ตรวจข้อสอบ > กฤตเมธ แก้ววิลัย > เคมีเชิงวิทยาศาสตร์การแพทย์ | Chemistry > Part 1 > ตรวจ

ใช้เวลาสอบ 3 นาที

Back

# คำถาม คำตอบ ถูก / ผิด สาเหตุ/ขยายความ ทฤษฎีหลักคิด/อ้างอิงในการตอบ คะแนนเต็ม ให้คะแนน
1


จงระบุชนิดของ bonding ที่โดยทั่วไปเกี่ยวข้องกับการจับยากับตำแหน่งจับของโปรตีน

3. hydrogen bonds

การดูดซึมยาจากบริเวณที่ให้ยา (site of administration) เข้าสู่ plasma ดังนั้น การดูดซึมยาจึงเป็นขั้นตอนที่สําคัญในการใหยา้ ในทกุ ๆ ทางยกเว้น โดยการฉีดเข้าเส้นเลือดดํา (intravenous injection)

รดอะมิโนที่เปนสวนประกอบของโปรตีนในสิ่งมีชีวิตเปนชนิด L กรดอะมิโน ประกอบดวยโครงสรางหลักที่เหมือนกันทั้ง 20 ชนิด โดยประกอบดวย หมูอะมิโน (-NH2) หมู คารบอกซิก (-COOH) อะตอมไฮดรเจน และหมู R (side chain) ติดอยูกับคารบอนอะตอม ที่ ตําแหนงแอลฟา (-carbon) (ภาพที่ 3.1) โดยกรดอะมิโนชนิด L หมูอะมิโนจะตองอยูทางซาย มือของแอลฟาคารบอน สําหรับ กรดอะมิโนชนิด D จะมีหมูอะมิโนมาเกาะอยูทางดานขวามือ ของแอลฟาคารบอนอะตอม และจะถูกใชโดยแบคทีเรียบางชนิดในการสรางผนังเซลลและยา ปฏิชีวนะบางอยาง เชน valinomycin, actino-mycin และ gramicidin S ทั้งนี้โครงสรางของ กรดอะมิโนที่พบโดยทั่วไป 20 ชนิด

5

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

2


ความเข้มข้นของยาในกระแสเลือดของผู้ป่วยหลังจาก t ชั่วโมง จำลองตามสูตร C (t) = 11(0.72)^t โดยที่ C วัดเป็นมิลลิกรัมต่อลิตร ความเข้มข้นเริ่มต้นของยาคือเท่าไหร่

5. 14

ใช้สูตรในการหา

การศึกษาเกี่ยวกับการเจาะวัดระดับยาในเลือดของแวนโคมัยซิบเพื่อประเมินค่าพื้นที่ใต้กราฟที่. แสดงความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มข้นของระดับยาในเลือดและเวลา

5

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

3


ไกลโคเจนเป็นพอลิเมอร์สายโซ่กิ่งของหน่วย α-D-กลูโคส ซึ่งสายโซ่เกิดจากการเชื่อมโยงไกลโคซิติก C1-C4 ในขณะที่การแตกกิ่งเกิดจากการก่อตัวของการเชื่อมโยงไกลโคซิติก C1-C6 โครงสร้างของไกลโคเจนคล้ายกับ________________

5. Amylose

คาร์โบไฮเดรตเป็นโมเลกุลชีวภาพ (biomolecule) เช่น น้้าตาล แป้ง และเซลลูโลส (Cellulose) เป็นต้น พบได้ในสิ่งมีชีวิต โดยพืช สาหร่าย และแบคทีเรียบางชนิดเกิดการสังเคราะห์ด้วย แสงได้ จะเปลี่ยนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และน้้า โดยมีพลังงานแสงอาทิตย์ร่วมด้วย ได้กลูโคส มีสูตร โมเลกุล เท่ากับ C6H12O6 โดยจะถูกเก็บสะสมไว้ที่ส่วนต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นอาหารของทั้งมนุษย์และสัตว์ และใช้เป็นยารักษาโรค คาร์โบไฮเดรตเป็นสารอินทรีย์ประเภทพอลิไฮดรอกซี(polyhydroxy) แอลดีไฮด์และคีโทน จ้าแนกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ มอโนแซ็กคาไรด์(monosaccharide) ไดแซ็กคาไรด์(disaccharide) และพอลิแซ็คคาไรด์ (polysaccharide) โครงสร้างประกอบด้วยอะตอมคาร์บอน อะตอมออกซิเจน และอะตอมไฮโดรเจน

มอโนแซ็กคาไรด์เป็นสารประกอบพอลิไฮดรอกซีแอลดีไฮด์และคีโทน มีสเตอริโอไอโซเมอร์ เท่ากับ 2 n โดยที่ n คือ จ้านวนไคแรลอะตอม โดยก้าหนดโครงแบบชนิดดี- และชนิดแอล- ซึ่งเทียบกับ กลีเซอแรลดีไฮด์ ซึ่งโครงสร้างที่เป็นภาพในกระจกเงาซึ่งกันและกัน เรียกว่า เอแนนทิโอเมอร์ โครงสร้าง ที่ต่างกันเฉพาะจุดไคแรลคาร์บอนเพียงต้าแหน่งเดียว เรียกว่าเอพิเมอร์ สูตรโครงสร้างเส้นตรงของ มอโนแซ็กคาไรด์ เรียกว่า ภาพฉายแบบฟิสเชอร์ ซึ่งจะเป็นสมดุลกับโครงสร้างโซ่ปิด เรียกว่า ภาพฉาย แบบฮาเวอร์ธของน้้าตาลชนิดไพแรโนสและฟูแรโนส เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า มิวทาโรเทชัน ซึ่งต้าแหน่ง ที่ปิดวง เรียกว่า คาร์บอนแอนอเมอร์ เกิดได้ 2 แบบ คือ แอนอเมอร์ชนิดแอลฟา- และชนิดบีตา- เมื่อ มอโนแซ็กคาไรด์เชื่อมต่อกันด้วยพันธะไกลโคซิดิก ได้ไดแซ็กคาไรด์ ไทรแซ็กคาไรด์และพอลิแซ็กคาไรด์ ในที่สุด นอกจากนี้ ยังพบน้้าตาลอนุพันธ์ ได้แก่ น้้าตาลฟอสเฟต น้้าตาลแอลกอฮอล์ กรดน้้าตาล น้้าตาลดีออกซี น้้าตาลแอมิโน และไกลโคไซด์ ซึ่งคุณสมบัติของน้้าตาลแต่ละชนิด ได้แก่ การหมุน เชิงแสง การแยกสลายด้วยน้้า และน้้าตาลรีดิวซ์ โดยเกิดตะกอนสีแดงอิฐกับสารละลายเบนีดิกต

