช้คืออะไร
|
4. ถูกมากกว่า 1 ข้อ |
|
พิจารณาจากตัวเลือกทั้งหมด ข้อนี้มีโอกาศเป็นไปได้มากที่สุด
|
Engineered brain-targeted drug delivery systems ที่ใช้ คือการออกแบบระบบส่งยาเข้าสู่สมองโดยที่ยาจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหรือเพิ่มลักษณะเต็มตัวที่มีความสามารถในการวิ่งผ่านการกีดขวางของสารประสาทสร้างความเข้มข้นในสมอง (blood-brain barrier) หรือสารอื่นๆที่สามารถขัดขวางการเข้าถึงสมองได้ เช่น polysorbate 80, leptin receptor และ transferrin receptor ซึ่งสามารถช่วยให้ยาสามารถเข้าถึงสมองได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีการใช้ nanoparticle และ liposome ในการจัดส่งยาเข้าสู่สมองโดยป้องกันการถูกย่อยสลายในระบบย่อยอาหารก่อนถึงเนื้อเยื่อของสมอง เป้าหมายของการออกแบบระบบส่งยาเข้าสู่สมองนี้ คือการลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงและเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรคต่างๆที่ส่งผลต่อสมอง
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|