5

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

4


ข้อความใดต่อไปนี้เป็นจริงเกี่ยวกับอันตรกิริยาการจับที่เป็นไปได้ของเอไมด์ทุติยภูมิ

5. มีพันธะอื่นๆมาผสมด้วย

เพราะจากการวิเเคาะห์โจทย์

มีพันธะอื่นๆมาผสมด้วย มันน่าจะถูกกเลยเลือกครับอิๆ

5

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

5


ความเข้มข้นของยาในกระแสเลือดของผู้ป่วยหลังจาก t ชั่วโมง จำลองตามสูตร C (t) = 11(0.72)^t โดยที่ C วัดเป็นมิลลิกรัมต่อลิตร ต้องใช้เวลานานเท่าใดที่ความเข้มข้นจะลดลงถึง 50% ของระดับเริ่มต้น

2. 5.1 hr

เพราะจากการใช้สูตรมาแล้ว

นำไปต่อยอดจากข้อก่อนๆหน้านี้

5

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

6


สารอะนาล็อกของสารประกอบตะกั่วมักจะเตรียมได้โดยทำการอัลคิเลตหมู่เอมีน ถ้ามีอยู่ ข้อความใดต่อไปนี้เป็นเท็จ

5. ผิดทุกข้อ

จากการคาดเดา

เดามาแล้วววคิๆ

5

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

7


โครงสร้าง I เป็นสารลดความดันโลหิตซึ่งออกฤทธิ์ โดยการยับยั้งเอนไซม์แองจิโอเทนซินคอนเวอร์ติงเอ็นไซม์ (ACE) โครงสร้าง II ได้รับการออกแบบให้จับกับตำแหน่งที่ยึดแน่นมากขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น กลยุทธ์ใดต่อไปนี้ใช้ในการออกแบบโครงสร้าง II

2. Rigidi fication

การจากวิเคาะห์

จากการคาดเดาจากรูปภาพที่ให้ครับบ

5

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

8


ใช้รูปนี้ตอบคำถาม 8-10 Drug Concentrations Exponential functions can be used to model the concentration of a drug in a patient’s body. Suppose the concentration of Drug X in a patient’s bloodstream is modeled by, C (t) = C0 e-rt, Where C (t) represents the concentration at time t (inhours), C0 is the concentration of the drug in the blood immediately after injection, and r>0 is a constant indicating the removal of the drug by the Body through metabolism and/or excretion. The rate constant r has units of 1/time (1/hr). It is important to note that this model assumes that the blood concentration of the drug (C0) peaks immediately when the drug is injected. ข้อ 8 ถ้า r = 0.081 /hr C0 = 5 mg/L t =4 จากรูปจงหาความเข้มข้นของยา ณ เวลาที่ฉีด

2. 9.8 mg/L

จากการคาดเดาจากรูปภาพ

ผมคิดว่าจากการใช้สูตรดูแล้วน่าจะผิดนะครับ

5

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

9


ใช้รูปนี้ตอบคำถาม 8-10 Drug Concentrations Exponential functions can be used to model the concentration of a drug in a patient’s body. Suppose the concentration of Drug X in a patient’s bloodstream is modeled by, C (t) = C0 e-rt, Where C (t) represents the concentration at time t (inhours), C0 is the concentration of the drug in the blood immediately after injection, and r>0 is a constant indicating the removal of the drug by the Body through metabolism and/or excretion. The rate constant r has units of 1/time (1/hr). It is important to note that this model assumes that the blood concentration of the drug (C0) peaks immediately when the drug is injected. ข้อ 9. จงหาค่า r ถ้า Initial concentration = 10 mg/L t=2 8.5 mg/L is shown after 2 hours.

5. 0.08

มองจากรูปภาพ

วิเคาะห์จากรูปภาพ

5

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

10


ใช้รูปนี้ตอบคำถาม 8-10 Drug Concentrations Exponential functions can be used to model the concentration of a drug in a patient’s body. Suppose the concentration of Drug X in a patient’s bloodstream is modeled by, C (t) = C0 e-rt, Where C (t) represents the concentration at time t (inhours), C0 is the concentration of the drug in the blood immediately after injection, and r>0 is a constant indicating the removal of the drug by the Body through metabolism and/or excretion. The rate constant r has units of 1/time (1/hr). It is important to note that this model assumes that the blood concentration of the drug (C0) peaks immediately when the drug is injected. ข้อ 10 จงหาค่า t หากยา x, มี r =0.21 แล้วมีความเข้มข้นลดลง 35%

4. 4.8 hr

คาดเดา

คิดว่าน่าจะถูกอยู่นะครับมันใจแบบ0เปอร์เซน

10

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

11


อธิบายการกลายพันธุ์ 2 แบบ ที่อาจส่งผลต่อระดับ Warfarin และผลกระทบที่เกิดขึ้น

อาจทำให้เลือดเเข็งตัว ลิ่มเลือดไปอุดตันในอวัยวะต่างๆ

อาการไม่พึงประสงค์ อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาวาร์ฟารินที่สำคัญและพบได้บ่อย คือ ภาวะเลือดออก2 นอกจากนี้ยังพบอาการแพ้ยารุนแรงซึ่งพบได้ไม่บ่อย เช่น ภาวะผิวหนังตายจากยาวาร์ฟาริน (warfarin-induced skin necrosis) โดยมีอาการผิวหนังร้อนแดง ปวดที่ผิวหนัง เกิดการเน่าตายของผิวหนังนำไปสู่การติดเชื้อในร่างกาย ซึ่งอาการเหล่านี้มักพบในช่วงระหว่าง 2-5 วันหลังจากเริ่มใช้ยาวาร์ฟาริน โดยเกิดจากการที่ยาวาร์ฟารินไปลดการสร้าง protein C และ protein S ส่งผลทำให้เกิดภาวะเลือดแข็งตัวเร็ว (hypercoagulable state)

การวิเคาระห์โจทย์ครับผม

10

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

12


เหตุใดจึงเป็นเรื่องปกติที่จะให้ยา Warfarin ในขนาดเริ่มต้นที่แตกต่างกันกับผู้คนตามเชื้อชาติของพวกเขา? ความเกี่ยวข้องของปัญหานี้กับการทดลองทางคลินิกยาคืออะไร

แต่ละที่มีการมีอยู่ต่างกัน

ง่ายๆคือมีภูมิคุ้มกันต่างกันแบบว่าฟิวแบบอยู่ขั้วโลกเหนือกับไทยเรามันต่างกันที่หลายๆอย่างอะครับร่างกายอะมันเลยต้องให้ต่างกัน

อิงจากการคาดเดาของผมเองอะครับ

10

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

13


อธิบายกลไกการออกฤทธิ์ของ Gleevac

ยา imatinib เป็นยายับยั้งไทโรซีนไคเนส (tyrosine kinase inhibitor) โดยใช้เป็นยาหลักในการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดมัยอีลอยด์ (chronic myeloid leukemia; CML) ถึงแม้ยา imatinib มีประสิทธิภาพดีในการรักษา

ยา imatinib เป็นยายับยั้งไทโรซีนไคเนส (tyrosine kinase inhibitor) โดยใช้เป็นยาหลักในการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดมัยอีลอยด์ (chronic myeloid leukemia; CML) ถึงแม้ยา imatinib มีประสิทธิภาพดีในการรักษา CML ที่มีการแสดงออกของโครโมโซมฟิลาเดลเฟีย อย่างไรก็ตามพบว่ามีผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษามีหลายการศึกษาที่แสดงถึงปัจจัยทางพันธุกรรมที่มีผลต่อการตอบสนองต่อยา imatinib ในผู้ป่วย CML ซึ่งเกี่ยวข้องกับยีนที่เป็นตัวขนส่งยาและเอนไซม์ที่เปลี่ยนแปลงยา imatinib ได้แก่ ภาวะพหุสัณฐานทางพันธุกรรมของยีน ATP-binding cassette transporter subfamily B member 1 (ABCB1), ยีน ATP-binding cassette transporter subfamily G member 2 (ABCG2), ยีน organic cation transporters 1 (OCT1) และ ยีน cytochrome P450 3A5 (CYP3A5) อย่างไรก็ตามผลของภาวะพหุสัณฐานทางพันธุกรรมของยีนดังกล่าวข้างต้นยังคงมีข้อขัดแย้ง ซึ่งในบทความนี้มุ่งเน้นประมวลองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเภสัชวิทยาของยา imatinib ซึ่งได้แก่ กลไกการออกฤทธิ์ เภสัชจลนศาสตร์อันตรกิริยาระหว่างยา imatinib และยาอื่นที่ใช้ร่วม อาการไม่พึงประสงค์ และกลไกการดื้อยา imatinib นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงการศึกษาทางเภสัชพันธุศาสตร์ของยา imatinib ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์สำหรับบุคคลากรทางการแพทย์เพื่อให้การรักษาด้วยยา imatinib เกิดประสิทธิผลและความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

สรุป ยา imatinib เป็นยาตัวแรกในกลุ่มยายับยั้งไทโรซีนไคเนส โดยยา imatinib ออกฤทธิ์ยับยั้ง BCR-ABL oncoprotein จึงส่งผลให้ยับยั้งกระบวนการเกิด CML ถึงแม้ยา imatinib ซึ่งเป็นยาหลักในการรักษา CML และมีประสิทธิภาพในการรักษาดี อย่างไรก็ตามมีผู้ป่วยบางรายไม่ตอบสนองต่อยาimatinib ผ่านหลายกลไก ได้แก่ กลไกที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมิวเทชั่นที่ไม่อิสระต่อยีน BCR-ABL หรือกลไกที่อิสระต่อยีน BCR-ABLซึ่งในการศึกษานี้กล่าวถึงปัจจัยทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับตัวขนส่งยาและเอนไซม์ที่ใช้เปลี่ยนแปลงยา imatinib ให้เป็นเมแทบอไลต์ที่ออกฤทธิ์ ซึ่งมีรายงานว่าเกี่ยวข้องต่อการตอบสนองต่อยา imatinib ในผู้ป่วย CML เช่น ภาวะพหุสัณฐานทางพันธุกรรมของยีน ABCB1,ยีน ABCG2, ยีน OCT1 และยีน CYP3A5 อย่างไรก็ตามข้อมูลดังกล่าวยังคงมีความขัดแย้ง อาจเนื่องมาจากยังมีการศึกษาจำนวนไม่มากพอ อีกทั้งการทบทวนวรรณกรรมนี้ได้รวบรวมการศึกษาในหลายกลุ่มประชากร หลายเชื้อชาติ ซึ่งมีความถี่แอลลีลที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงควรมีการทำการศึกษาเพิ่มขึ้นในแต่ละกลุ่มประชากร เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้นในกลุ่มประชากรนั้น ซึ่งจะทำให้ได้ข้อมูลพื้นฐานเพื่อนำไปใช้ในการรักษาผู้ป่วย CML ต่อไป

10

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

14


อธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับอาการของการขาดกลูโคส -6- ฟอสเฟตและสาเหตุของอาการเหล่านี้ ตัวกระตุ้นทั่วไปสำหรับ G6PD มีอะไรบ้าง?

พันธุกรรมข้างต้นความต้องการ PCA มีความเกี่ยวข้องกับการมีภาระทางพันธุกรรมของประชากร มีภาระดังกล่าวในกองทุนยีนอัลลีลของประชากร ในเวลาเดียวกัน ในตัวอย่างข้างต้นของโรคทางพันธุกรรม ซึ่งแสดงให้เห็นผลกระทบจากภาระทางพันธุกรรมของประชากร เป็นการลดลงในความมีชีวิตและความผิดปกติด้านสุขภาพของบุคคล ซึ่งต้องมีคำอธิบายในการแสดงออกที่เฉพาะเจาะจง ภาระทางพันธุกรรมของประชากรลดลงในระดับสุขภาพของสมาชิกจำนวนหนึ่ง เนื่องจากความบกพร่องทางหน้าที่ และทางพันธุกรรมของจีโนไทป์ของพวกเขา จำนวนที่ได้รับผลกระทบและลักษณะของพยาธิวิทยา ทางพันธุกรรมแตกต่างกันไปในแต่ละประชากร ดังนั้น ในประชากรมนุษย์ส่วนใหญ่ ผู้ป่วยรายหนึ่งที่ป่วยด้วยโรคเทย์แซคส์มีประชากร 360,000 คน ขณะที่ในหมู่ชาวยิวอาซเกนาซี มีผู้ป่วยรายหนึ่งเกิดขึ้นโดยเฉลี่ยใน 3,600 คน ในบรรดาชาวยิวอาซเกนาซีจากโปแลนด์หรือลิทัวเนีย มีผู้ป่วยโรคเทย์แซคส์หนึ่งรายใน 5,000 คน

เป็นที่ทราบกันดีว่าประชากรมนุษย์ มีการบันทึกความถี่สูงพิเศษในการตรวจจับบุคคล ที่มีความบกพร่องทางพันธุกรรมบางอย่าง ดังนั้น ในบางกลุ่มชาติพันธุ์ ชายคนหนึ่งที่ขาดเอนไซม์เม็ดเลือดแดงกลูโคส ฟอสเฟตดีไฮโดรจีเนส G6PD เกิดขึ้นในตัวผู้ทุก 4 ถึง 20 ตัว ดังนั้น ภาระทางพันธุกรรมสามารถกำหนดได้ว่า เป็นความน่าจะเป็นของพยาธิสภาพทางพันธุกรรมเฉพาะที่ เกิดขึ้นในบุคคลที่สมัครขอคำปรึกษาหรือในลูกหลานของเขา ในเวลาเดียวกัน บุคคลที่สมัครขอรับคำปรึกษาทางพันธุกรรม ทางการแพทย์เป็นสมาชิกของกลุ่มประชากรเฉพาะ ซึ่งต้องนำมาพิจารณาด้วย การปรากฏตัวของบุคคลในครอบครัว และด้านประชากรต้องมีทัศนคติที่ถูกต้องต่อคำจำกัดความของภารกิจเชิงกลยุทธ์ ที่กำหนดไว้สำหรับ MHC ให้เป็นหนึ่งในประเภทของการดูแลทางการ แพทย์ เฉพาะทางสำหรับประชากร ในอีกด้านหนึ่ง งานดังกล่าวอาจประกอบด้วยการลดความเสี่ยง หรือป้องกันการกำเนิดของปัญหาทางพันธุกรรม โดยบุคคลใดบุคคลหนึ่งและในครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง ในทางกลับกัน เราสามารถพูดคุยเกี่ยวกับการปรับปรุงทางพันธุกรรม ของประชากรในประเทศหรือภูมิภาค ประชากรบุคคลหรือกลุ่มของประชากรมนุษยชาติโดยรวม ปัญหาแรกที่กล่าวข้างต้นสามารถแก้ไขได้ มาตรการเฉพาะที่ใช้ในการแก้ปัญหานั้นแตกต่างกัน ในบางกรณี มีการใช้วิธีการแบบพาสซีฟ หลักการป้องกันความคิดของเด็กป่วยหรือทุติยภูมิ การทำแท้งด้วยเหตุผลทางการแพทย์และทางพันธุกรรม เพื่อป้องกันการปรากฏตัวของบุคคลที่มีพยาธิสภาพทางพันธุกรรมเช่น การปฏิเสธการแต่งงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด หรือการแต่งงานของพาหะต่างเพศ การยกเว้นการตั้งครรภ์ที่ไม่ต้องการโดยปฏิเสธที่จะมีบุตรเลย และจำกัดการคลอดบุตรให้มีอายุ 30 ถึง 35 ปี การยุติการตั้งครรภ์ตามผลการคลอดก่อนกำหนด การวินิจฉัยการยกเว้นการฝังปัญหาบลาสโตซิสต์ ตามผลการวินิจฉัยก่อนการปลูกถ่าย วิธีการข้างต้นสามารถสรุปได้ภายใต้ชื่อทั่วไป การวางแผนครอบครัว การป้องกันเบื้องต้นยังรวมถึงมาตรการ ในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของมนุษย์ ควบคุมการมีอยู่และความเข้มข้นของสารก่อกลายพันธุ์ และสารก่อมะเร็งในสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด ความจำเป็นในการควบคุมดังกล่าว มาจากการคำนวณ ซึ่งบ่งชี้ว่าประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของโรคทางพันธุกรรมในคนแต่ละรุ่น เกิดจากการกลายพันธุ์ครั้งใหม่ ในกรณีอื่นๆ วิธีการใช้งาน ระดับตติยภูมิหรือนอร์โมกโคปีหากเรากำลังพูดถึง โรคที่มีลักษณะทางพันธุกรรมอย่างเคร่งครัดถูกนำมาใช้ เพื่อป้องกันการปรากฏตัวของบุคคลที่มีกรรมพันธุ์ หรือพยาธิวิทยาหลายปัจจัยเช่น การกีดกันจากสภาพแวดล้อมชีวิตของการกระตุ้นหรืออนุญาต ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคเพื่อให้ได้ฟีโนไทป์ปกติที่มีจีโนไทป์ที่มีปัญหา เช่นโดยการถ่ายโอนเด็กไปยังอาหารที่ปราศจากฟีนิลอะลานีน นักพันธุศาสตร์หลายคนกล่าวว่าสาระสำคัญของแนวทางนี้ คือการควบคุมการแสดงออกของยีนความสามารถ ในการสร้างคุณสมบัติที่ดีอย่างแข็งขัน แก้ไขหรือป้องกันอาการทางพยาธิสภาพ ซึ่งกำหนดทางพันธุกรรมในผู้คน โดยการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย อาหาร ยา การศึกษา ในช่วงกลางทศวรรษที่ 20 ของศตวรรษที่ 20 พิสูจน์โดยโคลต์ซอฟ อาศัยการค้นพบพันธุศาสตร์คลาสสิกในสมัยของเขา การพึ่งพาการแสดงออกทางฟีโนไทป์ของยีน เกี่ยวกับลักษณะของจีโนไทป์และสภาพแวดล้อมภายนอก ได้รับการจัดตั้งขึ้นแนวคิดของการแสดงออก และการแทรกซึมความจำเพาะของการกระทำของยีน เข้าสู่พันธุกรรมระดับมืออาชีพการใช้งาน เพื่อกำหนดแนวทางนี้ เขาเสนอคำว่ายูเฟนิกส์ การแนะนำคำนี้เน้นถึงความแตกต่าง พื้นฐานระหว่างวิธีการทางวิทยาศาสตร์และการปฏิบัติ 2 วิธีในการแก้ปัญหาการปรับปรุงทางพันธุกรรมของผู้คน สุพันธุศาสตร์ สิ่งนี้มีความสำคัญโดยพื้นฐานและทันเวลา เนื่องจากในบางประเทศบนพื้นฐานของอุดมการณ์สุพันธุศาสตร์ ของยุคประวัติศาสตร์นั้น มีการดำเนินการตามขั้นตอนในทางปฏิบัติ รวมถึงการนำกฎหมายที่เกี่ยวข้องไปใช้ ซึ่งนำไปสู่การจำกัดการคลอดบุตร โดยตัวแทนของประชาชนบางประเภท เช่น ผู้ที่ทุกข์ทรมานจากโรคทางกรรมพันธุ์ จิตใจและโรคอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งหรืออยู่ในกลุ่มสังคมบางกลุ่ม อนาคตในการแก้ปัญหางานเชิงกลยุทธ์ที่ 2 ข้างต้นจะได้รับการประเมินโดยพิจารณาจากความสำเร็จของอณูพันธุศาสตร์ ชีววิทยาของเซลล์และเทคโนโลยีชีวภาพที่เป็นจริง แต่ในเวลาที่ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ และการปฏิบัติในด้านต่างๆ วิศวกรรมพันธุกรรมและเนื้อเยื่อเซลล์ เทคโนโลยีนาโนไบโอเมดิคัล ในกรณีของพันธุวิศวกรรมเรากำลังพูดถึง การสร้างโครงสร้างเทคโนโลยีชีวภาพที่มีข้อมูลทางพันธุกรรม ที่จำเป็นในการให้ผลการรักษาโดยยีน กล่าวคือยีนที่จำเป็นที่แยกได้จากเซลล์ของอาสาสมัคร ที่มีสุขภาพทางพันธุกรรมหรือสังเคราะห์ขึ้นในห้องปฏิบัติการ การนำโครงสร้างดังกล่าวเข้าสู่ร่างกายของผู้ป่วยที่เป็นโรคทางพันธุกรรม และการกระตุ้นการทำงาน การอัปเดตของสารพันธุกรรมที่แนะนำ ปัญหาการแนะนำการออกแบบเทคโนโลยีชีวภาพ กระดิกกระดิกได้หลากหลายวิธี ในบางโปรโตคอลมีการใช้เวกเตอร์ที่เรียกว่าตัวนำ ซึ่งมักจะทำโดย DNA ที่เตรียมมาเป็นพิเศษในโปรโตคอลอื่นๆ เซลล์ของผู้ป่วยจะถูกดัดแปลงพันธุกรรม ภายใต้สภาวะภายนอกร่างกาย นั่นคือภายนอกร่างกาย การลบอัลลีลที่ทำให้เกิดโร

การค้นคว้าหาความรู้

10

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

15


อธิบายสมมติฐาน Life on the Edge และเหตุใดจึงเกี่ยวข้องกับโรคอะไมลอยด์

ะไมลอยด์โดสิส (Amyloidosis) เป็นโรคหายาก พบได้ประมาณ 1 ในแสนคนเท่านั้น เกิดจากการที่ร่างกายสร้างโปรตีนอะมีลอยด์มากเกินไปจนเข้าไปสะสมตามเนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ เช่น ตับ ไต หัวใจ ระบบทางเดินอาหารและระบบประสาท จนทำให้ระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆเกิดความผิดปกติ โรคอะไมลอยด์โดสิส

บ่งออกได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ๆตามสาเหตุของการเกิดโรค ได้แก่ AL amyloidosis เป็นชนิดที่พบได้มากที่สุด เกิดจากความผิดปกติของเม็ดเลือดขาวชนิด plasma cell ในไขกระดูกมีการสร้างโปรตีนที่ช่วยปกป้องร่างกายเรียกว่า immunoglobulin light chain มากผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ ส่งผลกระทบต่ออวัยวะทั่วร่างกาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ลำไส้และเส้นประสาท ATTR amyloidosis แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทย่อยคือ Wild-type amyloidosis เกิดจากตับสร้างโปรตีน TTR ในปริมาณที่ปกติแต่ผลิตโปรตีน amyloid โดยไม่ทราบสาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดกับคนที่มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไปและมักเป็นที่อวัยวะหัวใจ Hereditary amyloidosis เกิดจากความผิดปกติของยีน ทำให้ตับสร้างโปรตีน transthyretin (TTR) ออกมาผิดปกติ ความผิดปกติเหล่านี้มักพบในครอบครัว ทำให้เส้นประสาท หัวใจและไตทำงานผิดปกติ AA amyloidosis เกิดจากโรคเรื้อรังอื่นๆที่ทำให้เกิดการอักเสบต่อเนื่องในร่างกาย เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ การอักเสบเหล่านี้ทำให้เกิดโปรตีนชื่อว่า amyloid A สะสมในร่างกายตามอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะที่ไต ตับและม้าม Amyloidosis ชนิดอื่นๆ เช่น เกิดจากการฟอกไตระยะยาว (dialysis-related amyloidosis) หรือเกิดจาการถ่ายทอดทางพันธุกรรม (Hereditary amyloidosis) หรือเกิดที่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง (organ-specific amyloidosis) ไม่ได้ลุกลามไปยังอวัยวะอื่น

แพทย์ผู้ชำนาญการด้านอายุศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ

10

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

16


จากบทความที่ไปเรื่อง Environmental toxicology จงสรุป table 1

พิษวิทยา (Toxicology) เป็นวิทยาศาสตร์สาขาหนึ่งที่ศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับสารพิษ (Poison) โดยคำว่า “สารพิษ” ในที่นี้หมายถึง สารเคมีที่ก่อผลเสียต่อสุขภาพเมื่อเข้าสู่ร่างกายของสิ่งมีชีวิตได้ [1] นอกจากการศึกษาเรื่องสารพิษแล้ว วิชาพิษวิทยาสมัยใหม่ยังอาจครอบคลุมถึงผลเสียที่เกิดจากพลังงานทางด้านฟิสิกส์ (Physical agent) ซึ่งก่อผลเสียต่อสุขภาพ เช่น รังสี คลื่นเสียง ได้อีกด้วย [1-2] ผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาในวิชาพิษวิทยานั้นเรียกว่านักพิษวิทยา (Toxicologist) สารเคมีในโลกนี้มีอยู่มากมายหลากหลาย พิษของละชนิดก็มีความแตกต่างกัน แม้รายละเอียดของการเกิดพิษจะมีความแตกต่าง แต่ก็มีหลักการร่วม ที่ใช้อธิบายในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับพิษของสารเคมีทั้งหมดได้ เนื้อหาในบทความนี้จะเป็นการกล่าวถึงประวัติโดยย่อของวิชาพิษวิทยา สาขาย่อยของวิชานี้ และกล่าวถึงหลักการสำคัญบางส่วนของวิชาพิษวิทยา ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการใช้อธิบายพิษของสารเคมีแต่ละชนิดต่อไป

การแบ่งกลุ่มชนิดของสารเคมี หากจะแบ่งตามสถานะของสารเคมีที่อุณหภูมิห้อง อาจแบ่งได้เป็นสารเคมีที่เป็นของแข็ง (Solid) ของเหลว (Liquid) และแก๊ส (Gas) หากแบ่งตามความไวไฟ อาจแบ่งได้เป็นสารเคมีที่ไวไฟ (Flammable) กับสารเคมีที่ไม่ไวไฟ (Non-flammable) หากแบ่งตามการเกิดปฏิกิริยา (Reactivity) อาจแบ่งได้เป็นกลุ่มๆ เช่น สารที่ก่อการระเบิดได้ (Explosive) สารออกซิไดส์ (Oxidizer) สารกัดกร่อน (Corrosive) สารเฉื่อย (Inert) เป็นต้น หากแบ่งตามคุณสมบัติตามตารางธาตุ อาจแบ่งได้เป็นกลุ่มธาตุ (Element) กับสารประกอบ (Compound) ในกลุ่มธาตุแบ่งย่อยได้อีก เช่น กลุ่มโลหะ (Metal) กึ่งโลหะ (Metalloid) อโลหะ (Non-metal) ฮาโลเจน (Halogen) แก๊สเฉื่อย (Inert gas) ในส่วนของสารประกอบ อาจแบ่งตามลักษณะองค์ประกอบของธาตุในโมเลกุล เป็น สารประกอบอนินทรีย์ (Inorganic compound) กับสารประกอบอินทรีย์ (Organic compound) สารประกอบอนินทรีย์แบ่งตามสูตรโครงสร้างเคมีได้เป็นหลายกลุ่ม เช่น กรด (Acid) เกลือ (Salt) ด่าง (Base) สารประกอบอินทรีย์ ถ้ามีคาร์บอน (Carbon) กับไฮโดรเจน (Hydrogen) เป็นธาตุหลักในโมเลกุลจะเรียกว่าสารประกอบไฮโดรคาร์บอน (Hydrocarbon) ถ้ามีธาตุฮาโลเจนมาผสมจะเรียกว่า ฮาโลจิเนตไฮโดรคาร์บอน (Halogenated hydrocarbon) ซึ่งจะทำให้สลายตัวในธรรมชาติได้ยากขึ้น สารประกอบอินทรีย์แบ่งตามสูตรโครงสร้างได้เป็นกลุ่ม อะลิฟาติก (Aliphatic) อะลิไซคลิก (Alicyclic) และอะโรมาติก (Aromatic) ตามลำดับ สารประกอบต่างๆ อาจมีหมู่พิเศษ (Functional group) ทำให้มีลักษณะทางกายภาพหรือการเกิดพิษที่คล้ายคลึงกัน เช่น แอลกอฮอล์ (Alcohol) อีเทอร์ (Ether) เอสเทอร์ (Ester) คีโตน (Ketone) อัลดีไฮด์ (Aldehyde) ไกลคอล (Glycol) เอมีน (Amine) เอไมด์ (Amide) เป็นต้น หากแบ่งตามวัตถุประสงค์ในการใช้ อาจแบ่งได้เป็น สารเคมีที่พบตามธรรมชาติ (Natural occurring chemical) เช่น พิษจากสัตว์ (Animal toxin) พิษจากพืช (Plant toxin), สารเคมีทางการเกษตร (Agricultural chemical) เช่น สารปราบศัตรูพืช (Pesticide), สารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรม (Industrial chemical) เช่น ตัวทำละลาย (Solvent), ยา (Medicine), สารเสพติด (Drug of abuse), สารเติมแต่งในอาหาร (Food additive), เชื้อเพลิง (Fuel), สารที่ได้จากการเผาไหม้ (Combustion product) เหล่านี้เป็นต้น หากแบ่งตามลักษณะการเกิดพิษ อาจแบ่งได้เป็นกลุ่มที่ก่อพิษเฉียบพลัน (Acute effect) ก่อพิษเรื้อรัง (Chronic effect) ก่อมะเร็ง (Carcinogen) ก่อความพิการต่อทารกในครรภ์ (Teratogen) ก่อการกลายพันธุ์ (Mutagen) เป็นต้น หากแบ่งตามกลไกการออกฤทธิ์ อาจแบ่งได้เป็นกลุ่ม เช่น สารยับยั้งเอนไซม์อะเซติลโคลีนเนสเตอเรส (Acetylcholinesterase inhibitor) สารก่อเมทฮีโมโกลบิน (Methemoglobin inducer) แก๊สสำลัก (Asphyxiant gas) เป็นต้น

จากการอนุมานตามแบบจำลอง (Model) ข้างต้นนี้ จะเห็นว่าการที่สารเคมีส่วนใหญ่มีระดับ Threshold นั้น แสดงว่าจะมีขนาดในช่วงหนึ่ง ที่ต่ำเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนปลอดภัยจากการได้รับสารเคมีชนิดที่พิจารณาได้ เนื่องจากจะไม่มีประชากรที่เกิดผลกระทบต่อสุขภาพที่ขนาดต่ำกว่าระดับนี้เลย (No observed adverse effect level; NOAEL) หลักการคิดนี้ ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการพิจารณากำหนดระดับที่ปลอดภัยของสารปนเปื้อนในอาหาร เช่น ยาปราบศัตรูพืชหรือสารปรุงแต่งอาหาร ระดับความปลอดภัยของมลพิษในอากาศและน้ำ รวมถึงระดับที่ปลอดภัยของสารเคมีในสถานที่ทำงานด้วย (แต่รายละเอียดในการประเมินค่าระดับความปลอดภัยอาจจะมีความแตกต่างกันไปตามลักษณะของการนำมาใช้งาน) อย่างไรก็ดีลักษณะการก่อพิษของสารเคมีบางอย่าง เช่น การเกิดมะเร็ง (Carcinogenesis) หรือการแพ้ (Allergy) ก็อาจเกิดขึ้นได้ในกลุ่มประชากรที่ไวรับ แม้ได้รับสารเคมีที่เป็นสาเหตุเข้าไปในขนาดที่ต่ำมาก ลักษณะของเส้นกราฟแสดงความสัมพันธ์ของขนาดกับผลกระทบต่อสุขภาพก็อาจต่างออกไป เพื่อความปลอดภัย นักวิชาการทางด้านพิษวิทยาส่วนใหญ่ในปัจจุบันจึงมีแนวคิดที่เชื่อกันว่า สำหรับผลกระทบในด้านการก่อมะเร็งหรือการแพ้แล้ว ต้องถือว่าไม่มีค่าต่ำสุดที่ปลอดภัยเลย (No threshold) คือแม้ได้รับในขนาดที่ต่ำมากก็อาจก่อผลกระทบได้ [1-2] และในการควบคุมการสัมผัสกับสารพิษที่ก่อผลประเภทนี้ ต้องไม่ให้สัมผัสเลยจะดีที่สุด หรือถ้าต้องสัมผัสจะต้องควบคุมให้อยู่ในระดับต่ำที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ (As low as possible; ALAP) นอกจากกราฟรูปโค้งแล้ว ยังอาจพบกราฟแสดงความสัมพันธ์ของขนาดกับผลกระทบต่อสุขภาพในลักษณะอื่นอีก เช่น เป็นกราฟที่ค่อนข้างเป็นเส้นตรง (Linear) คือเมื่อขนาดของสารเคมีเพิ่มขึ้น จำนวนประชากรที่ได้รับผลกระทบก็เพิ่มขึ้นตามกันเป็นอัตราที่ค่อนข้างคงที่ หรืออาจพบกราฟมีลักษณะเป็นรูปตัวยู (U-shaped) คือที่ขนาดต่ำมากๆ สารเคมีนั้นจะส่งผลเสียต่อร่างกาย แต่ในขนาดสูงมากๆ ก็จะส่งผลเสียต่อร่างกายได้อีก กราฟที่เป็นรูปตัวยูนี้ มาจากแบบจำลองที่นักพิษวิทยาพยายามใช้อธิบายปรากฏการณ์ของสารเคมีบางอย่าง เช่น วิตามินหรือแร่ธาตุบางตัว ที่ได้รับน้อยไปก็เกิดผลเสีย แต่หากได้รับมากไปก็เกิดผลเสียเช่นกัน ต้องได้รับในขนาดที่เหมาะสมจึงจะเกิดผลดี ปรากฏการณ์ของสารเคมีบางชนิดที่มีลักษณะแบบนี้ เรียกว่า Hormesis เมื่อกล่าวถึงเรื่องขนาด (Dose) แล้ว ยังมีคำอีก 2 คำที่น่าสนใจ คือขนาดภายนอก (External dose) กับขนาดภายใน (Internal dose) ขนาดภายนอก หมายถึง ขนาดของสารเคมีที่ร่างกายได้รับเข้าไปเมื่อวัดจากภายนอก เช่น จากความเข้มข้นในอากาศ จากความเข้มข้นในสารละลายที่กินเข้าไป แต่เนื่องจากสารเคมีถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายได้เพียงบางส่วน ถูกเก็บสะสม และถูกเปลี่ยนแปลงตามกระบวนการทางพิษจลนศาสตร์ ขนาดของสารเคมีที่จะไปถึงอวัยวะเป้าหมายได้จริงๆ นั้น ย่อมแตกต่างจากขนาดภายนอก ขนาดที่วัดจากภายในร่างกายนี้เรียกว่า ขนาดภายใน โดยทั่วไปขนาดภายในย่อมสะท้อนถึงการเกิดพิษได้ดีกว่าขนาดภายนอก แต่ก็ทำการตรวจวัดได้ยากกว่า หรือในบางกรณีอาจตรวจวัดไม่ได้เลย ต้องประมาณการณ์ด้วยการคำนวณโดยใช้แบบจำลองเอา พื้นฐานความรู้เรื่องความสัมพันธ์ของขนาดกับการเกิดผลกระทบต่อสุขภาพนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการใช้ประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพ (Health risk assessment; HRA) ในทางพิษวิทยาประยุกต์ ทำให้นักพิษวิทยาสามารถกำหนดระดับของสารเคมีในสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำ อากาศ ในอาหาร หรือในสถานที่ทำงาน ให้อยู่ในระดับที่ไม่เป็นพิษต่อคนส่วนใหญ่ได้ การทดสอบระดับความเป็นพิษของสารเคมี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการทดสอบในสัตว์ทดลอง (Animal testing) นั้น ก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม เนื่องจากจะทำให้นักพิษวิทยามีข้อมูลเพื่อนำมาเลือกสารเคมีที่มีความเป็นพิษน้อย มาใช้เป็นยา ใช้ในอุตสาหกรรม ใช้ในการเกษตร หรือใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยหวังว่าจะเกิดผลกระทบจากสารเคมีนั้นต่อทั้ง มนุษย์ สัตว์ พืช และสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด อย่างไรก็ตามการทดสอบความเป็นพิษในสัตว์ทดลองเพื่อเลือกสารเคมีที่เป็นพิษน้อยมาใช้ในมนุษย์นั้นก็ยังมีข้อควรพิจารณาอยู่ ทั้งในแง่การทำร้ายสัตว์ทดลอง ซึ่งต้องทำให้เกิดขึ้นน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น และในแง่ที่อาจมีความแตกต่างของสปีชีส์ในการเกิดพิษได้ ผลกระทบจากสารพิษชนิดเดียวกัน ที่เกิดขึ้นในสัตว์ทดลอง ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกับที่เกิดขึ้นในมนุษย์ ข้อควรพิจารณานี้ เป็นสิ่งที่นักพิษวิทยาและผู้ที่นำข้อมูลความเป็นพิษในสัตว์ทดลองไปใช้จะต้องคำนึงถึงเสมอ

10

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

17


จงเลือกยามา 1 ชนิดแล้วอธิบายลักษณะโมเลกุลโดยละเอียด

ยาต้านจุลชีพ(Antimicrobial drug) หมายถึง ยาที่สามารถออกฤทธิ์ตอ่ เชือ้จลุ ชีพที่ท าให้เกิดโรค ในร่างกาย ยาต้านจุลชีพมีความหมายรวมถึง ยาปฏิชีวนะ และยาที่ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี ซึ่งมีผล ต่อการเจริญเติบโตหรือการแบ่งตัวของแบคทีเรีย

กลุ่มยาที่ออกฤทธิ์ต่อจุลชีพที่ทำให้เกิดโรคในร่างกาย ยาต้านจุลชีพจะรวมถึงยาปฏิชีวนะและยาที่ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมีซึ่งมีฤทธิ์ต่อการเจริญเติบโตหรือการแบ่งตัวหรือการมีชีวิตอยู่ของจุลชีพ

มองภาพที่ให้มา

10

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

18


จงอธิบายว่ายาที่เลือกนั้นทำงาน mechanism อะไรในร่างกาย

อกฤทธิ์ต่อจุลชีพที่ทำให้เกิดโรคในร่างกาย ยาต้านจุลชีพจะรวมถึงยาปฏิชีวนะและยาที่ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมีซึ่งมีฤทธิ์ต่อการเจริญเติบโตหรือการแบ่งตัวหรือการมีชีวิตอยู่ของจุลชีพ

การจำแนกยาต้านจุลชีพโดยทั่วไปมี 4 หลักเกณฑ์ คือ 1. จำแนกตามฤทธิ์ต่อเชื้อจุลชีพ (antibacterial action) 1.1ยาที่มีผลยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ กลุ่มยาซัลฟา กลุ่มยาเตตราซัยคลิน กลุ่มยาคลอแรมเฟนิคอล กลุ่มยาลินโคซาไมด์ ยาอีริโทรมัยซิน โนโวไบโอซิน และไทอะมูลินเป็นต้น 1.2ยาที่มีผลฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ กลุ่มยาเพนนิซิลลิน กลุ่มยาเซฟฟาโรสปอริน กลุ่มยาอะมิโนกลัยโคไซด์ และโคลิสติน เป็นต้น 2. จำแนกตามขอบเขตการออกฤทธิ์ (spectrum of action) 2.1ออกฤทธิ์วงแคบ เช่น เพนนิซิลลิน จะออกฤทธิ์ได้ดีเฉพาะต่อแบคทีเรียแกรมบวก 2.2ออกฤทธิ์ระดับปานกลาง คือ ออกฤทธิ์ต่อแบคทีเรียแกรมบวกและแกรมลบ เช่น กลุ่มยาซัลฟา ยาแอมพิซิลลิน ยาแอมม็อกซี่ซิลลิน 2.3ออกฤทธิ์วงกว้าง คือ ออกฤทธิ์ต่อทั้งแบคทีเรียแกรมบวกและแกรมลบ เชื้อริเก็ตเซีย ไวรัสขนาดใหญ่ และโปรโตซัวบางชนิด เช่น กลุ่มยาเตตราซัยคลิน กลุ่มยาคลอแรมเฟนิคอล 3. จำแนกตามกลไกการออกฤทธิ์ (mechanism of action) 3.1ขัดขวางการสร้างผนังเซลแบคทีเรีย 3.2 ออกฤทธิ์ต่อเยื่อหุ้มเซล 3.3ขัดขวางหรือยับยั้งการสร้างกรดนิวคลิอิก 3.4ขัดขวางหรือยับยั้งการสร้างโปรตีน 3.5รบกวนการสร้างเมตาโบไลท์ที่จำเป็นเซลของแบคทีเรีย จำแนกตามสูตรโครงสร้างทางเคมี (chemical structure) แบ่งยาได้เป็นกลุ่มดังนี้ 4.1 กลุ่มยาเพนนิซิลลิน แบ่งเป็น 4 พวก ได้แก่ * พวกที่ไม่ทนกรดในกระเพาะ * พวกที่ทนกรดในกระเพาะ * พวกที่ทนต่อเอ็นไซม์เพนนิซิลลินเนส (สร้างจากเชื้อแบคทีเรียบางชนิด ทำให้ฤทธิ์ยาเสื่อมสลาย) * พวกที่มีขอบเขตการออกฤทธิ์กว้าง เช่น แอมพิซิลลิน แอมม็อกซี่ซิลลิน 4.2 กลุ่มยาเซฟฟาโลสปอริน 4.3 กลุ่มยาแมคครอไลด์ ได้แก่ อิริโทรมัยซิน ไทโลซิน และสไปรามัยซิน เป็นต้น 4.4 กลุ่มยาลินโคซาไมด์ ได้แก่ ลินโคมัยซิน และ คลินดามัยซิน 4.5 กลุ่มยาซัลฟา 4.6 กลุ่มยาอะมิโนกลัยโคไซด์ 4.7 กลุ่มยาเตตร้าซัยคลิน ได้แก่ เตตราซัยคลิน คลอเตตราซัยคลิน อ๊อกซี่ซัยคลิน และด๊อกซี่ซัยคลิน เป็นต้น Colisvet Forte) 4.10กลุ่มยาควิโนโลน 4.11กลุ่มอนุพันธ์ไนโตรฟิวแรนส์ ได้แก่ ไนโตรฟิวลาโซน ฟิวลาโซลิโดน เป็นต้นได้แก่ โนโวไบโอซิน ไทอามูลิน แวนโคมัยซิน เป็นต้น

ค้นคว้าหาความรู้ครับ

10

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

19


จงหา molecule ยาที่มาแทนยาชนิดนี้ หากยานั้นขาดแคลนหรือดื้อยา โดยอธิบายทำไมยาใหม่ถึงมาแทนได้

เพราะมันดีกว่า

เพราะยาที่สามารถมาแทนได้ก็จะมีคุณบัติดีกว่าอันเก่าอยู่แล้ว

จากการวิเคาระห์โจทย์

10

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

20


จากบทความที่ไปเรื่อง Environmental toxicology จงอธิบาย Research method และวิจารณ์ข้อดีข้อเสียโดยละเอียด

การประเมินวัฏจักรชีวิต (LCA) เป็น. เครื่องมือในการวิเคราะห์และการประเมินค่าผล. กระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น ภายใต้นิยาม. ขององค์กรระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐาน.

เพราะมันแย่

การค้นคว้าหาความรู้

10

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

ผลคะแนน 44.75 เต็ม 155

แท๊ก หลักคิด
แท๊ก อธิบาย
แท๊ก ภาษา